เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 921 เรื่องราวนี้ไม่ง่ายเสียแล้วสิ
ตอนที่ 921 เรื่องราวนี้ไม่ง่ายเสียแล้วสิ
หลินเป่ยเฉินมองข้อความจากแอป Keep ด้วยความพิศวง
นี่คือภารกิจที่แปลกประหลาดมาก
แตกต่างจากภารกิจเร่งด่วนสองครั้งก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
ครั้งนี้ เนื้อหาภารกิจไม่ชัดเจน
ตกลงว่าหลินเป่ยเฉินต้องทำอะไรกันแน่?
แต่เด็กหนุ่มเหมือนคนที่กระโดดขึ้นหลังเสือแล้วยากที่จะลงได้กลางคัน
“โทรศัพท์เครื่องนี้คงไม่ทำอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ โอกาสทำภารกิจได้สำเร็จคงต้องมี แต่ปัญหาก็คือเราจะได้รับรางวัลเมื่อไหร่?”
“ถ้าสามารถทำภารกิจเสร็จก่อนการประลองจะมาถึง ระดับพลังของเราก็จะเพิ่มมากขึ้น และการเอาชนะอวี้ซือไป๋ก็คงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป”
“ยังเหลือเวลาอีกสามวันกว่าจะถึงการประลอง”
“เราจะทำภารกิจได้เสร็จทันสามวันนี้ไหมนะ?”
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับตนเองด้วยความปวดหัว
บัดนี้ เขาสมควรใช้กลีบสมองทุกส่วนช่วยค้นหาคำตอบในการทำภารกิจจากแอปพลิเคชัน Keep
แต่เพียงไม่กี่ลมหายใจต่อมาเท่านั้น เด็กหนุ่มก็เผลอหลับไปไม่รู้ตัว
…
ที่พำนักของคณะทูตจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง
ดึกสงัด ดวงจันทร์ลอยอยู่บนฟากฟ้า
ร่างที่สวมใส่เสื้อคลุมหรูหรานั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ห้าร่าง
แต่ละคนล้วนมีตำแหน่งใหญ่โต กุมชะตาชีวิตของผู้คนจำนวนมากอยู่ในมือ เพียงพวกเขาออกคำสั่งคำเดียวเท่านั้น ก็จะมีผู้คนนับล้านเสียชีวิตในพริบตา
แต่ขณะนี้ สีหน้าของบุคคลทั้งห้ากำลังแสดงออกถึงความเคารพสูงสุด พวกเขากลั้นหายใจ รอคอยบางสิ่งบางอย่างด้วยความยำเกรง
หลังจากนั้นไม่นาน
ร่างระหงก็เดินชดช้อยเข้ามาจากด้านนอก
เจ้าของร่างนี้สวมใส่เสื้อคลุมสีขาวราวหิมะ นางสวมใส่รองเท้าหนังกวางขาว เส้นผมสีดำปล่อยยาวสยายลงมาถึงบั้นเอว นิ้วมือเรียวยาว ผิวพรรณขาวผ่อง รูปร่างสมส่วน ใหญ่โตในส่วนที่ควรใหญ่โต เรียวบางในส่วนที่ควรเรียวบาง…
ในขณะที่หญิงสาวเยื้องย่างกายเข้ามา ชายเสื้อคลุมของนางพลิ้วไสวราวกับปุยเมฆ ทำให้ผู้คนในห้องประชุมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาโดยทันที
หญิงสาวนางนี้ไม่ต่างจากนางฟ้านางสวรรค์
แต่สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดกลับเป็นใบหน้าของนาง
มันเป็นใบหน้าที่ไม่มีใบหน้า
กล่าวคือ
หญิงสาวนางนี้ไม่มีดวงตา ไม่มีคิ้ว ไม่มีจมูกและไม่มีปาก…
ในประสาทการรับรู้ทั้งห้า นางเพียงมีหูสองข้างเท่านั้น
ใบหน้าของนางมีแต่ผิวหนังราบเรียบสีขาวราวกับหยกแกะสลัก
