เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 935 พุ่งไปผิดทาง
ตอนที่ 935 พุ่งไปผิดทาง
ทั้งองค์จักรพรรดิและขันทีคนสนิทจึงได้แต่ยืนอยู่ในม่านฝุ่นที่โปรยลงมาจากหลังคาอยู่อย่างนั้นด้วยความงุนงงยิ่ง
ทันใดนั้น…
วูบ!
ชายวัยกลางคนผู้อยู่ในชุดเสื้อคลุมมังกรทองคำก็เห็นเงาร่างของหลินเป่ยเฉินที่บินออกจากหลังคาตำหนักของเขาไปเมื่อสักครู่ ได้บินผ่านช่องว่างบนหลังคาผ่านมาอีกครั้ง
องค์จักรพรรดิหยุดชะงักเล็กน้อย
แต่แล้วเขาก็ได้เข้าใจ สังเวียนเฟิงอวิ๋นตั้งอยู่ทางทิศใต้ของตำหนักจั่วเจิ้ง แต่เมื่อสักครู่ หลินเป่ยเฉินบินออกไปทางทิศเหนือ นี่หมายความว่าเด็กหนุ่มพุ่งไปผิดทางอย่างนั้นหรือ?!
…
เวลาเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า
ยังคงไม่มีเสียงจากเวทีประลอง
กำหนดการต่อสู้ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ
อวี้ซือไป๋ปลดปล่อยพลังคุกคามออกมาจากร่างกาย ส่งผลให้ผู้คนชาวเป่ยไห่กว่า 600,000 ชีวิตบนอัฒจันทร์แทบจะหายใจไม่ออกอีกแล้ว
และหลินเป่ยเฉินก็ยังไม่ปรากฏตัว
“หรือว่าเขาจะกลัวจนไม่กล้าโผล่หัวออกมา?”
ในห้องรับรองแขกระดับสูง เซียนทะเลทรายชาซานถงหัวเราะเยาะออกมาโดยไม่รู้ตัว
เสี่ยวเย่เลิกคิ้วขึ้นสูง สีหน้าขุ่นเคือง กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่ท่านปู่ก็ส่งเสียงไอออกมาเล็กน้อย
เสี่ยวเย่จึงจำเป็นต้องขมวดคิ้วและกล้ำกลืนคำพูดกลับลงลำคอ
“น้องหลินไม่มีทางหลบหนีเด็ดขาด”
บังเกิดอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมาแทน แต่คราวนี้ผู้พูดคือองค์ชายเจ็ดคอเอียง สายตาของผู้คนในห้องรับรองหันไปจ้องมององค์ชายหนุ่มผู้ถูกแต่งตั้งให้เป็นอ๋องผู้สืบทอดบัลลังก์เมื่อไม่กี่วันก่อน และองค์ชายเจ็ดก็กล่าวเน้นย้ำทีละคำว่า “ถึงเขาจะมีนิสัยเจ้าเล่ห์แสนกล พฤติกรรมเอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้ แต่เด็กคนนี้ไม่เคยผิดคำสัญญาของตนเอง เมื่อเขารับปากว่าจะมา เขาก็ต้องมาแน่นอน”
“เฮอะ ก็แค่คนพิการผู้หนึ่ง”
เซียนทะเลทรายชาซานถงยิ้มมุมปาก พูดพึมพำในลำคอด้วยความเหยียดหยาม
ในห้องรับรองขณะนี้ ขุนนางใหญ่ชาวเป่ยไห่แสดงสีหน้าไม่ชอบใจชัดเจน คำพูดของชาซานถงไม่ต่างจากการหยามหมิ่นราชวงศ์เป่ยไห่อย่างซึ่งหน้า
เมื่อเทียบกับเทพสังหารเซียนมนุษย์จีหวูชวงและง้าวพิฆาตสวรรค์ลู่ซินซึ่งมาจากจักรวรรดิมหาอำนาจอย่างจักรวรรดิเจิ้งหลงและจักรวรรดิต้าเกี๋ยนนั้น ผู้มีพลังระดับเซียนทั้งสองท่านนี้ กลับยังไม่พูดจาวางท่าใหญ่โตเช่นชาซานถงผู้มาจากดินแดนเล็ก ๆ อย่างจักรวรรดิหลิวชาเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้น จึงไม่มีใครคิดเลยว่าชาซานถงจะทำตัวยโสโอหังถึงเพียงนี้
