เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 896 ข้าจะเพิ่มน่องไก่ให้เจ้า
ตอนที่ 896 ข้าจะเพิ่มน่องไก่ให้เจ้า
หลังแยกจากพวกของหลี่ซิวเยวียน หลินเป่ยเฉินก็เดินทางกลับไปที่จวนซางจั้วหยวน และแจ้งให้เซียวปิงทราบถึงหน้าที่การคุ้มครองเด็กหนุ่มเด็กสาวกลุ่มนั้น
“ตัวตนของข้าในขณะนี้คือกู่เทียนเล่อ เจ้าอย่าเผลอพูดจาพล่อยๆ เชียวล่ะ”
“อีกอย่าง หากเจ้าได้ยินพวกเขาพูดถึงหลินเป่ยเฉิน จงอย่าไปสนใจ ห้ามอธิบายอะไรเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินกำชับเรื่องนี้เป็นพิเศษ
“ท่านพี่ไม่ต้องเป็นกังวล”
เซียวปิงยกมือตบหน้าอกตนเองด้วยความมั่นใจ “ข้าจะคุ้มครองพวกเขาไม่ให้มีใครมาทำอันตรายได้เด็ดขาด”
“ประเสริฐ จงทำงานให้ดี แล้วข้าจะเพิ่มน่องไก่ให้กับเจ้า”
หลินเป่ยเฉินตบไหล่น้องชายร่วมสาบานด้วยความพอใจ “อีกอย่าง หากเป็นไปได้ อย่าอยู่ห่างจากจวนซางจั้วหยวนเกินระยะ 50 ลี้ มิฉะนั้น พลังที่ข้าถ่ายทอดให้เจ้าไปจะเริ่มเสื่อมถอย และเจ้าก็อาจจะแพ้ได้หากเผชิญหน้าคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งตัวจริง”
เซียวปิงประสานมือคำนับหลินเป่ยเฉินด้วยความซาบซึ้งใจ
ระหว่างเดินไปที่ประตูใหญ่ เด็กหนุ่มร่างอ้วนก็นำหน้ากากขึ้นมาสวมใส่ แต่เดินได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดชะงักและพูดกับตัวเองว่า “เดี๋ยวก่อนนะ? แล้วข้าจะดีใจทำไม? ถึงอย่างไรน่องไก่พวกนั้น ข้าก็ต้องหามาเองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ท่านพี่เพิ่มให้สักหน่อย”
เซียวปิงยืนคิดอยู่เล็กน้อย รู้สึกเหมือนตนเองหลงกลพี่ชายร่วมสาบานชอบกล
แต่นั่นก็ไม่สำคัญอีกแล้ว
เพราะเซียวปิงรู้ดีว่าท่านพี่จะไม่ทำร้ายเขา
และเขาจะมีอาหารให้รับประทาน
นี่คือหลักการดำเนินชีวิตของเซียวปิง เขาเดินไปขึ้นรถม้าและออกเดินทางไปสู่ตึกที่ทำการของสมาคมศิษย์สำนักศึกษาระดับสูงประจำนครหลวงอย่างมีความสุข
เป็นจังหวะเดียวกับที่มีรถม้าหรูหราคันหนึ่งวิ่งสวนมาพอดี
รถม้าคันนั้นวิ่งไปจอดที่หน้าประตูจวนซางจั้วหยวน
ชายฉกรรจ์ชุดขาวหน้าตาราบเรียบธรรมดาผู้หนึ่งก้าวลงมาจากรถม้า
“ที่นี่เองสินะ”
ชายฉกรรจ์เดินเข้าไปในประตูจวน
“อ้าว นั่นพี่เกาใช่ไหมขอรับ?”
เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นเกาเฉิงฮั่นเดินผ่านประตูเข้ามา ดวงตาของเด็กหนุ่มก็ลุกวาว เขาหยิบบุหรี่วิเศษที่ซื้อหามาจากแอป Taobao ยื่นส่งไปให้และถามด้วยความภาคภูมิใจ “สักมวนไหมขอรับ?”