อธิบายได้ว่าสตรีนางนี้ไม่ต่างจากผลงานการแกะสลักชั้นเลิศของปรมาจารย์แกะสลัก เมื่อปรมาจารย์ท่านนั้นแกะสลักทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วเหลือเพียงใบหน้าแค่อย่างเดียว เขากลับหมดความกระตือรือร้นที่จะแกะสลักหุ่นตัวนี้ให้เสร็จสิ้น ภายหลังจึงปล่อยให้ใบหน้าของนางว่างเปล่า เพื่อมอบโอกาสให้ผู้อื่นได้ใช้จินตนาการแต่งเสริมเติมสร้างใบหน้าให้แก่นางเอาเองตามใจชอบ
ดังนั้น มันจึงเป็นใบหน้าที่น่าขนลุกอย่างยิ่ง
แต่ปรากฏว่าเมื่อนำมารวมกับเรือนร่างระหง และกิริยาท่าทางที่อ่อนหวานชดช้อยของนางนั้น ใบหน้าที่ราบเรียบกลับทำให้สตรีนางนี้ดูสูงส่งมากกว่าเดิม
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”
บุคคลทั้งห้าในห้องประชุมลุกขึ้นยืนประสานมือทำความเคารพ
สีหน้าแสดงออกถึงความหวาดกลัว
ไม่มีใครกล้าพูดจามากความ
หญิงสาวยกมือขึ้นโบกสะบัดเล็กน้อย
“ทุกอย่างที่สั่งไปจัดเตรียมเรียบร้อยแล้วหรือไม่?”
เสียงของนางดังกังวานในอากาศ
เย็นชาน่าขนลุก
ราวกับเสียงของดวงวิญญาณที่ดังลงมาจากดวงจันทร์
ไม่มีใครทราบว่าบุคคลที่ไม่มีปากสามารถพูดได้อย่างไร
แต่เสียงของนางก็ดังออกมาแล้วจริง ๆ
“ทุกอย่างจัดเตรียมเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เราเพิ่มความยากลำบากมากขึ้นตามแผนการเดิม เป็นไปไม่ได้ที่จักรวรรดิเป่ยไห่จะผ่านการประเมินแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“พวกเราส่งสายลับเข้าไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ครั้งนี้ กระหม่อมเลือกคนจากตระกูลจู”
“สายลับของพวกเราเข้าใจภารกิจเป็นอย่างดีพ่ะย่ะค่ะ”
บุคคลทั้งห้ารีบรายงานกันจ้าละหวั่น
เสียงที่ฟังเย็นชาน่าขนลุกนั้นดังขึ้นอีกครั้ง “โปรดจำเอาไว้ว่าหากข้ายังไม่ได้สั่ง พวกท่านไม่มีสิทธิ์ลงมือทำสิ่งใดตามอำเภอใจ และสิ่งเดียวที่พวกท่านทำได้ ก็คือเฝ้าดูอยู่เฉย ๆ เท่านั้น”
“พ่ะย่ะค่ะ”
บุคคลทั้งห้าประสานเสียงรับคำอย่างพร้อมเพรียง
…
วันต่อมา
ยามบ่าย ท้องฟ้าแจ่มใส
ค่าดัชนีฝุ่น PM 2.5 คือศูนย์
อากาศดีอย่างหาได้ยาก
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามบ่ายแล้ว หลินเป่ยเฉินยังคงหลับใหลอย่างสบายอารมณ์
“นายน้อยขอรับ นายน้อย มีคนมาหานายน้อยขอรับ…”
เสียงของพ่อบ้านหวังจงดังขึ้นหน้าประตูห้องนอนด้วยความร้อนรน
หลินเป่ยเฉินลืมตาขึ้นมาหยิบหมอนขว้างปาใส่ประตูห้อง มวลพลังลมปราณที่แฝงไปกับตัวหมอนนั้นพลันกระแทกหวังจงลอยกระเด็นออกไปในอากาศ…
เนื่องเพราะเมื่อสักครู่ เด็กหนุ่มกำลังหลับฝันถึงเทพีกระบี่หิมะไร้นาม เขากำลังนั่งดื่มสุรากับนางอยู่ในปราสาทหลังหนึ่งอย่างเมามาย และเรื่องราวก็เริ่มไต่ระดับขึ้นไปในแบบฉบับ 18+…
สถานการณ์กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มแล้วเชียว
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นมาสวมใส่เสื้อผ้าอย่างช้า ๆ ก่อนจะเปิดประตูออกมาถามว่า “ใครกันมารบกวนข้าในเวลานี้? อีกไม่กี่วันข้าก็ต้องออกไปประลองแล้ว เหตุไฉนเจ้าถึงไม่ปล่อยให้ข้าได้มีโอกาสนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่? เร็วเข้า มีอะไรก็ว่ามา?”