ดวงตาขององค์ชายเจ็ดลุกวาวราวกับมีดวงไฟแผดเผา เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาปูดโปน องค์ชายเจ็ดจ้องมองไปที่ชาซานถง อีกฝ่ายก็จ้องมองตอบกลับมาด้วยสีหน้าเหยียดหยาม และพึมพำคำว่า ‘เจ้าเศษขยะ’ อยู่ในลำคออีกครั้งเป็นการยั่วโมโหโดยไม่ปิดบัง
“ท่านพ่อ…”
เด็กหญิงอายุหกขวบนางหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายองค์ชายเจ็ดรับรู้ได้ถึงความเป็นอันตราย นางไม่ทราบหรอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สัญชาตญาณของเด็กหญิงก็สั่งให้นางดึงชายเสื้อของบิดาเบา ๆ
องค์ชายเจ็ดสูดลมหายใจลึกและไม่พูดอะไรออกมาอีก
หลินเป่ยเฉินหนอ หลินเป่ยเฉิน ครั้งนี้เจ้าต้องเอาชนะให้ได้นะ
องค์ชายเจ็ดกัดฟันกรอดและโอบอุ้มบุตรสาวขึ้นมากอดในอ้อมอก
สายตาของชาซานถงพลันจ้องมองมาที่เด็กหญิงตัวน้อยอย่างเป็นประกายแวววาวราวกับได้ค้นพบสิ่งที่น่าสนใจก็ไม่ปาน
ตัวของชาซานถงนั้นถือกำเนิดเกิดในจักรวรรดิเล็ก ๆ โอกาสที่ตนเองจะได้เป็นหนึ่งในสมาชิกของคณะทูตกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางคงยากที่จะมีครั้งที่สอง ดังนั้น ชายฉกรรจ์จึงคิดว่าตนเองควรอาศัยโอกาสนี้ใช้อำนาจที่มีให้เต็มที่ และเมื่อเห็นว่าพวกเป่ยไห่มีขวัญกำลังใจดีกว่าที่คิด ชาซานถงก็รู้สึกไม่พอใจเสมอมา
และการได้กระทำตัวดูหมิ่นราชวงศ์เป่ยไห่เช่นนี้ ก็นับเป็นสิ่งที่สร้างความสุขให้แก่ชาซานถงพอสมควร
และเมื่อการประลองในวันนี้จบลง เขาก็มีวิธีดูหมิ่นชาวเป่ยไห่ที่หนักหนาสาหัสมากกว่านี้อีกหลายเท่า
ทันใดนั้น!
แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง!
เสียงระฆังดังกังวานไปทั่วสังเวียนประลอง
มาแล้ว
นี่คือเสียงการนับถอยหลังกำหนดเวลาการประลองเดิมพันชีวิต
เมื่อระฆังถูกเคาะครบสิบครั้ง การประลองก็จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
ทุกครั้งที่เสียงระฆังดังกังวาน หัวใจของชาวเป่ยไห่ก็จะเต้นระส่ำด้วยความลุ้นระทึก
เหตุไฉนถึงยังไม่มาอีก?
ทำไมวีรบุรุษแห่งแผ่นดินอย่างหลินเป่ยเฉินถึงยังไม่มาปรากฏตัว?
ณ บัดนี้ ชาวเป่ยไห่ทุกคนไม่ว่าจะอยู่บนอัฒจันทร์รอบสังเวียนหรือนั่งเฝ้าหน้าจอถ่ายทอดสดอยู่ทั่วนครหลวงหรือในมณฑลอื่น ๆ ก็ตาม ทุกคนต่างก็รอคอยอย่างกระวนกระวายใจ
แกร๊ง!
เสียงระฆังครั้งที่แปด
แกร๊ง!
เสียงระฆังครั้งที่เก้า
บนสังเวียนเฟิงอวิ๋น ยังคงมีอวี้ซือไป๋ยืนอยู่เพียงลำพัง
หัวใจของชาวเป่ยไห่ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
ทำไมถึงยังไม่มาอีกนะ?
หลายคนเริ่มคิดด้วยความตื่นตระหนก
ขณะนี้ พวกเขาไม่อยากให้เสียงระฆังสิ้นสุดลงเลย
แกร๊ง!
เสียงระฆังครั้งสุดท้ายดังขึ้น
อวี้ซือไป๋ผู้ยืนหลับตาอยู่บนสังเวียนประลองพลันลืมตาขึ้นมาแล้ว
ทันใดนั้น ดวงตาทั้งสองข้างของนางก็เป็นประกายแวววาว
“ในที่สุดก็มาได้เสียที”
เสียงของนางดังกังวานในหูของทุกคน
จังหวะเดียวกันนี้…
วูบ!
ลำแสงสีเขียวพุ่งลงมาจากกลางท้องฟ้า
มันไม่ต่างจากรังสีกระบี่ที่ฟันมวลอากาศให้แหวกออกด้วยความปั่นป่วน ส่งผลให้บรรยากาศบนเวทีประลองเกิดความโกลาหลขึ้นเล็กน้อย
พลังคุกคามที่ปลดปล่อยออกมาจากสังเวียนเฟิงอวิ๋นคล้ายกับคมกระบี่ที่สามารถฟันร่างกายทุกคนให้ขาดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
มวลอากาศถูกแหวกแยกออกเป็นสองฝั่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
มวลพลังปริศนาพุ่งไปที่อวี้ซือไป๋
ทันใดนั้น สายรัดมวยผมของหญิงสาวผู้ฝึกวิชาอยู่ในทะเลทรายน้ำแข็งมาอย่างยาวนานนับสิบปีก็ถูกดึงออกมา เส้นผมสีเกาลัดของนางได้รับการปลดปล่อยลงมายาวสลวยราวกับม่านน้ำตกสายหนึ่ง!
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนสีหน้าของอวี้ซือไป๋
เมื่อนางยกมือขึ้นมา คันธนูเทพเจ้าร่ำไห้ก็ปรากฏอยู่ในมือแล้ว
นิ้วมือของอวี้ซือไป๋ขยับเล็กน้อย
ผึง!
พลันสายธนูปรากฏขึ้น
สายธนูสั่นไหวแผ่คลื่นเสียงแปลกประหลาดออกไป
ครืน!
แล้วรังสีกระบี่สีเขียวที่พุ่งลงมาจากฟากฟ้า ก็ถูกต้านทานด้วยคลื่นเสียงจากสายธนู ส่งผลให้มวลพลังการโจมตีของรังสีกระบี่จางหายไปก่อนที่มันจะเข้าถึงตัวอวี้ซือไป๋เพียงไม่กี่สิบวาเท่านั้น!
การปะทะกันของมวลพลังทั้งสองฝ่ายทำให้มวลอากาศปั่นป่วน
เกิดการระเบิดของลำแสงสีเขียวและสีเงินสว่างไสว
โชคดีที่ค่ายอาคมรอบสังเวียนถูกเปิดใช้งานขึ้นมาแล้ว ม่านพลังสีส้มจึงคุ้มครองคนดูไม่ให้ได้รับอันตราย แรงระเบิดและมวลพลังที่ไหลเวียนอยู่ในอากาศจึงถูกกักบริเวณอยู่แค่ในอาณาเขตของเวทีประลองเท่านั้น
บัดนี้ คนดูทุกคนต่างรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวที่น่าขนลุก
ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าเหตุการณ์ที่น่าสะเทือนขวัญเช่นนี้จะเกิดขึ้นยามเสียงระฆังครั้งสุดท้ายดังกังวาน
บนเวทีประลอง
เมื่อบรรยากาศสงบลง สายตาของผู้คนกว่า 600,000 ชีวิตก็พบเห็นหลินเป่ยเฉินในชุดสีขาวสะอาดตายืนอยู่กลางเวทีแล้ว
เด็กหนุ่มยังคงมีความหล่อเหลาสมบูรณ์แบบเกินความหล่อเหลาของมนุษย์ ราวกับว่าเขาเป็นเทพเจ้าแห่งกระบี่ที่จุติลงมาจากสวรรค์เช่นเคย
เกิดความเงียบงันตามมา
ก่อนที่เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจจะดังกระหึ่มปานภูเขาไฟระเบิด
ชาวเป่ยไห่กว่า 600,000 คนรอบเวทีประลองไม่สามารถปิดบังความดีใจเอาไว้ได้อีก
ในที่สุด เด็กหนุ่มผู้เป็นความหวังของคนทั้งชาติก็ปรากฏตัวออกมาในยามที่พวกเขาหมดหวังมากที่สุด มิหนำซ้ำ มันยังเป็นการปรากฏตัวที่น่าตื่นเต้น และทำให้ผู้คนกว่า 600,000 ชีวิตกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ความดีใจไหลหลั่งท่วมท้นอย่างควบคุมไม่ได้
อารมณ์ความรู้สึกพลุ่งพล่านไม่ต่างจากภูเขาไฟระเบิด
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากเมื่อสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นของกลุ่มคนดู
เขาเสแสร้งแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างหันไปโบกมือทักทายคนดูบนอัฒจันทร์
นั่นยิ่งทำให้เสียงร้องของคนดูดังมากยิ่งขึ้น
“เจ้ามาสาย”
แววตาดุดันของอวี้ซือไป๋จ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินยังคงโบกมือให้แก่กลุ่มคนดูขณะตอบเสียงเรียบว่า “พระเอกก็ต้องขึ้นเวทีเป็นคนสุดท้ายสิ มีแต่ตัวประกอบเท่านั้นแหละที่ขึ้นเวทีก่อน”