เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 917 โฉมหน้าของวีรบุรุษตัวจริง
ตอนที่ 917 โฉมหน้าของวีรบุรุษตัวจริง
เคล้ง!
เสียงโลหะปะทะกันดังขึ้น
บนสังเวียนเฟิงอวิ๋นขณะนี้ การปะทะกันระหว่างลำแสงลูกศรลมปราณกับกระบี่สายฟ้า ราวกับจะทำให้กาลเวลาหยุดนิ่ง
ทุกอย่างหยุดชะงัก
ในหัวใจของทุก ๆ คนเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
โดยเฉพาะหลินเป่ยเฉิน
เขาถึงกับลืมหายใจไปชั่วขณะ
ทันใดนั้น…
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ
ได้ยินเสียงโลหะแตกร้าว
แล้วปลายกระบี่สายฟ้าก็หักสะบั้น
ก่อนที่ตัวกระบี่จะเกิดรอยแตกร้าวลุกลามราวกับใยแมงมุมด้วยความเร็วแสง
อักขระอาคมบนตัวกระบี่สลายหายไปสิ้น
เปรี้ยง!
เสียงสุดท้ายของการพังทลาย
กระบี่สายฟ้าแตกกระจายออกเป็นเศษเล็กเศษน้อยนับพันชิ้น
ไม่สามารถป้องกันลูกธนูลำแสงได้อีกต่อไป
สวบ!
ลูกธนูพิฆาตนั้นพุ่งทะลุร่างกายของเกาเฉิงฮั่น
เสื้อคลุมสีขาวราวหิมะแปดเปื้อนโลหิตในพริบตา
ร่างของเกาเฉิงฮั่นสะดุ้งเฮือก
ฟุบ!
ก่อนที่จะร่วงตกลงมาบนพื้นสังเวียน
ซวนเซ
ถอยหลังไปหลายสิบก้าวก่อนยืนหยัดอย่างมั่นคงยากลำบาก
โลหิตสีแดงสดไหลทะลักจากมุมปาก
พลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายอย่างรุนแรงนั้นเบาบางลง
แพ้แล้ว!!
“ยังเอาชนะไม่ได้อีกหรือ?”
เกาเฉิงฮั่นพึมพำกับตนเอง สีหน้าขมขื่นไม่ใช่น้อย
“คงต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว อีกฝ่ายเป็นถึงยอดนักรบของจักรวรรดิจี้กวง ในมือถืออาวุธประจำชาติ… น่าเสียดาย…”
สายตาของแม่ทัพใหญ่เริ่มพร่าเลือน
ความมืดมิดเริ่มถาโถมเข้ามา
“ไม่รู้เลยว่าเจ้าหนูนั่นจะได้เห็นสักกี่มากน้อย…”
เกาเฉิงฮั่นแพ้แล้ว
ในความเงียบสงัด บังเกิดเสียงสะอื้นไห้ดังออกมาจากกลุ่มคนดู
แพ้แล้ว!!!
ผู้มีพลังระดับเซียนของพวกเขาแพ้แล้ว
นี่คือความรู้สึกไม่ต่างจากฟ้าถล่มดินทลาย ชาวจักรวรรดิเป่ยไห่เกือบครึ่งล้านชีวิตตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความเศร้าหมอง
นี่คือการต่อสู้แห่งศักดิ์ศรีของทั้งสองจักรวรรดิ
แต่พวกเขาแพ้แล้ว…
แพ้อย่างง่ายดาย
ทั่วสังเวียนตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง
ราวกับตกอยู่ในค่ายอาคมน้ำแข็ง ไม่มีความอบอุ่นแม้เพียงนิด
สีหน้าของชาวเป่ยไห่ว่างเปล่า
ในเวลาเดียวกันนี้
มือธนูจ้าวอินทรีอวี้ซือไป๋ส่ายศีรษะด้วยความเบื่อหน่าย
“ยังคงอ่อนแอมากเกินไป”
นางพูดเสียงเรียบ
ไม่ได้ดีใจไปกับชัยชนะแม้แต่น้อย
ในใจนางยังคงผิดหวัง
แต่คำพูดเรียบเฉยที่กล่าวออกมานั้นกลับดังกังวานไปทั่วสังเวียนเฟิงอวิ๋นไม่ต่างจากเสียงฟ้าคำราม สะเทือนใจผู้รับฟังชาวเป่ยไห่จนต้องกลั้นหายใจแสดงสีหน้าเศร้าหมองโดยไม่รู้ตัว…
อวี้ซือไป๋โบกมือวูบ
แสงสีเงินเป็นประกายอีกครั้ง
แล้วคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้ก็หายไปในอากาศ
อวี้ซือไป๋พลิกฝ่ามือ
ทันใดนั้น ลูกศรพลังลมปราณก็บินกลับมา และเปลี่ยนสภาพกลายเป็นผมเส้นหนึ่งที่รัดพันรอบข้อมือของนาง
การต่อสู้จบลงแล้ว
ม่านพลังรอบสังเวียนสลายตัวหายไป
วูบ!
