เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 922 ออกไปทักทายชาวเมืองกันสักหน่อย
ตอนที่ 922 ออกไปทักทายชาวเมืองกันสักหน่อย
“ศิษย์พี่กู่ ไม่ทราบว่าท่าน…”
หลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยต่างก็หันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาคาดหวัง
ถึงพวกเขาจะรู้สึกละอายแก่ใจที่มีเรื่องเมื่อไหร่ก็ต้องมาขอความช่วยเหลือจากกู่เทียนเล่ออยู่เสมอ แต่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองก็ไม่มีทางเลือกที่ดีมากไปกว่านี้อีกแล้ว
เพราะพวกเขากำลังเป็นห่วงความปลอดภัยของตู้กู่อู๋อิง
ไม่ว่าตู้กู่จิงหงจะทำอะไรลงไปในอดีต แต่ตู้กู่อู๋อิงไม่รู้เรื่องด้วยทั้งสิ้น นางมีจิตวิญญาณของชาวจักรวรรดิเป่ยไห่เปี่ยมล้น เข้าร่วมการชุมนุมประท้วงหลายต่อหลายครั้ง ถึงนางจะไม่ได้เข้าร่วมกับกองทัพ แต่ก็ใช้สิทธิ์ในการเป็นพลเมืองเป่ยไห่ ทำทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อปกป้องประเทศชาติ
และคนดีๆ เช่นนี้ไม่สมควรถูกใส่ร้ายป้ายสี
หลินเป่ยเฉินตอบรับกลับไปว่า “ไม่ต้องเป็นกังวล เรื่องนี้ข้าต้องจัดการให้แน่นอน”
เขาถอนหายใจออกมาและพูดต่อ “ข้าเคยรับปากท่านประมุขตู้กู่เอาไว้แล้วว่าจะดูแลบุตรสาวของเขาเป็นอย่างดี ข้าไม่มีทางผิดคำสัญญาเด็ดขาด”
หลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยยิ้มร่าออกมาเมื่อได้ยินคำตอบ
ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานี้ กู่เทียนเล่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีงามเอาไว้มากมาย ตราบใดที่เขารับปากว่าจะช่วยเหลือ ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาใดที่แก้ไขไม่ได้
แน่นอนว่าเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของศิษย์พี่กู่คนนี้…
หลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยไม่พูดอะไรออกมาเพราะเข้าใจเป็นอย่างดี
“เอาละ ถ้าเช่นนั้น…เอ่อ ถ้าเช่นนั้น…”
หลินเป่ยเฉินกำลังจะเรียกชื่อใครบางคน แต่นึกไม่ออกว่าเขาจะต้องเรียกใคร
“กงกงมาแล้วขอรับนายท่าน”
น้ำเสียงที่เยือกเย็นดังขึ้น แล้วร่างของชายฉกรรจ์สูงใหญ่ก็ปรากฏขึ้นจากกลางอากาศทางด้านหลังหลินเป่ยเฉิน
ย่อมต้องเป็นกงกง
แขนกลและขากลที่ได้รับการติดตั้งเข้ากับส่วนของร่างกายที่เสียหายของกงกงนั้น ทำให้แขนขาของชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ดูแตกต่างจากคนทั่วไปเล็กน้อย
กงกงยังคงไว้ผมจุกบนศีรษะอย่างเป็นเอกลักษณ์ อดีตหัวหน้ากลุ่มอันธพาลจากเมืองหยุนเมิ่งยืนอยู่เงียบๆ ในเงามืด แต่การปรากฏตัวของเขาชวนให้เกิดความรู้สึกขนลุกเป็นอย่างยิ่ง
“เรียกพวกเราที่ฝีมือดีที่สุดไปรวมตัวกันหน้ากรมมือปราบ”
