เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 90 เจ้าต้องเป็นหัวหน้าของพวกมันแน่
บทที่ 90 เจ้าต้องเป็นหัวหน้าของพวกมันแน่
ในโลกจอมยุทธ์ การต่อสู้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่าเมืองหยุนเมิ่งจะรักษาความปลอดภัยรัดกุมมากแค่ไหน สุดท้ายก็หยุดยั้งการเติบโตของสำนักยุทธ์อิสระไม่ได้อยู่ดี
ปัจจุบัน มีสำนักยุทธ์อิสระผุดขึ้นมามากมายราวกับดอกเห็ด กระจายอยู่ทุกซอกมุมของตัวเมือง
คนกลุ่มนี้จะไม่ต่อสู้กับคนของภาครัฐในตอนกลางวัน และจะไม่ทำผิดกฎหมายให้ใครรู้เห็น แต่พวกเขาจะมีกฎของกันและกัน ให้ชาวเมืองต้องปฏิบัติตาม
ทางภาครัฐก็ไม่ได้เมินเฉยต่อกลุ่มสำนักยุทธ์เหล่านี้
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่สำนักยุทธ์อิสระสามารถส่งลูกศิษย์ของตนเองเข้าประลองความสามารถของผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองได้เหมือนสถานศึกษาทั่วไป
แต่ก็มีเจ้าหน้าที่ของกระทรวงศึกษาจำนวนมาก รังเกียจสมาชิกจากสำนักเหล่านี้ เช่น หลี่ชิงสวนที่ไม่ปิดบังเลยว่าเขาเกลียดคนกลุ่มนี้มากแค่ไหน
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ตรงปากทางเข้าตรอกแห่งนั้น เพ่งสายตาดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้านใน
มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังต่อสู้กัน
ฝ่ายหนึ่งมีด้วยกัน 3 คน ขณะนี้อยู่ในสภาพเลือดไหลท่วมตัว พยายามหาทางหลบหนีอย่างสุดความสามารถ ส่วนที่ไล่หลังมานั้นก็เป็นชายฉกรรจ์หลายสิบชีวิต ตวัดกระบี่ในมือด้วยท่าทีข่มขู่คุกคาม…
“พวกเรารีบตามไปเร็วเข้า!”
“อย่าปล่อยให้พวกสำนักวายุสะเทือนฟ้าหนีไปได้เด็ดขาด”
“ท่านรองเจ้าสำนักบอกว่าฟางเสี่ยวไป่มีค่าหัว 10 เหรียญทองคำ เราต้องจับตัวมันกลับไปให้ได้”
ฝ่ายตามล่าร้องตะโกนพร้อมกับซัดอาวุธลับออกมาตลอดเวลา
ตรอกนี้มีความยาวเกือบหนึ่งลี้ กำแพงทั้งสองฝั่งสูงหนึ่งจั้ง ด้วยอาวุธลับที่ซัดเข้ามาเหมือนห่าฝน ในไม่ช้า กลุ่มคนที่กำลังหลบหนีทั้งสามก็เสียเลือดเป็นจำนวนมาก และร่างกายก็เริ่มหมดแรงแล้ว
หลินเป่ยเฉินยืนกอดอกอยู่ตรงปากทางเข้า มือข้างหนึ่งยกขึ้นจับคาง สีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
สำนักวายุสะเทือนฟ้า?
นี่คือสำนักที่ส่งตัวแทนเข้าร่วมการค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองด้วยนี่นา
แล้วชื่อฟางเสี่ยวไป่อะไรนั่นก็คุ้นหูเขาชอบกล
นึกออกแล้ว
มันเป็นชื่อตัวแทนสำนักวายุสะเทือนฟ้าที่เข้าร่วมการค้นหาผู้มีพรสวรรค์นั่นเอง
ว่าแต่อยู่ลำดับที่เท่าไหร่ในรายชื่อบนแท่นหินนะ?
หลินเป่ยเฉินจำไม่ได้แล้วเหมือนกัน
แต่สิ่งหนึ่งที่เด็กหนุ่มจำได้แม่นยำก็คือ ฟางเสี่ยวไป่ลงมือทำลายเครื่องรางประจำตัวของผู้เข้าร่วมแข่งขันกว่า 30 คนก่อนการแข่งขันวันสุดท้าย ซึ่งทำให้ลูกศิษย์อัจฉริยะจากสถานศึกษากระบี่หลวง อย่างเช่น มู่เหยียนตงต้องตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย
นอกจากฟางเสี่ยวไป่แล้ว ก็ยังมีเด็กหนุ่มอีกคนที่ชื่อว่าซูโต่วจากสำนักหมาป่าไฟร่วมมือก่อเหตุด้วยเช่นกัน
ขณะที่หลินเป่ยเฉินกำลังคิดถึงตรงนี้ ฟางเสี่ยวไป่และลูกสมุนทั้ง 2 คนก็ถูกฝ่ายตามล่าไล่ตามมาทันพอดี
การต่อสู้อันดุเดือดบังเกิดขึ้น
วูบ!
ลำแสงสีน้ำเงินเป็นประกายเย็นเยียบ
ผ้าโพกศีรษะของฟางเสี่ยวไป่หลุดกระเด็น เส้นผมยาวสลวยขาดออกไปประมาณหนึ่งคืบ เนื้อผ้าบริเวณหัวไหล่ฉีกขาด เผยให้เห็นผิวขาวเนียนผ่องใส เหมือนดวงจันทร์สีเงินที่กำลังลอยตัวอยู่กลางตรอกอันมืดมิด
“อ้าว เป็นผู้หญิงหรอกเหรอเนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินอ้าปากค้าง
“ฮ่าฮ่า ฟางเสี่ยวไป่ คิดหรือว่าเจ้าเที่ยวไปทุบเครื่องรางของผู้อื่นเช่นนั้น จะหนีรอดชะตากรรมไปได้ง่ายๆ?”
หนึ่งในผู้ไล่ล่าเป็นชายหัวโล้นสวมใส่ชุดเกราะสีดำ คาดผ้าปิดตาสีเดียวกันข้างหนึ่ง เขาลงมือโจมตีพลางฉีกยิ้มด้วยความสะใจ ชายคนนี้มีสถานะเป็นหัวหน้ากลุ่ม ในมือถือกระบี่ที่ตกแต่งด้วยลวดลายสวยงาม เวลาเอ่ยวาจาแต่ละคำ มวลอากาศรอบกายจะเกิดความปั่นป่วนอย่างควบคุมไม่ได้
ฟางเสี่ยวไป่ได้แต่ถอยร่นไปด้านหลังเรื่อยๆ พลางยิงลำแสงสีเงินสกัดการโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามที่หมายเล่นงานลูกน้องทั้งสองคนของนาง
“เดี๋ยวข้าจัดการเอง พวกเจ้าหลบหนีไปก่อน”
เด็กสาวเผชิญหน้ากับอันตรายด้วยความเยือกเย็น ร่างกายบิดตัวไปมาด้วยความยืดหยุ่น กระบี่ในมือตวัดตัดอากาศว่องไวเหมือนงูพิษ เดี๋ยวชักกลับ เดี๋ยวเสือกแทง นางรับมือกับอาวุธลับของชายหัวโล้นพลางตอบโต้คู่ต่อสู้คนอื่นๆ ไปด้วยในเวลาเดียวกัน
ลูกน้องทั้ง 2 คนของเด็กสาวเชื่อคำสั่งของนางเป็นอย่างดี พวกเขาพากันหมุนตัว เตรียมหาจังหวะหลบหนี
“ฮี่ฮี่ ฟางเสี่ยวไป่ วันนี้เจ้าหนีไม่รอดแน่”
ชายหัวโล้นตาเดียวระเบิดเสียงหัวเราะ คมกระบี่เป็นประกายวูบวาบจากพลังลมปราณที่ถูกโคจรใส่เข้าไป หลังจากนั้น เขาก็โถมตัวโจมตีฟางเสี่ยวไป่ไม่ยั้งมือ
ในเวลาเดียวกันนี้ อาวุธลับที่เป็นเข็มอาบยาสลบก็ถูกยิงออกมาจากหลายทิศทาง
ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง!