เกาเฉิงฮั่นไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เมื่อเห็นกิริยาท่าทางสบายอกสบายใจของหลินเป่ยเฉิน เขาก็รู้ดีว่าตนเองคงไม่ต้องเป็นห่วงอะไรอีกแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเจ้าลูกเต่าตัวนี้ไม่ได้เป็นกังวลต่อการประลองเดิมพันชีวิตที่รออยู่ข้างหน้านี้เลย
“ไม่ดีกว่า”
เกาเฉิงฮั่นโบกมือปฏิเสธ
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่หลินเป่ยเฉินยื่นส่งมาให้นั้นคืออะไร
หากเกาเฉิงฮั่นจะรู้เพียงสักนิด เขาก็คงต้องอ้อนวอนขอบุหรี่จากหลินเป่ยเฉินมวนแล้วมวนเล่าเป็นแน่แท้
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าหลักการความคิดของเกาเฉิงฮั่นเรียบง่ายมาก เขาคือผู้มีพลังระดับเซียน ต้องพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งของแปลกปลอมทุกอย่างที่จะเข้าสู่ร่างกาย และเกาเฉิงฮั่นจำได้ดีว่าหลินเป่ยเฉินเคยคุยโวโอ้อวดเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในมือมาก่อนว่า ‘หากท่านได้ลองแล้ว ชีวิตของท่านจะขาดมันไม่ได้อีกเลย…’
“น้องหลิน เจ้าดูสบายใจเหลือเกินนะ ดูเหมือนเจ้าจะมั่นใจในการประลองครั้งนี้มากเชียว”
เกาเฉิงฮั่นยิ้มกว้างขณะนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง
หลินเป่ยเฉินหัวเราะตอบกลับมาอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ฮ่าฮ่าฮ่า อีกฝ่ายเชี่ยวชาญเรื่องการยิงนกอินทรีใช่ไหมขอรับ? เดี๋ยวข้าจะสอนให้เขารู้เองว่าการยิงมนุษย์ต้องทำอย่างไร”
เกาเฉิงฮั่นยิ้มมุมปากและกล่าวต่อ “น้องหลิน เจ้ามั่นใจจริงๆ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า “ย่อมเป็นอย่างนั้น พี่เกา”
ทั้งสองคนมองหน้ากันและหัวเราะในลำคอทั้งคู่
ต้องยอมรับว่าเกาเฉิงฮั่นยังคงมั่นใจในตัวของหลินเป่ยเฉินอยู่หลายส่วน
เด็กหนุ่มคนนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ผลงานการต่อสู้กับเหลียงหยวนเตาในวันนั้น ยังติดตราตรึงใจเกาเฉิงฮั่นไม่รู้ลืม
เขาประเมินว่าด้วยระดับพลังในปัจจุบันของหลินเป่ยเฉิน เด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาชนะผู้มีพลังขั้นเซียนระดับหนึ่งด้วยกันได้อย่างไม่มีปัญหา และเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อของผู้มีพลังขั้นเซียนระดับสอง แม้แต่ผู้มีพลังขั้นเซียนระดับสามก็ใช่ว่าหลินเป่ยเฉินจะรับมือไม่ได้
นี่คือเรื่องที่มหัศจรรย์พันลึกสำหรับผู้มีพลังระดับเซียนหน้าใหม่
ทว่าต่อให้พูดออกไป เกาเฉิงฮั่นเกรงว่าคงไม่มีใครเชื่อ
เพราะนี่คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
หลินเป่ยเฉินแหกกฎระเบียบทุกข้อของผู้มีพลังระดับเซียนหน้าใหม่หมดสิ้น
แต่การต่อสู้ครั้งนี้แตกต่างออกไป
“น้องหลิน เจ้าอย่าได้ประมาทคู่ต่อสู้เด็ดขาด”