หวังจงก้มหน้าก้มตารายงานว่า “นายน้อยขอรับ เสี่ยวเอ้อร์จากโรงเตี๊ยมแห่งนั้นมารอคอยนายน้อยตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว…”
เสี่ยวเอ้อร์จากโรงเตี๊ยมแห่งนั้น?
ดูเหมือนว่าพวกของหลี่ซิวเยวียนคงอยากเจอเขาอีกแล้วสินะ
ส่งคนมาตามตัวตั้งแต่เช้า
หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
ทันทีที่คิดได้เช่นนี้ หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกร้อนรนใจขึ้นมาอย่างประหลาด เขาไม่สนใจรับประทานอาหารเช้าด้วยซ้ำ และรีบออกเดินทางไปทันที
ไม่กี่อึดใจต่อมา
ณ โรงเตี๊ยมซึ่งเป็นสถานที่นัดหมาย
“ศิษย์พี่กู่ขอรับ เกิดเรื่องแล้วขอรับ…”
หลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยที่รอคอยด้วยความร้อนรนเดินวนไปวนมาเหมือนหนูติดจั่น เมื่อเห็นหน้าหลินเป่ยเฉิน ทั้งสองคนก็รีบวิ่งเข้ามาหาราวกับได้พบเห็นพระผู้ช่วยชีวิต
“สำนักแสงตะวันเกิดเรื่องใหญ่แล้ว ท่านประมุขตู้กู่… เสียชีวิตแล้วขอรับ”
หลี่ซิวเยวียนรายงานด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
ว่าไงนะ?
ครั้งนี้ หลินเป่ยเฉินประหลาดใจแล้วจริง ๆ
ตู้กู่จิงหงเพิ่งจะยอมรับปากร่วมมือกับจักรวรรดิเป่ยไห่ ก่อนหน้านี้อนาคตยังสดใส เหตุไฉนถึงเสียชีวิตได้?
หรือว่าพวกจักรวรรดิจี้กวงรู้ความจริงแล้ว?
“เกิดอะไรขึ้น?”
หลินเป่ยเฉินถามเสียงเข้ม “ไม่ต้องเป็นห่วง ค่อย ๆ พูดออกมา ใครทำร้ายท่านประมุขตู้กู่หรือ?”
“ท่านประมุขตู้กู่ฆ่าตัวตายเจ้าค่ะ”
หลิวเหวินฮุยพูดด้วยความเศร้าโศก “กลางดึกเมื่อคืนนี้ ไม่ทราบว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือ แต่ทั่วเมืองได้รับแจ้งว่าสำนักแสงตะวันทำงานให้แก่จักรวรรดิจี้กวง นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานเอาผิดพวกเขาได้อย่างแน่นหนา แม้แต่เรื่องราวที่ท่านประมุขตู้กู่เคยทำเอาไว้เมื่อหลายปีก่อนก็ถูกเปิดโปงออกมา…”
ฮื่อ
หลินเป่ยเฉินสูดหายใจลึก
ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง
เพราะเหตุนี้ สำนักแสงตะวันจึงถึงจุดจบแล้ว
ตู้กู่จิงหงถูกทำลายภาพลักษณ์ย่อยยับ
แต่บุคคลที่มีจิตใจเข้มแข็งเช่นนี้ จะฆ่าตัวตายได้อย่างไร?