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่งด้วยสีหน้าเย็นชา แต่น้ำเสียงหนักแน่น
เมื่อเขาพูดประโยคนี้ออกมา ม่านการแสดงฉากหนึ่งก็กำลังถูกดึงขึ้นไปจากนครหลวงแล้ว “พวกเราจะออกไปทักทายชาวเมืองกันสักหน่อย”
“รับทราบขอรับ นายท่าน”
น้ำเสียงที่เยือกเย็นปานน้ำแข็งของกงกงดังตอบกลับมา
แต่หากเป็นผู้ที่คุ้นเคยสนิทสนมกับเขาสักหน่อย ก็จะจับน้ำเสียงได้ว่ากงกงเกิดความรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
น่าเสียดายที่เหล่าคนสนิทของกงกงก็กำลังจะลืมเลือนเขาไปหมดแล้ว
กงกงถอยตัวกลับไปหลังจากรับคำสั่ง
ทันใดนั้น ร่างของเขาก็กลืนหายไปในเงามืด ราวกับเป็นเพียงหมอกควันสายหนึ่ง
หลายลมหายใจที่ผ่านมา หลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยได้แต่หันมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ ตอนที่กงกงปรากฏตัวออกมานั้นพวกเขาตกใจมาก แต่ตอนที่กงกงหายตัวไป เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองกลับตกใจมากยิ่งกว่า
หืม?
เมื่อสักครู่นี้เกิดอะไรขึ้น?
“พวกเราไปกันเถอะ”
หลินเป่ยเฉินยื่นมือออกไปจับไหล่หลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุย
วููบ!
หลังจากนั้น ร่างของพวกเขาก็พุ่งเป็นลำแสงออกจากโรงเตี๊ยมและโผขึ้นไปบนท้องฟ้า
หลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยเกือบจะส่งเสียงหวีดร้องออกมาด้วยความกลัว
พวกเขานึกว่าตนเองกำลังจะต้องไป ‘ขึ้นสวรรค์’ กันจริงๆ เสียแล้ว
ทั้งสองคนรู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดมาปะทะผิวกาย เช่นเดียวกับสภาพแวดล้อมที่เลื่อนผ่านไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว
เมื่อหลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยกลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง พวกเขาถึงรู้ว่าตนเองกำลังลอยอยู่เหนือพื้นดินนับร้อยจั้ง
ยามก้มมองลงไป
หอคอยและอาคารบ้านเรือนทั่วนครหลวงปรากฏให้เห็นในสายตา ขนาดของพวกมันย่อเล็กลงเสียจนไม่ต่างไปจากแผนภูมิจำลองซึ่งอยู่บนโต๊ะทรายสำหรับการวางกลยุทธ์
“กรมมือปราบไปทางใด?”
หลินเป่ยเฉินถาม
หลี่ซิวเยวียนเวียนหัวเกินกว่าจะตอบได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาไม่เคยเห็นนครหลวงจากมุมนี้มาก่อน จึงจำไม่ได้แล้วว่าต้องมุ่งหน้าไปยังทิศทางใด
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าหาทางไปเอง”
หลินเป่ยเฉินสั่งงานให้ผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะเสี่ยวจี้เปิดแอปไป่ตู้ แมปและค้นหาเส้นทางไปสู่กรมมือปราบ
ด้วยความที่เป็นหน่วยงานสำคัญในนครหลวงจึงค้นหาเส้นทางได้ไม่ยาก ง่ายดายยิ่งกว่าการหาคนเสียอีก เมื่อได้เส้นทางที่แน่ชัดแล้ว หลินเป่ยเฉินก็สั่งให้เริ่มต้นระบบนำทางทันที
วูบ!