เกาเฉิงฮั่นรับถ้วยน้ำชามาจากเฉียนเจิน เมื่อจิบน้ำชาเล็กน้อย แม่ทัพหนุ่มใหญ่ก็คล้ายกับตกอยู่ในห้วงภวังค์ที่ไกลแสนไกล ก่อนกล่าวต่อ “มีความลับเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะบอกเจ้า 30 ปีที่แล้ว ข้ากับอวี้ซือไป๋เคยต่อสู้กันมาก่อน ครั้งนั้นนางยังไม่ได้มีพลังอยู่ในระดับเซียน แต่นางกลับสามารถต่อสู้กับผู้มีพลังระดับเซียนได้อย่างไร้ปัญหา…”
เกาเฉิงฮั่นพูดมาถึงตรงนี้ ก็เริ่มปลดกระดุมเสื้อของตนเอง
หลินเป่ยเฉินโพล่งออกมาด้วยความหวาดระแวงว่า “ทะ ทะ ท่านกำลังจะทำอะไร? แค่บอกความลับทำไมต้องถอดเสื้อด้วย? พี่ใหญ่เกา ข้าคิดกับท่านเพียงพี่ชายเท่านั้น… และข้าก็ไม่ได้ชอบบุรุษด้วย…”
แต่เกาเฉิงฮั่นก็ยังคงปลดกระดุมเสื้อต่อไป หลังจากนั้น จึงเปิดเสื้อเผยให้เห็นถึงหน้าอกที่ขาวผ่อง บริเวณหน้าอกฝั่งซ้ายตำแหน่งหัวใจ ปรากฏรอยแผลเป็นขนาดเท่ากับกำปั้นมือเด็กรอยหนึ่งสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน นี่คือรอยแผลเป็นที่เก่ามากแล้ว ผ่านกาลเวลาเนิ่นนาน แต่กลับยังเกาะติดอยู่บนผิวหนังคล้ายกับใยแมงมุมสีแดงสด ช่างน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
หลินเป่ยเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย
เกาเฉิงฮั่นเป็นถึงผู้มีพลังขั้นเซียน
ร่างกายสามารถฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้เร็วมากกว่าคนปกติ เรียกว่าแทบจะเป็นเทอร์มิเนเตอร์ก็คงไม่ผิด
แต่รอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นเมื่อ 30 ปีก่อน กลับไม่ได้จางหายไปตามกาลเวลา แสดงว่าการต่อสู้กับอวี้ซือไป๋ผู้นั้น คงเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดมาก
“การต่อสู้ในครั้งนั้น… พี่เกาคงไม่ได้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้หรอกใช่ไหมขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินรีบถามด้วยความสงสัย
หากเป็นเช่นนั้น เขาก็คงต้องประเมินระดับพลังของมือธนูจากจักรวรรดิจี้กวงคนนี้ใหม่เสียแล้ว
“ไม่ ข้าเป็นผู้ชนะ”
เกาเฉิงฮั่นติดกระดุมเสื้อกลับเข้าที่อีกครั้งและถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ถึงข้าชนะก็จริง แต่หากครั้งนั้นนางใช้พลังลมปราณได้เต็มที่ ผลลัพธ์อาจไม่ออกมาเป็นเช่นนี้ และถึงจะเป็นเช่นนั้น นางก็ยังทำให้ข้าบาดเจ็บสาหัสได้อยู่ดี รอยแผลเป็นจากการต่อสู้ในวันนั้นไม่เคยจางหายไปจากตัวข้า และบัดนี้ ก็มีข่าวลือว่าสตรีนางนี้เลื่อนขึ้นเป็นผู้มีพลังขั้นเซียนระดับสามแล้ว เพราะฉะนั้น นางจึงเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งและมักจะมีพฤติกรรมแปลกประหลาดราวกับคนเสียสติ เจ้าห้ามประมาทนางเด็ดขาด”
“ข้าเองก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนเสียสติเช่นกัน แล้วเหตุไฉน ข้าจะต้องกลัวคนวิกลจริตด้วยกันเองอีกเล่า?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มเหยียดหยาม แต่แล้วก็หยุดชะงักเพราะนึกอะไรขึ้นมาได้ “เดี๋ยวก่อนนะขอรับ ท่านพูดว่าสตรีนางนั้น… อย่าบอกนะว่าอวี้ซือไป๋เป็นผู้หญิง?”