เงาร่างของคนผู้หนึ่งทิ้งตัวลงไปบนสังเวียนด้วยความรวดเร็ว
ย่อมต้องเป็นหลินเป่ยเฉิน
เขาไม่ได้วิ่งลงไปตามขั้นบันได แต่เขาพุ่งตัวทะลวงออกไปจากผนังห้องรับรอง และทิ้งตัวลงไปยืนอยู่บนสังเวียนประลองโดยตรง
“พี่ใหญ่เกา…”
“พี่ใหญ่เกา ท่านคงยังไม่ตายหรอกใช่ไหม?”
“พี่ใหญ่เกาขอรับ ฟื้นขึ้นมาสิ ฟื้นขึ้นมาสิ พี่ใหญ่เกา”
“ฮื่อ”
ท่ามกลางการจ้องมองของสายตาผู้คนจำนวนมาก หลินเป่ยเฉินกอดร่างของแม่ทัพใหญ่เกาเฉิงฮั่นด้วยมือข้างหนึ่ง และใช้มืออีกข้างโยนวงแหวนวารีลงไปบนศีรษะของผู้บาดเจ็บครั้งแล้วครั้งเล่า
บัดนี้ เหนือศีรษะของเกาเฉิงฮั่นเต็มไปด้วยวงแหวนสีเขียวสด
เขียวสดราวกับต้นหญ้า
หลินเป่ยเฉินสัมผัสได้ถึงชีพจรที่ยังเต้นอยู่ในร่างกายเกาเฉิงฮั่น
เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ปลอดภัยแล้ว
ตราบใดที่ไม่ได้ถูกสังหารตายคาที่ วงแหวนวารีของเขาย่อมรักษาชีวิตของเกาเฉิงฮั่นได้เสมอ
อวี้ซือไป๋ที่กำลังจะเดินลงจากสังเวียนพลันหันมามองหลินเป่ยเฉินด้วยความสนใจ
นางรู้จักเขา
ในอีกสามวันต่อจากนี้ เขาคือคู่ต่อสู้ในการประลองเดิมพันชีวิตของนาง
สำหรับในสายตาของอวี้ซือไป๋ เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าเกาเฉิงฮั่น ย่อมสามารถเก็บชัยชนะได้ด้วยลูกธนูดอกเดียวเช่นกัน
แต่เมื่อเห็นการใช้วงแหวนวารีรักษาอาการบาดเจ็บของหลินเป่ยเฉิน นั่นก็ทำให้นางสนใจขึ้นมาเล็กน้อย
อวี้ซือไป๋จ้องมองใบหน้าหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินประคองร่างเกาเฉิงฮั่นลุกขึ้นยืน
“มองอะไรไม่ทราบ?”
เขาจ้องมองนักรบหญิงแห่งจักรวรรดิจี้กวงด้วยแววตาขุ่นเคืองใจ
อวี้ซือไป๋ขมวดคิ้วไม่พูดคำใด
นางสัมผัสได้ถึงความไม่อยู่กับร่องกับรอยของเด็กหนุ่มผู้นี้
“ถามว่ามองอะไร?”
หลินเป่ยเฉินถามเสียงแข็ง “หรือว่าเจ้าเกิดมาไม่เคยพบเห็นคนหล่อ?”
คิ้วเข้มของอวี้ซือไป๋เลิกขึ้นสูง
พลังลมปราณปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของนางโดยไม่รู้ตัว
ไม่ต่างจากสายลมฤดูหนาวที่โชยพัดมาหลังจบสงคราม
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคออย่างเย็นชา
ทันใดนั้น บนอัฒจันทร์รอบสังเวียนประลองซึ่งเดิมทีมีบรรยากาศเงียบงันราวกับป่าช้า แต่มาบัดนี้มันกลับมีเสียงตะโกนดังกึกก้องรอบบริเวณว่า
“นี่ไงหลินเป่ยเฉิน”
“หลินเป่ยเฉิน ผู้พิทักษ์แห่งมณฑลเฟิงอวี่…”
“หลินเป่ยเฉิน ชื่อนี้ที่ปีศาจยังต้องหวาดกลัว…”
“เขาคือตำนานจากเมืองหยุนเมิ่ง!”
