เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 874 มีอีกคน
ตอนที่ 874 มีอีกคน
“คิดอยู่แล้วว่าต้องได้ขั้นเหรียญทองคำ”
เกออู๋โหยวมองผลที่ปรากฏออกมาด้วยความตกตะลึง
นี่คือผู้มีพลังระดับเซียนคนที่สองจากเจดีย์เซียนเหยียบเมฆ ที่ทดสอบออกมาได้ขั้นเหรียญทองคำ
ตามกฎระบุเอาไว้ว่าเมื่อค้นพบเซียนขั้นเหรียญทองคำ ให้รีบรายงานไปที่สมาคมใหญ่ทันที
เพราะผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองคำเป็นที่หมายปองของทุกสำนัก
“พวกเรารีบลงไปหาเขาดีกว่า”
จูจวิ้นหลานแทบรอไม่ไหวอีกแล้ว
พวกเขาออกจากห้องสังเกตการณ์มาด้วยกันและลงไปยังชั้นล่างเพื่อแจ้งผล
“ฮ่าฮ่าฮ่า ขอแสดงความยินดีด้วย คุณชายซุน บัดนี้ท่านมีฉายาว่าบุรุษก้านยาวแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า ซ้ำยังอยู่ในขั้นเซียนเหรียญทองคำอีกต่างหาก นับว่ามีอนาคตที่ยาวไกลนัก” จูจวิ้นหลานรีบแสดงความยินดีอย่างออกหน้าออกตา
“ผู้สูงส่งจูชื่นชมเกินไปแล้ว”
ซุนซิงเจ๋อมีสีหน้าดีใจเป็นอย่างยิ่ง
เกออู๋โหยวมอบเหรียญตราประจำตัวสีทองคำให้แก่ซุนซิงเจ๋อพร้อมกับกล่าวว่า “มีคนไม่มากที่จะได้อยู่ในขั้นเหรียญทองคำ พี่ซุนเปรียบเสมือนเพชรเม็ดงามของพวกเรา เรื่องนี้ต้องสั่นสะเทือนไปทั้งสมาคมแน่ และข้าอยากจะรบกวนขอให้พี่ซุนช่วยอยู่ในเมืองเป่ยไห่ต่อไปก่อน เพื่อให้ง่ายต่อการติดต่อได้หรือไม่”
ซุนซิงเจ๋อยิ้มแย้ม ตอบว่า “ไม่มีปัญหา ในเมื่อข้าสามารถขึ้นทะเบียนได้สำเร็จในเมืองเป่ยไห่ ที่นี่ก็เปรียบเสมือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับข้า และข้าเองก็วางแผนที่จะฝึกวิชาอยู่ที่นี่เช่นกัน”
“ประเสริฐขอรับ”
เกออู๋โหยวพยักหน้าด้วยความพอใจและกล่าวต่อ “ป้ายทองคำนี้มีคุณประโยชน์มากมาย เมื่อโคจรพลังลมปราณเข้าไปแล้ว นอกจากจะใช้เป็นวัตถุเก็บของวิเศษ ยามเผชิญหน้าศัตรู ยังใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารติดต่อหาพวกพ้องได้อีกด้วย พี่ซุนลองศึกษาการใช้งานดูให้ดี แล้วท่านก็จะเข้าใจเอง…ส่วนนอกเหนือจากนี้ พี่ซุนมีอะไรจะถามอีกหรือไม่?”
ใบหน้ากระดำกระด่างของซุนซิงเจ๋อปรากฏความลังเลเล็กน้อย แต่ในที่สุด เขาก็พูดออกมาด้วยความกระดากอาย “คือว่า… ข้าขอเบิกศิลาบูชาล่วงหน้าซักสามเดือนได้หรือไม่?”
เกออู๋โหยวถามด้วยความสงสัยใจว่า “พี่ซุนมีปัญหาด้านการเงินหรือ?”
ซุนซิงเจ๋อยังคงตอบด้วยความกระดากอายต่อไป “พูดถึงเรื่องนี้ช่างน่าอับอาย ตัวข้านั้นมาจากครอบครัวยากจน นับตั้งแต่เดินทางออกจากบ้านเกิดในหุบเขาฮั่วกัว ข้าก็เดินทางร่อนเร่พเนจรมาตลอด หลายครั้งมีคนช่วยเหลือ หลายครั้งหลงทาง ส่วนใหญ่จะพบเจอแต่ความยากลำบากแสนสาหัส”
“วันนี้ ตัวข้านั้นได้กลายเป็นผู้มีพลังระดับเซียน หลายปีที่ผ่านมา ข้ายืมเงินจากสำนักกู้เงินนอกระบบ รวมไปถึงยืมเงินมาจากมิตรสหายอีกหลายท่าน เมื่อข้าพอจะมีรายได้เช่นนี้ ก็อยากจะนำทรัพย์สินทั้งหมดไปใช้หนี้พวกเขาเสีย”
เกออู๋โหยวตอบด้วยความลำบากใจว่า “ตำแหน่งเซียนขั้นเหรียญทองคำมีเงินเดือนไม่น้อย การเบิกศิลาบูชาล่วงหน้าถึงสามเดือนเกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่าย… แต่เอาเถอะ พี่ซุนไม่ต้องเป็นกังวล เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าจะลองรายงานอาจารย์ของข้าก่อน ไม่ว่าสำเร็จหรือล้มเหลว ท่านสามารถกลับมารับฟังคำตอบได้อีกสามวันหลังจากนี้ ดีหรือไม่?”