ร่างของทั้งสามพุ่งไปในอากาศราวกับจรวดมิสไซล์
เหล่ายอดฝีมือทั่วนครหลวงย่อมเห็นภาพที่แปลกประหลาดบนท้องฟ้า
พวกเขารีบแจ้งเตือนกันโดยเร็ว
…
กรมมือปราบ
ที่ทำการของกรมมือปราบตั้งอยู่บนถนนเจียนฉีหมายเลขหนึ่ง
ประตูหลักทางทิศตะวันออกกำลังเปิดกว้าง
รูปปั้นของมือกระบี่ยักษ์ที่มีความสูงเท่ากับตึกห้าสิบชั้นยืนตระหง่านอยู่สองข้างฝั่งประตูของทางเข้าไม่ต่างไปจากเทพเจ้าร่างยักษ์ ผู้ถือกระบี่คอยรักษาความปลอดภัยด้วยใบหน้าบึ้งตึง นอกจากดูน่าเกรงขามแล้ว ยังดูมีสง่าราศีอีกด้วย
รูปปั้นสองตัวนี้ตั้งอยู่ตรงนี้มาหลายร้อยปีแล้ว
พวกมันมีความสูงยิ่งกว่าป้อมปราการบนกำแพงเมืองเสียอีก
หินที่ถูกนำมาแกะสลักนั้นไม่มีตำหนิสักจุดเดียว
นี่คือรูปปั้น ‘ยอดมือกระบี่แห่งเป่ยไห่’ ในตำนาน
กรมมือปราบมีหน้าที่รับผิดชอบความปลอดภัยของประชาชนชาวเป่ยไห่ ไล่ตั้งแต่คอยจับกุมหัวขโมย ไขคดีฆาตกรรม ไล่จับคนชั่วนำตัวมาลงโทษ ฯลฯ และรูปปั้นยอดมือกระบี่แห่งเป่ยไห่ทั้งสองตัวนี้ ก็ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่มีการก่อสร้างที่ทำการกรมมือปราบ
กระบี่หินที่อยู่ในมือรูปปั้นคือสัญลักษณ์ของความยุติธรรม ซึ่งองค์จักรพรรดิผู้ก่อตั้งจักรวรรดิได้บัญญัติกฎหมายฉบับแรกขึ้นมาใช้อย่างเป็นทางการ
บริเวณจัตุรัสหน้าทางเข้ากรมมือปราบสามารถรองรับผู้คนได้นับหมื่นคน
ใจกลางจัตุรัสยืนไว้ด้วยรูปปั้นของเทพีกระบี่ที่มีความสูงเท่ากับตึก 20 ชั้น
รูปปั้นขององค์เทพีสวมใส่ชุดเกราะ ในมือถือกระบี่ เตรียมพร้อมสำหรับการทำสงคราม
ทั้งสี่มุมจัตุรัสล้วนประดับด้วยรูปปั้นยอดมือกระบี่แห่งเป่ยไห่ที่มีขนาดเล็กลงมาเท่ากับตึกห้าชั้นยืนประจำการอย่างน่ายำเกรง
รูปปั้นมีสีหน้าเคร่งขรึมตึงเครียด แววตาคล้ายกำลังโกรธแค้นใครสักคน และนั่นก็ทำให้ผู้ที่มาเยือนกรมมือปราบล้วนรู้สึกกดดันโดยไม่รู้ตัว
ในจัตุรัสแห่งนี้ มีเสาลงทัณฑ์อยู่ทั้งสิ้น 370 ต้น
เสาแต่ละต้นมีความสูงเท่ากับตึกห้าชั้น หลอมขึ้นมาจากทองแดงบริสุทธิ์ มีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดสองคนโอบ ตัวเสาได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี จึงยังมีประกายสดใสตลอดเวลา
เสาทองแดงทุกต้นจะแกะสลักลวดลายการทรมานนักโทษ ผู้ทำผิดกฎ 72 ข้อของนครหลวง
เป็นการแกะสลักลวดลายที่ละเอียดยิ่ง
สามารถมองเห็นความเจ็บปวดทรมานบนใบหน้าของนักโทษได้อย่างชัดเจน