เกาเฉิงฮั่นเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ “อะไรกัน? น้องหลิน เจ้าไม่รู้เรื่องนี้หรือ?”
“แล้วข้าควรรู้หรือไงล่ะ ท่านพี่”
หลินเป่ยเฉินถาม
เกาเฉิงฮั่นขมวดคิ้ว ตอบว่า “ข้าคิดว่าเจ้าสมควรรู้เรื่องนี้ น้องหลิน”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจ “แต่ข้าไม่รู้เลยขอรับ”
ทั้งสองคนมองหน้ากัน
แววตาที่ใช้มองกันและกันเสมือนกับกำลังจ้องมอง ‘ตัวโง่งม’ ผู้หนึ่ง
หลินเป่ยเฉินรู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาเล็กน้อย
ขันทีชราจางเชียนเชียนนี่พึ่งพาไม่ได้เลยจริงๆ
ทั้งที่มีหน่วยข่าวกรองอยู่ในมือ สามารถรู้ได้แม้กระทั่งว่าฝ่ายตรงข้ามใส่กางเกงชั้นในสีอะไร แต่ข้อมูลที่สำคัญที่สุดเช่นนี้ กลับลืมบอกต่อหลินเป่ยเฉินเสียได้
ปรากฏว่ามือธนูจ้าวอินทรีเป็นผู้หญิง!
อืมมม…
หลินเป่ยเฉินแสดงสีหน้าผิดหวัง
“ไม่เป็นไรหรอก”
เกาเฉิงฮั่นรีบพูดปลอบใจ “อวี้ซือไป๋ปฏิบัติตนเหมือนบุรุษเสมอมา มีคนไม่มากที่รู้ว่านางเป็นสตรี นางทำงานหนักและต่อสู้ดุเดือดยิ่งกว่าบุรุษ และนางมักจะสวมใส่เสื้อผ้าของบุรุษเสมอ… ช่างมันเถอะ ไม่ว่านางจะเป็นบุรุษหรือสตรี สุดท้ายก็เหมือนกันอยู่ดี…”
“ไม่เหมือนขอรับ”
หลินเป่ยเฉินขัดจังหวะเสียงแข็งและกัดฟันกรอด “คนหน้าตาธรรมดาอย่างท่านไม่เข้าใจหรอก การที่นางเป็นบุรุษหรือสตรีนั้นคือเรื่องสำคัญมาก หากนางเป็นสตรี…”
คุณชายหลินยกมือจับคางตัวเอง และส่งเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง “หากนางเป็นสตรี ข้าก็มีเป็นร้อยแปดหมื่นวิชาที่จะสามารถยั่วยวนนางให้หลงใหลข้าได้… ฮ่าฮ่าฮ่า”
เกาเฉิงฮั่นพูดอะไรไม่ออก
เขาอยากรู้นักว่าหลินเป่ยเฉินมีวิชาอะไรที่จะทำให้อวี้ซือไป๋หลงใหลได้หรือ?
แม่ทัพหนุ่มใหญ่จ้องมองด้วยความสงสัย
แต่ไม่ว่าสอบถามสักเท่าไหร่ หลินเป่ยเฉินก็เอาแต่ตอบว่า ‘ท่านไม่มีพรสวรรค์มากพอ ท่านฝึกวิชาเหล่านั้นไม่ได้’
เมื่อรู้ว่าคาดคั้นไปก็คงไม่ได้คำตอบ สุดท้าย เกาเฉิงฮั่นก็เลือกที่จะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก