เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 910 ใช้เวลาเร็วกว่าที่คิด
ตอนที่ 910 ใช้เวลาเร็วกว่าที่คิด
“ผู้ใดกล้ามาอาละวาดที่จวนสกุลหวง?”
ชายฉกรรจ์ร่างกายสูงใหญ่ผู้หนึ่งระเบิดพลังลมปราณออกมาโดยไม่รู้ตัว และพลังลมปราณของเขานั้นก็เพียงพอที่จะเขย่าขวัญกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปให้อกสั่นขวัญแขวนได้ไม่ยาก
ชายฉกรรจ์ผู้นี้แทบจะเป็นผู้มีพลังอยู่ในขั้นเซียนแล้ว
ตลอดร่างกายห่อหุ้มด้วยม่านพลังสีฟ้า จึงไม่มีใครมองเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน
วูบ! วูบ! วูบ!
ปรากฏเงาร่างอีกหลายสายทิ้งตัวลงมายืนอยู่ในจวนตระกูลหวง
ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีระดับพลังสูงส่งทั้งสิ้น
ทุกคนจ้องมองไปที่จวนตระกูลหวง
สิ่งที่พบเห็นในสายตาคืออวัยวะมนุษย์ที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น
จวนตระกูลหวงถูกย้อมด้วยสีเลือด
ศพมนุษย์ไม่สมบูรณ์ แม้แต่จะระบุตัวตนว่าเป็นศพของผู้ใดบ้างก็ยังทำไม่ได้
“ตายหมดเลยหรือ?”
ชายฉกรรจ์ผู้มีม่านพลังสีฟ้าครอบคลุมร่างกายอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง ในหัวใจรู้สึกหนาวเย็นอย่างไม่มีเหตุผล
บรรดาผู้ที่มาด้วยกันต่างก็หนังหัวชายิบ
ก่อนหน้านี้ ทุกคนประจำการอยู่ตามจุดต่างๆ ทั่วนครหลวง เมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติในจวนตระกูลหวง พวกเขาก็รีบรุดมาที่นี่ทันที
ปรากฏว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากห้ามปราม แม้แต่ผู้ลงมือก่อเหตุเป็นใคร พวกเขาก็ยังไม่ทราบ
“ข้าสัมผัสได้ถึงพลังของผู้ที่อยู่ในขั้นเซียน…”
ยอดฝีมือที่มีม่านพลังสีฟ้าปกคลุมร่างกายพูดออกมาช้าๆ
เมื่อผู้ที่มาด้วยกันได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ผู้มีพลังระดับเซียน?
ผู้ก่อเหตุในครั้งนี้มีฝีมือสูงส่งถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
“มากกว่าหนึ่งคนด้วยซ้ำ”
ชายฉกรรจ์ผู้มีม่านพลังสีฟ้ากล่าวเสริมเพิ่มเติมอีกหนึ่งประโยค
หลังจากพูดจบ เขาก็ลอยตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า เหาะหายลับไปจากสายตาโดยไม่เหลียวหน้ามองกลับมาอีก
หูของทุกคนได้ยินเสียงเหมือนฟ้าคำราม พลังคุกคามมหาศาลกดดันร่างกาย
ผู้มีพลังระดับเซียนมากกว่าหนึ่งคนบุกโจมตีจวนตระกูลหวง?
คนที่มารวมตัวกันที่นี่ในวันนี้ ล้วนแต่เป็นสมาชิกของตระกูลเว่ย เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด
เพราะฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่าผู้มีพลังระดับเซียนกลุ่มหนึ่งไม่พอใจตระกูลเว่ยที่แผ่อำนาจขยายความยิ่งใหญ่ในนครหลวง จึงจัดการสังหารหมู่หมดสิ้น?
นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว
“เว่ยหมิงเฟิงอยู่ที่นี่”
ห่างออกไปสองลี้ เสียงของใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา
วูบ! วูบ! วูบ!
กลุ่มยอดฝีมือรีบพลิ้วกายไปยังบริเวณนั้น
และพวกเขาก็พบเห็นเพียงร่างครึ่งท่อนบนของเว่ยหมิงเฟิงนอนแน่นิ่งอยู่กลางพื้นถนน เสียชีวิตอยู่ท่ามกลางกองเลือดของตนเอง
ร่างกายของบุรุษหนุ่มคล้ายผ่านการเผชิญหน้าแรงระเบิดหนักหน่วง ผู้ลงมือย่อมมีฝีมือสูงส่งเกินคาดเดา เพราะแม้แต่เว่ยหมิงเฟิงที่มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับแปดก็ยังไม่สามารถต้านทานได้ และหน้าอกของเขาก็กลายเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่…
ห่างออกไปเพียงสิบก้าวเดิน
รองเท้าของเว่ยหมิงเฟิงตกอยู่ตรงนั้น
ถัดจากนั้นไปอีกสองวาเศษ ร่างกายครึ่งท่อนล่างของเว่ยหมิงเฟิงก็แหลกสลายกลายเป็นกองเลือดกองเนื้อส่งกลิ่นเหม็นคาวชวนอาเจียน ไม่เหลือแม้แต่โครงกระดูกให้ดูต่างหน้า…
“นับเป็นการโจมตีที่น่าสยองขวัญยิ่งนัก”
“ต้องเป็นการลงมือของผู้มีพลังขั้นเซียนไม่ผิดแน่”
บรรดายอดฝีมือที่มารวมตัวกันสังเกตการณ์พลันหัวใจหนาวเย็นขึ้นมา
ทุกคนสามารถวาดภาพตามได้อย่างชัดเจนว่ายามที่เว่ยหมิงเฟิงหลงลำพองคิดว่าตนเองหลบหนีได้สำเร็จ เขาก็ถูกฆาตกรไล่ตามมาสังหารด้วยกระบวนท่าอันสูงส่ง
น่ากลัว!
น่ากลัวเหลือเกิน!!
ครั้งนี้ พวกเขาไม่ทราบเลยว่าตระกูลเว่ยไปมีปัญหากับผู้ใดเข้าให้แล้ว?
…
จวนตระกูลจั่ว
จวนแห่งนี้มีต้นไม้ร่มรื่น คฤหาสน์หลังใหญ่คล้ายกับมีอายุหลายพันปี ไม่ว่ามองไปยังบริเวณใดก็จะให้ความรู้สึกของความเก่าแก่ที่ชัดเจน
เมื่อได้รับอนุญาต ชายฉกรรจ์ร่างสูงก็รีบเดินเข้าไปพบกับชายชราผู้เป็นหนึ่งในสามผู้มีอำนาจสูงสุดแห่งนครหลวง ณ ปัจจุบัน
“กราบเรียนนายท่าน เว่ยหมิงเฟิงตายแล้วขอรับ”
ชายฉกรรจ์คุกเข่าข้างหนึ่งรายงาน
ภายในห้องตั้งไว้ด้วยโต๊ะไม้เก่าแก่สีเลือดหมู บนโต๊ะจัดวางจานหยกหลายขนาด ตราประทับและขวดหมึก รวมไปถึงของวิเศษอื่นๆ อีกมากมาย
ด้านหลังโต๊ะนั่งด้วยชายชราในชุดขุนนางเต็มยศ หน้าตาของเขาราบเรียบธรรมดา หัวคิ้วขมวดหน้าผากยับย่นตลอดเวลา ในมือถือปากกาขนนก ราวกับกำลังจะลงมือเขียนอะไรบางอย่าง
“หืม ผู้ลงมือใช้เวลาก่อเหตุนานเท่าใด?”
ชายชราวางปากกาขนนกลงและเงยหน้าขึ้นมาถามช้าๆ
ดวงตาของเขาล้ำลึกราวกับมหาสมุทรแห่งดวงดาราไร้ขอบเขต ดูลึกลับและเป็นปริศนา ราวกับว่ามีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวโคจรรอบวงสุริยะด้วยพลังลมปราณอยู่ในนั้น
แม้ชายชราจะมีหน้าตาราบเรียบธรรมดา แต่หากเผลอสบตามองดวงตาของเขาแล้ว ดวงตาของเขาก็จะมีความแข็งกร้าวชนิดหนึ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกอยากยอมแพ้โดยไม่รู้ตัว
เพราะเขาเป็นหนึ่งในคนที่มีอำนาจสูงสุดในจักรวรรดิเป่ยไห่
ชายชราผู้นี้เป็นหัวหน้ากลุ่มขุนนางแห่งนครหลวง
มีนามว่าจั่วเซียง
“กราบเรียนนายท่าน นับดูเวลาทั้งหมด ผู้ลงมือใช้เวลาก่อเหตุไม่เกิน 20 ลมหายใจขอรับ”
ชายฉกรรจ์ที่คุกเข่าข้างเดียวตอบ
“20 ลมหายใจ เร็วกว่าที่ข้าคิดเอาไว้เสียอีก”
จั่วเซียงถอนหายใจ แววตาบอกถึงความซับซ้อนสับสน
“แล้วผู้ก่อกวนการเดินขบวนประท้วง เจ้าจัดการหมดแล้วหรือยัง?”
ชายชราถามออกมาอีกครั้ง
ชายฉกรรจ์ที่คุกเข่าข้างเดียวก้มหน้าตอบด้วยความเคารพ “ผู้ก่อกวนคนหนึ่งแม่ทัพเกาเป็นคนจัดการด้วยตนเองขอรับ ส่วนผู้ก่อกวนคนอื่นๆ หายตัวไปอย่างเป็นปริศนา ไม่ทราบเป็นฝีมือของผู้ใด แต่การเดินขบวนประท้วงเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่เกิดเหตุร้ายตั้งแต่ต้นจนจบขอรับ”
“ประเสริฐ”
จั่วเซียงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนยิ้มมุมปากและพูดว่า “เจ้าออกไปได้แล้ว วันพรุ่งนี้เป็นกำหนดการต่อสู่ระหว่างมือธนูจ้าวอินทรีกับเซียนกระบี่ขี้เมา ข้าจะไปร่วมชมดูสักหน่อย”
“รับทราบขอรับ”
ร่างที่คุกเข่าข้างเดียวพลันลุกขึ้นยืน ก้มศีรษะประสานมือคำนับ ก่อนจะหมุนตัวก้าวเดินออกไปจากห้องในที่สุด
…
การเดินขบวนจบลงแล้ว
ณ ตึกที่ทำการสมาคมศิษย์สำนักศึกษาระดับสูงแห่งนครหลวง
“เย้…”
ทุกคนโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ
หลี่ซิวเยวียนเดินหิ้วไหสุราเทียนเหนียงฟาง ซึ่งเป็นสุราหมักประจำฤดูกาลออกมารินแจกจ่ายให้แก่มิตรสหายทุกคน
รสชาติและกลิ่นของสุราทำให้บรรยากาศคล้ายกับมีงานเทศกาล
บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักแจ่มใส
“การเดินขบวนวันนี้ได้ผลดีมาก”
“ฮื่อ ทีนี้ผู้คนทั่วนครหลวงก็รู้แล้วว่าจักรวรรดิของเราเป็นหนี้บุญคุณหลินเป่ยเฉินขนาดไหน…”
“ใช่ พวกเราทำสิ่งที่ถูกต้องที่สุดและมีความหมายมากที่สุดแล้ว”
“ฮ่าฮ่าฮ่า จริงด้วยสิ สิ่งที่เราเพิ่งทำไปนั้น มีความหมายมากกว่าการเดินเรี่ยไรเงินทุนและไปประท้วงกันหน้าสถานทูตจักรวรรดิจี้กวงซะอีก”
หลิวเหวินฮุย กานเซียวซวงและคนอื่นๆ พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
ผลลัพธ์ของการเดินขบวนในวันนี้ออกมาดีมากกว่าที่พวกเขาคาดคิด
เดิมที ทุกคนวางแผนเอาไว้ว่าหากเกิดเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายเพราะมีมือที่สามแทรกแซง พวกเขาก็พร้อมยุติการชุมนุมทันที
เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ในอดีตซ้ำรอยเดิม และต้องมีผู้ประท้วงได้รับบาดเจ็บล้มตายโดยไม่จำเป็น
แต่กลับกลายเป็นว่าผู้ร่วมชุมนุมในครั้งนี้เตรียมตัวเตรียมใจกันมาอย่างดี
ทุกคนพร้อมเสียสละชีวิตของตนเอง
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าการเดินขบวนจะผ่านไปอย่างราบรื่น
ผู้คนในนครหลวงให้การตอบรับเป็นอย่างดี
ไม่ว่าขบวนประท้วงจะเดินไปถึงบริเวณใด พวกเขาก็จะได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อหลินเป่ยเฉินดังอยู่ตลอดเวลา
“การเดินขบวนครั้งนี้น่าตื่นเต้นจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า ข้ารู้เลยว่าหลินเป่ยเฉินสมควรถูกยกย่องให้เป็นบุรุษที่หล่อเหลาเป็นอันดับหนึ่งแห่งนครหลวง อีกทั้งเขายังมีจิตใจที่น่ายกย่อง ต่อให้ข้าตายแล้วเกิดใหม่ ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเกิดมาดีได้เท่ากับครึ่งหนึ่งของเขาหรือไม่”
กู่เทียนเล่อพูดออกมาด้วยน้ำเสียงยกย่อง
กานเซียวซวงรีบขัดขึ้นว่า “ศิษย์พี่กู่ ท่านก็เป็นบุรุษที่หล่อเหลาและมีจิตใจที่น่ายกย่องเช่นกัน ได้โปรดอย่าดูถูกตนเองมากเกินไปเลยนะเจ้าคะ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ศิษย์พี่กู่ ถึงหลินเป่ยเฉินจะสร้างคุณงามความดีให้แก่จักรวรรดิเป่ยไห่ และทำเรื่องราวปาฏิหาริย์ให้เป็นจริงได้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ศิษย์พี่กู่เองก็ไม่เลวร้ายเช่นกัน…”
ตู้กู่อู๋อิงพยายามพูดสนับสนุน
กู่เทียนเล่อส่ายศีรษะและตอบรับด้วยน้ำเสียงตื้นตันใจ “สิ่งที่ข้าพูดออกไปนั้น เป็นความรู้สึกที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ…”
เขากวาดตามองทุกคนรอบตัวและกล่าวต่อ “เมื่อเทียบกับหลินเป่ยเฉิน ตัวข้ายังนับเป็นอะไรได้อีก? เฮ้อ น่าละอาย น่าละอาย ยิ่งข้าได้รู้เรื่องราวของเขามากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยมากเท่านั้น หลินเป่ยเฉินมีความดีงามเสียจนราวกับหลุดออกมาจากเรื่องเล่านิทานปรัมปราของผู้เฒ่าผู้แก่ ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าบุคคลที่ดีงามเช่นนี้จะมีอยู่จริงในโลกของเราด้วย…”
ผู้รับฟังทุกคนต่างก็ตื้นตันใจไปกับคำพูดของกูเทียนเล่อ
เยวียนเหวินจวิ้นก็กล่าวออกมาเช่นกันว่า “คุณชายกู่ไม่ต้องน้อยใจไป ท่านและหลินเป่ยเฉินเปรียบดั่งไข่มุกล้ำค่าของพวกเราทั้งคู่ ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่ง ท่านก็จะต้องเป็นมังกรที่บินผงาดอยู่บนฟากฟ้าได้อย่างแน่นอน”
กู่เทียนเล่อยังคงตอบว่า “หากข้าเป็นมังกร หลินเป่ยเฉินก็คงต้องเป็นราชันมังกรแล้ว”
ฮ่าๆๆ
ยิ่งพูดมากเท่าไหร่ เด็กหนุ่มก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น
คนเราจะมีโอกาสสักกี่ครั้งที่ได้ชมตนเองเป็นราชันมังกร
อุ๊วะอะฮิอะฮิ
น่าตลกชะมัด
หลังจากร่วมงานเลี้ยงฉลองได้พักหนึ่ง หลินเป่ยเฉินก็ขอตัวกลับ
ระหว่างทาง
เขาพบเจอผู้คนจำนวนมาก
ผู้คนหลั่งไหลราวสายน้ำ
ทุกคนต่างพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ยินมาจากการเดินขบวนในวันนี้
“สรุปว่าหลินเป่ยเฉินเป็นคนดีจริงๆ ใช่ไหม?”
“ใช่ คิดไม่ถึงจริงๆ ไม่นานก่อนหน้านี้ พวกเรายังสาปแช่งเขาอยู่เลย”
“บุคคลเช่นนี้โบราณว่าเกิดมาเพื่อเป็นวีรบุรุษโดยแท้ นอกจากเขาจะช่วยเหลือผู้คนในมณฑลเฟิงอวี่เอาไว้แล้ว เขายังแก้ปัญหาการยกทัพบุกโจมตีของพวกชาวทะเลได้อีกด้วย นี่คือความดีความชอบใหญ่หลวงทีเดียว”
“พูดถึงเรื่องนี้ หลายวันก่อนข้าก็เคยสาปแช่งเขาเช่นกัน ข้ารู้สึกผิดเหลือเกิน”
“เจ้าได้ข่าวแล้วหรือยัง? เห็นว่าคุณชายหลินมาถึงนครหลวงแล้วนะ”
เสียงพูดคุยดังขึ้นทุกหนทุกแห่ง
นี่คือกระแสตอบรับจากการเดินขบวนในวันนี้
ภาพลักษณ์ของหลินเป่ยเฉินได้รับการฟื้นฟูกลับมาแล้ว
ระหว่างที่เดินไปตามท้องถนน คุณชายหลินก็รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า หัวใจพองโต คล้ายกับกำลังจะลอยได้อย่างไรอย่างนั้น
เขามีความสุขจนบางครั้งก็ต้องแวะเข้าไปร่วมวงสนทนา
“ย่อมเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ข้าเองก็อยู่ในเหตุการณ์ตอนที่หลินเป่ยเฉินระเบิดร่างของพวกปีศาจแตกกระจาย…”
“ใช่ ข้าเคยเห็นด้วยตาของตนเองมาแล้ว”
“หลินเป่ยเฉินตัวจริงมีหน้าตาเป็นอย่างไรอย่างนั้นหรือ? ข้าจะบอกพวกท่านอย่างไรดี? เอาเป็นว่าข้าไม่เคยเห็นใครหล่อเหลาเท่าเขามาก่อน โดยเฉพาะเวลาที่เขาส่งยิ้ม สตรีจำนวนมากจะต้องตกอยู่ในภวังค์ราวกับถูกมนต์สะกด…”
หลินเป่ยเฉินแวะไปร่วมวงสนทนาตลอดทางกลับที่พัก
ดังนั้น กว่าเขาจะกลับมาถึงจวนซางจั้วหยวน มันก็เป็นเวลามืดค่ำแล้ว