เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 929 ถอนขนพ่อไก่เหล็ก
ตอนที่ 929 ถอนขนพ่อไก่เหล็ก
“ข้าถูกใส่ร้าย ข้าถูกใส่ร้าย”
จูจวิ้นหลานยังคงพูดเสียงดังด้วยความร้อนรนต่อไป “คุณชายหลิน ท่านก็รู้ วันนั้นที่เจดีย์เซียนเหยียบเมฆ หลังจากที่ข้าแพ้เดิมพันให้กับท่าน ข้าก็ไม่เหลือศิลาบูชาติดตัวอีกเลยสักก้อนเดียว แล้วข้าจะไปจ้างวานผู้คนได้อย่างไร นี่ต้องเป็นฝีมือของใครสักคนที่อิจฉามิตรภาพระหว่างท่านกับข้าเป็นแน่แท้ ข้าขอรับปากว่าจะต้องตามลากตัวมันออกมาให้ได้ และข้าจะบดขยี้กระดูกของมันให้ป่นเป็นผุยผงด้วยมือของข้าเอง!”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปด้วยความรำคาญใจ “ท่านพูดถึงมิตรภาพอะไรไม่ทราบ วันนั้นท่านทำอย่างไรกับข้าบ้าง คิดว่าข้าลืมไปแล้วหรือ? ข้าไม่สนหรอกว่าจะมีใครใส่ร้ายป้ายสีท่านหรือไม่ แต่การลอบสังหารข้าในครั้งนี้ ท่านต้องรับผิดชอบ และท่านจะต้องจ่ายศิลาบูชาเป็นค่าทำขวัญให้กับข้า”
“ว่าไงนะขอรับ?”
จูจวิ้นหลานเบิกตาโตด้วยความไม่เข้าใจ
จะเอาศิลาบูชาอีกแล้วหรือ?
ที่ผ่านมาก็ได้ไปเยอะแล้วนะ
ทำไมถึงต้องต้อนกันให้จนมุมขนาดนี้ด้วย?
“ทำไม?”
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินพลันเป็นประกายดุร้าย “หรือว่าท่านไม่เห็นด้วย?”
“จะไม่เห็นด้วยได้อย่างไรขอรับ…”
จูจวิ้นหลานตื่นกลัวจนตัวสั่นเทาและรีบพูดออกมา “คุณชายหลิน ขอแค่คุณชายเอ่ยปาก ข้าจะทำตามคำสั่งของคุณชายโดยไม่บิดพลิ้ว”
เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว การรักษาชีวิตรอดคือสิ่งสำคัญสุด
“แต่ได้ข่าวว่าบัดนี้ท่านไม่เหลือศิลาบูชาติดตัวแล้ว”
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันใด
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะขอรับ”
จูจวิ้นหลานรีบอธิบายละล่ำละลัก “ข้าสามารถหามาให้ท่านได้… ข้าสามารถจ่ายค่าทำขวัญให้ท่านได้แน่นอน เรื่องนี้ไม่มีปัญหาเลยขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้นท่านจะจ่ายให้ข้าสักเท่าไหร่ดีล่ะ”
หลินเป่ยเฉินมองหน้าฝ่ายตรงข้ามด้วยแววตาดุดัน “ขอข้าดูความจริงใจของท่านหน่อยสิ”
จูจวิ้นหลานไม่รู้จะพูดอย่างไรอีกแล้ว
“บัดนี้ข้าน้อยไม่เหลือศิลาบูชาติดตัว…”
เขาลังเล สีหน้ากระอักกระอ่วนใจ
ทันใดนั้น สีหน้าของหลินเป่ยเฉินก็แปรเปลี่ยนไปทันที “ลืมไปซะ ท่านมีความจริงใจไม่มากพอ นำตัวไปให้สุนัขรับประทาน… หลังจากนั้นค่อยนำซากศพไปกลบฝัง”
“ไม่นะขอรับ คุณชายหลินได้โปรดเมตตาด้วย”
จูจวิ้นหลานร่ำร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก “ข้ายินดีเขียนสัญญากู้ยืม…”
“ไม่มีสัญญากู้ยืม”
หลินเป่ยเฉินคำรามด้วยความเดือดดาล “ข้าจะรับคำขอโทษเป็นศิลาบูชาเท่านั้น เกิดข้าอนุญาตให้ท่านเขียนสัญญากู้ยืมและท่านมีเวลาตั้งหลักได้เมื่อไหร่ ท่านอาจจะลอบตลบหลังแว้งกัดข้าอีกก็เป็นได้ ไม่ว่าอย่างไรในวันนี้ ท่านต้องหาทางหยิบยืมผู้คนมาจ่ายค่าทำขวัญให้ข้าให้ได้… หึหึ”
หยิบยืมผู้คน?
จะให้ไปหยิบยืมผู้ใด?
จูจวิ้นหลานแทบจะเสียสติแล้ว
หืม?
จริงด้วยสิ
ในห้องสอบสวนแห่งนี้ ยังพอมีผู้คนให้เขาหยิบยืมได้อยู่
จูจวิ้นหลานรีบหันไปมองหน้าเกออู๋โหยว
เดิมทีเกออู๋โหยวยืนอยู่เงียบ ๆ ปราศจากตัวตนอยู่ที่มุมห้อง ด้วยหนังศีรษะของเขาชายิบจากการสนทนาที่แปลกประหลาดของบุคคลทั้งสอง
เมื่อเห็นจูจวิ้นหลานจ้องมองมาทางตนเอง หัวใจของเกออู๋โหยวก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่มและรู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว
มองมาทางเขาเยี่ยงนี้หมายความว่าอย่างไร?
จูจวิ้นหลานต้องการหยิบยืมศิลาบูชาไปจากเขาอย่างนั้นหรือ?
ไม่รู้หรือไงว่าทุกคนต่างยกย่องว่าเกออู๋โหยวคนนี้เป็นพ่อไก่เหล็กมาโดยตลอด?
“น้องเกอ สถานการณ์มาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าก็รู้ หากวันนี้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับข้า เจ้ากับอาจารย์จะต้องเดือดร้อนแน่ ๆ…”
จูจวิ้นหลานพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
เกออู๋โหยวได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ
นี่คือการข่มขู่ใช่หรือไม่?
แต่นี่ก็เป็นความจริงเช่นกัน
หากจูจวิ้นหลานต้องมาถึงแก่ความตายในที่แห่งนี้ ไม่ว่าโชคชะตาของหลินเป่ยเฉินจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่เกออู๋โหยวกับอาจารย์ของเขาเกรงว่าคงไม่อาจหลีกหนีปัญหาในครั้งนี้ได้อีก
เกออู๋โหยวหันกลับไปมองหน้าหลินเป่ยเฉิน
เขาพยายามปั้นยิ้ม เตรียมพร้อมที่จะเจรจาต่อรองเกี่ยวกับค่าทำขวัญของจูจวิ้นหลาน
แต่หลินเป่ยเฉินไม่สนใจเขาเลยสักนิด
เกออู๋โหยวจึงเข้าใจในทันที
เด็กแซ่หลินไม่ได้มีเจตนาเจรจาต่อรอง สาเหตุที่บอกให้จูจวิ้นหลานหาทางหยิบยืมศิลาบูชาไปจากเขา เปรียบเสมือนคำเตือนที่ถูกส่งมายังเกออู๋โหยวโดยตรงนั่นเอง
เพราะถึงอย่างไรวันนี้ เกออู๋โหยวก็มาปรากฏตัวอยู่ในกรมมือปราบด้วยเช่นกัน
ถือว่ามีความผิดฐานสมรู้ร่วมคิด
เกออู๋โหยวเกรงว่าหากตนเองไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง จุดจบสำหรับเรื่องราวนี้ของตนเอง อาจจะเลวร้ายเกินคาดคิด
เมื่อคิดได้ดังนั้น เกออู๋โหยวก็ไม่ลังเลใจอีกต่อไป
“บอกข้ามาสิว่าท่านต้องการหยิบยืมเท่าไหร่”
นับว่าครั้งนี้พ่อไก่เหล็กถูกถอนขน*[1]แล้วจริง ๆ
เกออู๋โหยวเข้าใจแล้วว่านี่คือทางรอดเดียวของพวกเขาเท่านั้น
หากเขาให้จูจวิ้นหลานหยิบยืมศิลาบูชา สถานการณ์ก็จะคลี่คลายลง
หากเกออู๋โหยวยืนกรานที่จะไม่ให้ นั่นแหละปัญหาเกิดขึ้นแน่นอน
จูจวิ้นหลานเกิดอาการลังเลเล็กน้อยและพูดว่า “ขอยืมสัก 300…”
“เอาไปฝัง เอาไปฝัง…”
หลินเป่ยเฉินคำรามออกมาด้วยความเดือดดาลสุดขีด
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ขอยืมสัก 400…”
“เอาไปฝัง… อย่าให้ข้าเห็นหน้าคนผู้นี้อีก”
“600 ข้าขอยืมศิลาบูชา 600 ก้อน…”
“ไม่สิ”
“1,000 ก้อน ข้าขอยืมศิลาบูชา 1,000 ก้อน น้องเกอ เจ้าช่วยข้า ก็ถือว่าเจ้าช่วยเหลือตนเอง”
เกออู๋โหยวไม่ปฏิเสธ
แต่สีหน้าของเด็กหนุ่มย่ำแย่ยิ่งกว่าผู้คนที่ถูกฉุดภรรยาเสียอีก
โชคดีที่จูจวิ้นหลานตกลงเขียนสัญญากู้ยืมโดยใช้ตราประทับของผู้มีพลังระดับเซียนรับรอง นั่นจึงหมายความว่าศิลาบูชาทุกก้อนของเขาจะได้รับการชดใช้คืนในอนาคตอย่างแน่นอน
“ประเสริฐ พวกท่านไสหัวออกไปได้แล้ว”
เมื่อได้รับศิลาบูชาตามจำนวนที่ต้องการ หลินเป่ยเฉินก็อารมณ์ดีขึ้นมาก รังสีสังหารจากร่างกายหายไป โบกมือไล่ผู้คนด้วยความรำคาญใจ
จูจวิ้นหลานถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ในที่สุดหัวใจที่กระดอนขึ้นมาอยู่ในลำคอ ก็กลับลงไปอยู่ในหน้าอกตามเดิม
โชคดีที่หลินเป่ยเฉินเป็นบุคคลที่สามารถซื้อได้ด้วยเงินตรา
มิฉะนั้น จูจวิ้นหลานเกรงว่าชีวิตของเขาคงต้องจบสิ้นลงที่นี่แน่นอน
เกออู๋โหยวกับจูจวิ้นหลานรีบวิ่งออกมาจากห้องสอบสวนด้วยความรวดเร็วสุดชีวิต เด็กหนุ่มผู้ดูแลเจดีย์เซียนเหยียบเมฆตื่นกลัวถึงขนาดวิ่งหลบหนีออกมาโดยลืมหยิบถ้วยน้ำชาประจำตัวมาด้วย
เมื่อทั้งสองคนหายลับไปจากสายตา ไต้อวี่เต๋อก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะทำสิ่งใดต่อไป
นั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่มีการรายงานมาจากด้านนอกว่า
เหล่าคนใหญ่คนโตในนครหลวงได้ยื่นมือเข้ามาแทรกแซงเหตุการณ์ครั้งนี้
บัดนี้ ไม่ว่าจะเป็นองค์ชายเจ็ด ขันทีชราจางเชียนเชียน หัวหน้ากลุ่มขุนนางจั่วเซียง เสี่ยวเหยียน เสี่ยวเย่และขุนนางใหญ่อีกหลายท่าน ต่างก็มาถึงหน้ากรมมือปราบเรียบร้อยแล้ว
[1] ถอนขนพ่อไก่เหล็ก: มาจากสำนวนจีนที่มักเปรียบเทียบคนขี้งกตระหนี่ถี่เหนียวเป็นพ่อไก่เหล็ก มีขนบนลำตัวเป็นเหล็ก ทำให้ไม่มีผู้ใดสามารถถอนขนมาใช้งานได้