กระบี่ในมือฟางเสี่ยวไป่สามารถปัดป้องเข็มอาบยาสลบเหล่านั้นได้ แต่เมื่อหันกลับมารับการปะทะจากกระบี่ในมือชายหัวโล้นอีกครั้ง ข้อมือของนางก็สะเทือนวูบ ส่งผลให้กระบี่ในมือหลุดลอยออกไปทันที
แต่โชคดีที่เด็กสาวมีปฏิกิริยาตอบรับฉับไว นางม้วนตัวกลิ้งไปบนพื้นด้วยความปราดเปรียว แม้ข้อมือได้รับบาดเจ็บ แต่นางก็ยังรวดเร็วมากพอที่จะหลบหนีการโจมตีได้หลายกระบวนท่าต่อเนื่องกัน
นางสู้ไปพลาง มองหาจังหวะหลบหนีไปพลาง และคอยคุ้มกันลูกน้องทั้งสองคนไปพลาง
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าคนกลุ่มใหญ่พลันดังขึ้น
ด้านหลังหลินเป่ยเฉินในขณะนี้ มีกลุ่มชายฉกรรจ์อีก 16 ถึง 17 คนวิ่งผ่านเข้าไปในตรอก ก่อนที่จะยืนเรียงแถวขวางทางออก ปิดทางหลบหนีของฟางเสี่ยวไป่และพรรคพวกทั้งสองคน
ชายหัวโล้นระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “อุ๊วะ ฮ่าๆๆๆ อิอิๆๆ ยอมให้พวกเราจับตัวแต่โดยดีเถอะนะ ยังไงวันนี้เจ้าก็หนีไม่รอดแล้ว”
“หัวหน้าซูขอรับ ครั้งนี้ ขอพวกเราได้มีโอกาสสนุกกับนางหน่อยนะขอรับ”
“ใช่แล้วขอรับ ฟางเสี่ยวไป่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามมาแต่ไหนแต่ไร เปรียบเสมือนม้าพยศที่รอคนปราบ พวกเราอยากจะลองขี่นางดูสักครั้ง”
ถ้อยคำลามกหยาบคายถูกพ่นออกมาจากปากของกลุ่มชายฉกรรจ์
การต่อสู้ทวีความดุเดือดมากยิ่งขึ้น
ฟางเสี่ยวไป่เคยเป็นตัวแทนเข้าไปแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองมาแล้ว หมายความว่าทักษะการต่อสู้ ปฏิกิริยาการตอบรับ และสติปัญญาของนางย่อมไม่เป็นสองรองใคร แม้จะถูกรุมโจมตีจากรอบทิศทาง แต่จนถึงขณะนี้ เด็กสาวกลับได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น…
“ท่านพี่เสี่ยวไป่รีบหนีไปก่อนเถอะขอรับ ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรา”
หนึ่งในลูกน้องของนางพูดออกมาด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า
หลินเป่ยเฉินที่กำลังยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความสนใจ ก็เข้าใจแล้วว่าลำพังฟางเสี่ยวไป่คนเดียวนางสามารถหลบหนีได้ไม่มีปัญหา แต่ที่นางยังไม่หนี ก็เพราะเป็นห่วงลูกน้องทั้ง 2 คนนั่นเอง
แต่ยิ่งนางไม่หนี ทุกอย่างก็ยิ่งแย่ลง
หลังจากต้องรับการโจมตีอยู่หลายกระบวนท่า วงล้อมของกลุ่มชายฉกรรจ์ก็ค่อยๆ บีบแคบเข้ามา
“อ๊าก…”
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดพลันดังขึ้น
เลือดสาดกระจาย
ลูกน้องคนหนึ่งของเด็กสาวถูกฟันเข้าที่หัวไหล่อย่างจัง ส่งผลให้แขนข้างนั้นห้อยร่องแร่งใกล้ขาดเต็มที
ฟางเสี่ยวไป่รีบถลันกายเข้าไปช่วยเหลือด้วยความตกตะลึง มันเป็นจังหวะที่ทำให้นางเสียสมาธิ รู้ตัวอีกทีหน้าอกฝั่งซ้ายก็ชาวูบ เด็กสาวถูกเข็มอาบยาสลบยิงใส่เข้าให้เสียแล้ว บริเวณหัวไหล่ซ้ายของฟางเสี่ยวไป่จึงปราศจากความรู้สึกไปทันที
“ไม่นะ” ฟางเสี่ยวไป่หัวใจกระตุกวูบ
“ฮ่าฮ่าฮ่า นางโดนเข็มขัดยาสลบเล่นงานเข้าให้แล้ว”
“ล้มลงไป! ล้มลงไป! ล้มลงไป!”