ซุนซิงเจ๋อแสดงสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้น ข้าจะรอฟังข่าวดีจากน้องเกอ”
การขึ้นทะเบียนจบลง
เมื่อซุนซิงเจ๋อประสานมือขอบคุณ เขาก็หมุนตัวเดินออกไปจากเจดีย์เซียนเหยียบเมฆ
แต่ชายหนุ่มเดินออกมาได้ไม่ไกล ก็ได้ยินเสียงอันแสนอบอุ่นดังขึ้นทางด้านหลัง
“สหายได้โปรดหยุดก่อน”
จูจวิ้นหลานรีบวิ่งตามมาจนทัน
ซุนซิงเจ๋อหยุดชะงักและหันกลับไปถามว่า “ผู้สูงส่งจูเรียกข้าน้อยทำไมหรือ?”
จูจวิ้นหลานยิ้มแย้มและเดินเข้ามาประชิดข้างตัว “พี่ซุน ต้องขออภัยด้วยที่มาพูดคุยกันตอนนี้ แต่ข้าตกตะลึงที่ท่านถูกจัดลำดับอยู่ในขั้นเหรียญทองคำ มันทำให้ข้าลืมสิ่งที่จะพูดไปเสียหมด ฮ่าฮ่าฮ่า แต่ในเมื่อพี่ซุนต้องการใช้เงิน ข้าก็มีวิธีหาเงินมาให้ท่าน ไม่รู้ว่าท่านสนใจหรือไม่?”
ใบหน้าของซุนซิงเจ๋อแสดงออกถึงความสงสัยและตื่นเต้น
หลายปีที่ผ่านมา ไม่เคยมียอดฝีมือระดับเซียนถูกหลอกใช้มานานแล้ว
แต่หลังจากลังเลเล็กน้อย ซุนซิงเจ๋อก็พูดว่า “ผู้สูงส่งจูได้โปรดบอกมา”
จูจวิ้นหลานกล่าวว่า “ข้าจะมอบศิลาบูชาให้ท่าน 100 ก้อน แลกกับการฆ่าใครบางคน”
ซุนซิงเจ๋อเลิกคิ้วขึ้นสูงและพูดต่อ “ข้าน้อยขอเดา เป้าหมายต้องเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดา”
จูจวิ้นหลานตอบว่า “ใช่แล้ว เป้าหมายมีนามว่าหลินเป่ยเฉิน เขาเองก็เป็นผู้มีพลังระดับเซียนเช่นกัน แต่ยังห่างชั้นจากพี่ซุนอีกหลายเท่า เพราะเขาอยู่ในขั้นเหรียญทองแดงเท่านั้น”
“สรุปว่าท่านอยากจ้างวานข้าให้สังหารผู้มีพลังระดับเซียนด้วยกันใช่หรือไม่?”
ซุนซิงเจ๋อส่ายหน้าปฏิเสธโดยทันที “ข้าเป็นเพียงจอมยุทธ์ที่ผ่านทางมาเท่านั้น คงไม่กล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างคนสำนักใหญ่เช่นพวกท่านหรอก”
จูจวิ้นหลานยิ้มออกมาเล็กน้อย “เท่าที่ข้ารู้ ในตัวของหลินเป่ยเฉินมีศิลาบูชาอยู่ถึง 600 ก้อน”
เมื่อได้ยินดังนั้น ลมหายใจของซุนซิงเจ๋อก็ถึงกับหยุดชะงักไปทันที
จูจวิ้นหลานมองออกว่าตนเองสามารถเปลี่ยนใจชายหนุ่มหน้าดำคนนี้ได้แล้ว
“พี่ซุน ข้าจะบอกต่อท่าน ข้าเป็นผู้ดูแลสมาคมผู้มีพลังระดับเซียนประจำจักรวรรดิต้าเกี๋ยน ถือกำเนิดเกิดมาในตระกูลจู ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแผ่นดินตงเต้า เหอเหอเหอ ข้าคือคนสำคัญของตระกูล แล้วท่านไม่อยากมาทำงานให้กับตระกูลของข้าบ้างหรือ?”