การเลือกจบชีวิตตนเองดูไม่สมกับเป็นตู้กู่จิงหงแม้แต่น้อย
เพราะถึงอย่างไร ชายชราก็สมควรมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อบุตรสาวของตนเองไม่ใช่หรือ?
อย่างน้อยก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อหาทางแก้ต่างให้แก่ตนเอง
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับขณะถาม “ข่าวนี้เชื่อถือได้หรือไม่?”
พวกของหลี่ซิวเยวียนยังมีสถานะเป็นเพียงลูกศิษย์ของสำนักศึกษา บางครั้ง ข่าวคราวที่ได้รับมาอาจเป็นข่าวโคมลอยก็เป็นได้
แต่คำตอบจากหลี่ซิวเยวียนทำให้ความหวังสุดท้ายในหัวใจของหลินเป่ยเฉินพังทลาย
“ข่าวนี้ย่อมเชื่อถือได้ขอรับ ไม่นานหลังจากที่มีข่าวลือแพร่สะพัดไปเมื่อคืน กรมมือปราบก็ผนึกกำลังกับกองลาดตระเวนบุกโจมตีสำนักแสงตะวันพร้อมด้วยกลุ่ม 66 องครักษ์ ส่งผลให้มีลูกศิษย์ของสำนักแสงตะวันต้องถึงแก่ชีวิตเป็นจำนวนนับพัน รุ่งเช้าวันนี้ กรมมือปราบก็เป็นผู้ออกประกาศเองว่าท่านประมุขตู้กู่ได้ทำการฆ่าตัวตายเพื่อหนีความผิด และศพของเขาก็ถูกนำมาแขวนประจานอยู่บนเสาใหญ่หน้ากรมมือปราบขอรับ…”
หลี่ซิวเยวียนอธิบาย
หลิวเหวินฮุยพยักหน้ากล่าวเสริม “เรื่องราวนี้ล่วงรู้ไปทั่วทั้งนครหลวงแล้ว มีผู้คนไปดูศพของท่านประมุขตู้กู่เป็นจำนวนมาก และทุกคนก็สามารถยืนยันได้ว่าศพนี้… เป็นท่านผู้เฒ่าตัวจริง”
เด็กหนุ่มและเด็กสาวสองคนนี้เศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก
พวกเขารู้ดีถึงความโดดเดี่ยว
พวกเขารู้ดีว่าท่านประมุขสำนักยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งนครหลวง กำลังพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะหาทางไถ่บาปของตนเอง
แต่เมื่อความผิดของเขาถูกเปิดโปงออกมา คำขอโทษใดก็ไม่อาจมีค่าได้มากไปกว่าความตายอีกแล้ว
ในฐานะที่พวกเขาเป็นสหายของตู้กู่อู๋อิง หลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยจึงยิ่งเสียใจมากกว่าเดิม
“ศิษย์พี่ตู้กู่ก็พลอยได้รับความเดือดร้อนไปด้วย เช้าวันนี้มีมือปราบมาคุมตัวนางไปที่กรมมือปราบ นอกจากนี้ ศิษย์พี่เยวียนหนงก็ยังต้องติดตามนางไปสอบปากคำเช่นกันขอรับ…”
หลิวเหวินฮุยรับช่วงพูดต่อ “บัดนี้พวกเขายังสอบปากคำไม่เสร็จ แต่ก็เริ่มมีผู้คนในนครหลวงไปรวมตัวกันหน้าที่ทำการกรมมือปราบแล้ว พวกเขาเรียกร้องให้ทางการประหารชีวิตศิษย์พี่ตู้กู่และจับตัวสมาชิกตระกูลตู้กู่มาคุมขังให้หมด แม้แต่อาจารย์เยวียนเหวินจวิ้นก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด และถูกเชิญตัวไปสอบปากคำด้วยเช่นกัน…”
เมื่อหลินเป่ยเฉินรับฟังคำอธิบายทั้งหมดเสร็จสิ้น ในหัวใจของเขาก็เกิดความรู้สึกที่แปลกประหลาดขึ้นมา
เรื่องราวนี้ไม่ง่ายเสียแล้วสิ!!!