เมื่อเห็นดังนั้น ชายหัวโล้นก็ยืนหัวเราะด้วยความชอบใจ แทนที่จะบุกเข้าไปโจมตีต่อเนื่อง เขากลับโบกมือสั่งให้ลูกน้องถอยออกมา และเอาแต่รอคอยให้ฟางเสี่ยวไป่ทนฤทธิ์ของยาสลบไม่ไหว จนไม่มีความสามารถที่จะขัดขืนพวกเขาได้อีกต่อไป
“ท่านพี่เสี่ยวไป่ ท่านเป็นอะไรไปขอรับ?”
“เฮ้ย”
เมื่อถึงตอนนี้ หลินเป่ยเฉินก็หัวใจกระตุกวูบขึ้นมาแล้วเช่นกัน
เสียงนี้มัน…
คุ้นหูเขามาก
“เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนวะ?”
หลินเป่ยเฉินรวบรวมพลังจิต ใช้สายตาเพ่งมองไปยังหนึ่งในลูกน้องของฟางเสี่ยวไป่ ก่อนที่เขาจะพบว่าเป็นเด็กชายบริกรในโรงเตี๊ยมชิงฝูคนนั้น
เด็กชายเปลี่ยนเสื้อผ้ามาสวมใส่ชุดจอมยุทธ์ ทำให้หลินเป่ยเฉินจดจำไม่ได้ตั้งแต่ทีแรก
คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าเด็กคนนี้ก็เป็นสมาชิกของสำนักยุทธ์อิสระกับเขาด้วยเหมือนกัน
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นจับคางตัวเอง
ที่ผ่านมา เขาแค่อยากทำตัวเป็นผู้รับชมที่ดี ไม่อยากไปข้องเกี่ยวอะไรมากกว่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มคนที่สังกัดสำนักยุทธ์อิสระก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่ใช่ตัวดีแน่นอน หลินเป่ยเฉินยิ่งไม่อยากข้องเกี่ยวด้วยเข้าไปใหญ่ ในคืนนี้ เขาเพียงตั้งใจออกมาเก็บหนี้เอาไว้ชาร์จแบตโทรศัพท์ เพื่อหาวิธีกลับสู่โลกมนุษย์ให้ได้เท่านั้น
แต่ว่า…
“เข้าไปช่วยดีไหมวะเนี่ย?”
เจ้าเด็กเสิร์ฟนั่นท่าทางจะเป็นเด็กดีไม่ใช่น้อย
เขารู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้
แต่ในจังหวะที่หลินเป่ยเฉินยังตัดสินใจไม่ถูกอยู่นั้นเอง ชายหัวโล้นก็หันมามองทางเขา ยกกระบี่ในมือขึ้นและออกคำสั่งบอกลูกน้องว่า “ฆ่ามันซะ”
หลินเป่ยเฉินสะดุ้งโหยง
หมายความว่าไงกัน?
“ฉันยังตัดสินใจไม่ได้เลยนะว่าจะจัดการพวกแกดีหรือเปล่า พวกแกก็จะชิงเล่นงานฉันก่อนแล้วเหรอ?”
เมื่อชายหัวโล้นเห็นสีหน้างงงันของหลินเป่ยเฉิน ก็หัวเราะเหยียดหยามออกมาว่า “ข้าแอบสังเกตเจ้ามาพักใหญ่แล้ว เจ้ายืนดูอยู่ที่ปากตรอกตั้งแต่ตอนที่พวกเราเริ่มสู้กัน สีหน้าของเจ้าไม่เกิดความตื่นกลัวเลยแม้แต่น้อย ฮ่าฮ่า ดูจากอายุของเจ้า เสื้อผ้าที่เจ้าสวมใส่ และรูปร่างของเจ้าแล้ว เจ้าต้องเป็นหัวหน้าของพวกมัน 3 คนนี้แน่นอน พี่น้องเอ๋ย รีบฆ่ามันซะ แล้วคืนนี้เราจะได้สนุกกันให้หนำใจ”