ว่ากันว่าใครก็ตามที่มายืนดูลวดลายแกะสลักบนเสาทองแดงเหล่านี้ เมื่อกลับบ้านไปก็จะต้องนอนฝันร้ายตลอดคืน
บนยอดเสาปรากฏแง่งแหลมแยกออกมาหกแฉกราวกับเป็นกิ่งไม้ใหญ่
กิ่งแหลมเหล่านั้นมีความยาวกิ่งละสามวา
และกิ่งแหลมเหล่านี้เองที่ใช้เป็นจุดแขวนศพนักโทษ รวมไปถึงใช้แขวนอุปกรณ์การทรมาน
บัดนี้ มีศพมากมายถูกแขวนอยู่บนเสาลงทัณฑ์นับสิบต้น
ย่อมเป็นศพของศิษย์สำนักแสงตะวันแห่งนครหลวง
ไม่เฉพาะแต่ศิษย์ของสำนักเท่านั้น ทว่า แม้แต่ผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักก็ถูกสังหารนำศพมาแขวนประจานเช่นกัน มีแต่เพียงผู้อาวุโสลู่ล่ายคนเดียวเท่านั้นสามารถหลบหนีเภทภัยไปได้อย่างเป็นปริศนา ส่วนสมาชิกของสำนักแสงตะวันคนอื่นๆ กว่า 81 คน ไม่มีผู้ใดสามารถรอดพ้นเงื้อมมือการจับกุมของเจ้าหน้าที่จากกรมมือปราบและหน่วย 66 องครักษ์ได้แม้แต่คนเดียว
และเนื่องจากมีความผิดฐานเป็นกบฏแผ่นดิน กรมมือปราบจึงไม่ได้ทำการไต่สวนคดีด้วยวิถีปกติทั่วไป พวกเขาถือการใช้อำนาจในเหตุฉุกเฉิน ประหารชีวิตสมาชิกของสำนักแสงตะวันและนำศพมาแขวนประจานบนเสาลงทัณฑ์เหล่านี้โดยไม่เปิดโอกาสให้มีการโต้แย้งแม้แต่คำเดียว
ในบรรดาผู้ที่เสียชีวิต ประมุขตู้กู่จิงหงคือคนเดียวที่ได้รับการยกเว้น
ไม่มีผู้ใดฆ่าเขาได้
เนื่องจากเขาชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อน
แต่ศพก็ถูกนำมาแขวนประจานอยู่ดี
ในจำนวน 81 ศพเหล่านี้ หลายร่างเคยเป็นผู้มีอำนาจในนครหลวง แต่บัดนี้ พวกเขากลายเป็นเพียงซากศพที่เย็นชาศพหนึ่ง
โดยเฉพาะตู้กู่จิงหงผูู้ถูกเรียกขานว่าเป็นจ้าวสำนักยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งนครหลวง ครั้งหนึ่งเคยมีนิสัยดุร้ายยอมหักไม่ยอมงอ แม้แต่ขุนนางระดับสองไปจนถึงระดับสามก็ยังไม่กล้ามีเรื่องผิดใจกับเขา
แต่บัดนี้ ความรุ่งเรืองในอดีตสลายหายไปแล้ว
มีเพียงศพคนตายเท่านั้น
เส้นด้ายที่ผ่านการเล่นแร่แปรธาตุร้อยเข้าไปในหูของท่านประมุขตู้กู่ เพื่อเกี่ยวศีรษะให้ซากศพลอยอยู่กลางอากาศ
เส้นผมถูกรวบไปทางด้านหลัง เปิดเผยให้เห็นถึงใบหน้าที่ถูกเผาไหม้และมีร่องรอยกระบี่ฟันแทง
ขณะนี้ ในจัตุรัสมีชาวเมืองมารวมตัวกันอยู่ประมาณห้าถึงหกพันคน
พวกเขากำลังตะโกนสาปแช่งสำนักแสงตะวันด้วยความโกรธแค้น และเรียกร้องให้มีการประหารชีวิตผู้คนที่เกี่ยวข้องกับสำนักชั่วร้ายแห่งนี้ทั้งหมด