“ผู้มีพลังระดับเซียนที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์”
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงัก รีบหันไปมองทางอัฒจันทร์ด้วยความพิศวง
นี่คือผลลัพธ์จากการเดินขบวนของกลุ่มศิษย์สำนักศึกษาเมื่อวันก่อน ความเข้าใจผิดที่ทุกคนมีต่อตัวหลินเป่ยเฉินได้รับการแก้ไข และขณะนี้ เด็กหนุ่มก็มีสถานะเป็นวีรบุรุษตัวจริงของจักรวรรดิเป่ยไห่แล้ว
ในที่สุด ทุกคนก็ไม่ได้เกลียดชังเขาแล้วสินะ?
มิหนำซ้ำ ยังส่งเสียงให้กำลังใจอีกด้วย?
ประเสริฐ
เป็นไปตามคาด สิ่งที่หลินเป่ยเฉินหว่านเมล็ดพันธุ์เอาไว้ได้งอกงามขึ้นมาแล้ว
เขารับฟังเสียงตะโกนเหล่านั้นอย่างมีความสุข และในบรรดาเสียงตะโกนนี้ หลินเป่ยเฉินก็ได้ยินใครคนหนึ่งส่งเสียงร้องออกมาว่า ‘บุรุษผู้หล่อเหลาที่สุดในนครหลวง’ และ ‘บุรุษผู้หล่อเหลาที่สุดในจักรวรรดิเป่ยไห่’
ใบหน้าถือเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของเขาเช่นกัน
มีหรือที่ผู้คนจะไม่สรรเสริญความหล่อเหลาของเขาได้?
ความหล่อเหลาของหลินเป่ยเฉินคือสิ่งสำคัญที่สุดแล้ว
นอกจากนั้นล้วนเป็นเรื่องที่สำคัญรองลงมาทั้งสิ้น
เสียงตะโกนให้กำลังใจเหล่านั้นทำเอาใบหน้าของอวี้ซือไป๋กระตุกเล็กน้อย
เท่าที่นางจำได้ ตอนเกาเฉิงฮั่นปรากฏตัวขึ้นมา ถึงจะมีเสียงตะโกนให้กำลังใจเช่นกัน แต่ระดับความดังและความสามัคคีนั้นเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่นางได้ยินอยู่ในขณะนี้
ชาวจักรวรรดิเป่ยไห่เกือบ 500,000 แสนคนตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น สีหน้าและแววตาแสดงออกถึงความเชื่อมั่น…
อวี้ซือไป๋ซึมซับความรู้สึกเหล่านั้น
การต่อสู้ยังไม่ทันเริ่มขึ้น เพียงเด็กหนุ่มคนนี้ปรากฏตัวขึ้นมาบนสังเวียนเท่านั้น เขายังไม่ได้แสดงฝีมือเลยสักกระบวนท่า แต่เด็กหนุ่มกลับสามารถปลุกขวัญกำลังใจของคนดูให้ลุกฮือกลับมาได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น
แสดงว่าต้องมีฝีมือไม่ธรรมดา
ในบรรดาผู้ที่ส่งเสียงให้กำลังใจและแสดงความเชื่อมั่นต่อหลินเป่ยเฉิน ย่อมต้องมีพวกของเยวียนเหวินจวิ้น ตู้กู่อู๋อิงและหลี่ซิวเยวียนรวมอยู่ด้วย
นี่คือครั้งแรกที่พวกเขาได้พบเห็นตัวจริงของหลินเป่ยเฉิน
“นี่หรือคือหลินเป่ยเฉิน?”
“หล่อเหลาจังเลย…”
“จริงด้วย คนเราหล่อเหล่าขนาดนี้ได้อย่างไรกัน…”
“ดูเหมือนว่า…เขาหล่อมากกว่าศิษย์พี่กู่อีกนะ”
ในกลุ่มศิษย์สำนักศึกษาที่กำลังส่งเสียงตะโกนอย่างบ้าคลั่ง มีบางส่วนกระซิบกระซาบพูดคุยกัน โดยเฉพาะกลุ่มเด็กสาวที่แก้มแดงด้วยความเขินอาย เพราะพวกนางรู้แล้วว่าความรู้สึกที่เรียกว่า ‘รักแรกพบ’ นั้นเป็นอย่างไร
“ไม่ ศิษย์พี่กู่หล่อกว่าต่างหาก…”
กานเซียวซวงกัดฟันกรอดโต้แย้งออกไป
แต่เมื่อเห็นสายตาของทุกคนที่จ้องมองมา
“ก็ได้”
เด็กสาวก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนพูดต่อ “คุณชายหลินมีหน้าตาหล่อเหลามาก… แต่ศิษย์พี่กู่ก็มีหน้าตาหล่อเหลาไม่แพ้กัน”