ซุนซิงเจ๋อเบิกตาโตด้วยความตื่นเต้น
“โอกาสเช่นนี้ช่างหายาก ผ่านแล้วผ่านลับ ไม่กลับมาอีก”
จูจวิ้นหลานยังคงกล่าวต่อ “พี่ซุน ท่านเป็นถึงเซียนขั้นเหรียญทองคำ เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป จะมีหลายสำนักติดต่อมาหาท่าน แต่ท่านโปรดจำเอาไว้ว่าข้าคือคนที่เห็นคุณค่าในตัวท่านมากที่สุด ข้าคือคนแรกที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือท่าน ตราบใดที่ท่านรับงานครั้งนี้ ตระกูลจูของพวกเราจะปกป้องท่านตลอดไป”
ซุนซิงเจ๋อลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือออกมาข้างหน้า “เอาค่าจ้างมาก่อน”
จูจวิ้นหลานหัวเราะด้วยความชอบใจและหยิบถุงเก็บของวิเศษออกมา
ด้านในบรรจุด้วยศิลาบูชา 100 ก้อน
ซุนซิงเจ๋อเปิดถุงเก็บของวิเศษออกดู เมื่อพบว่าศิลาบูชาที่อยู่ด้านในมีจำนวนถูกต้อง เขาก็พยักหน้าด้วยความพอใจ “ศิลาบูชาเหล่านี้ ข้าน้อยจะยึดเอาไว้ก่อนในฐานะเงินมัดจำ แต่ข้าน้อยจะสามารถสังหารคนผู้นั้นได้หรือไม่ ข้าน้อยไม่ขอรับปาก หากล้มเหลว… ศิลาบูชาทั้ง 100 ก้อน ท่านห้ามทวงคืนเด็ดขาด”
จูจวิ้นหลานใบหน้ากระตุกเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นก็รีบเปลี่ยนท่าทีเป็นยิ้มแย้มแจ่มใส ตอบว่า “ไม่มีปัญหา”
ซุนซิงเจ๋อพยักหน้า ยัดถุงเก็บของวิเศษเข้าไปในอกเสื้อ หมุนตัวเดินจากไป
จูจวิ้นหลานมองชายหนุ่มผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองคำเดินไปจนลับตา ริมฝีปากของเขาบิดตัวเป็นรอยยิ้มอย่างช้าๆ
ก็แค่คนพเนจรคนหนึ่ง
คนพเนจรที่ไม่เคยเห็นโลกแห่งความมีอำนาจ ไม่เคยมีกลุ่มคนหนุนหลัง ไม่ว่าจะมีพรสวรรค์สักเพียงใด ก็ยากที่จะต้านทานอำนาจผู้อื่น
บุคคลเหล่านี้เกิดมาเพื่อถูกใช้งาน
หากล้มเหลว ซุนซิงเจ๋อยังจะกลับไปใช้เงินได้อีกหรือ?
ล้มเหลวก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น
แต่รอให้ซุนซิงเจ๋อสังหารหลินเป่ยเฉินสำเร็จเสียก่อนเถิด คนที่จะต้องตายเป็นศพต่อไป ก็คือซุนซิงเจ๋อเองนั่นแหละ
ดวงตาของจูจวิ้นหลานเป็นประกายระยิบระยับอย่างชั่วร้าย ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในเจดีย์เซียนเหยียบเมฆ
เกออู๋โหยวรู้ทุกอย่างอยู่แล้วขณะถามว่า “ท่านแน่ใจหรือว่าเขาจะสังหารหลินเป่ยเฉินได้สำเร็จ?”
จูจวิ้นหลานยิ้มเย็นชา ตอบว่า “เขาควรทำให้สำเร็จ”
เกออู๋โหยวถอนหายใจ ยกถ้วยกระเบื้องเคลือบในมือขึ้นจิบน้ำชาอีกครั้ง
นับว่าหลินเป่ยเฉินโชคร้าย
แต่ซุนซิงเจ๋อกลับโชคร้ายมากกว่านั้น
น่าเสียดายที่ผู้มีพรสวรรค์เช่นนี้กลับต้องมาพบเจอตัวชั่วร้ายคนหนึ่ง
เฮ้อ
นี่คือโชคชะตาฟ้าลิขิตใช่หรือไม่?
ระหว่างที่ความคิดดำเนินมาถึงตรงนี้…
ก๊อกก๊อกก๊อก
ประตูเจดีย์ก็ถูกคนเคาะอีกครั้ง
เกออู๋โหยวหยุดชะงัก หันไปมองหน้าจออาคม
เขาเห็นชายศีรษะล้านร่างใหญ่กำยำคนหนึ่งกำลังเคาะประตูอย่างเร่งร้อน
ใครมาอีกละนี่?
“นั่นใคร? มาทำไม?”
เกออู๋โหยวถามผ่านค่ายอาคมแห่งเสียง
เมื่อได้ยินดังนั้น ชายหัวล้านหนวดดกก็คำรามตอบกลับมาว่า “อู๋จิงแห่งเซี่ยซา มาขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้มีพลังระดับเซียนอย่างเป็นทางการ”