เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 941 ช้าก่อน!
ตอนที่ 941 ช้าก่อน!
“เร็วเข้า รีบตามหมอหลวง….”
“ส่งตัวหลินเป่ยเฉินไปเข้ากับการรักษาที่วังหลวงเดี๋ยวนี้!”
ใครบางคนตะโกนออกคำสั่ง
ขณะนี้ ไม่สำคัญอีกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในการประลอง เพราะการช่วยเหลือชีวิตผู้คนสำคัญที่สุด
ก่อนหน้านี้ ทุกคนยังเห็นหลินเป่ยเฉินพูดจาได้เป็นปกติ จึงพากันเข้าใจว่าอาการบาดเจ็บของเขาคงไม่รุนแรงอย่างที่คิด แต่ที่ไหนได้ อยู่ดี ๆ เด็กหนุ่มกลับหมดสติไปเสียแล้ว
อัครเสนาบดีจั่วเซียงและผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนต่างก็มีสีหน้าตื่นตระหนกชัดเจน
หลายคนกำลังจะวิ่งมาพยุงร่างของหลินเป่ยเฉิน
แต่ท่ามกลางความวุ่นวายเหล่านี้ เจ้าหนูอากวงก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมา
“จี๊ด!”
ขนสีเงินบนลำตัวของมันชี้ชัน เสียงคำรามแหบต่ำดังออกมาจากในลำคอ คลื่นเสียงของมันพุ่งเป็นเกลียวคลื่นสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ไม่มีอีกแล้วเจ้าหนูผู้น่ารัก
มีแต่หนูอสูรผู้น่าหวาดกลัวอย่างแท้จริง
ทุกคนรีบถอยออกมาตามสัญชาตญาณ
“นายท่านของพวกเรา จะกลับไปพักรักษาตัวที่จวนซางจั้วหยวน”
พลัน ร่างที่สูงใหญ่ของชายฉกรรจ์คนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศราวกับเป็นภูตผี เขาโอบประคองร่างที่อ่อนระทวยของหลินเป่ยเฉินอยู่ในอ้อมแขน ชายฉกรรจ์คนนี้ไว้ผมจุกบนศีรษะ มีใบหน้าราบเรียบธรรมดา ไม่โดดเด่นสะดุดตาแต่อย่างใด
ขาซ้ายและแขนทั้งสองข้างของเขามีความหนาแน่นของมัดกล้ามเนื้อมากผิดปกติ
ไม่มีใครทันเห็นว่าชายฉกรรจ์ผู้นี้มาปรากฏตัวได้อย่างไร
“เจ้าเป็นใคร?”
จั่วเซียงจ้องมองชายปริศนาด้วยแววตาคมกริบไม่ต่างจากคมกระบี่
ชายผมจุกตอบเสียงแผ่วเบา “ข้าคือองครักษ์ส่วนตัวของคุณชายหลิน มีนามว่ากงกง”
“เป็นไปไม่ได้”
จั่วเซียงส่ายศีรษะอย่างแรง “เท่าที่ข้าทราบมา หลินเป่ยเฉินไม่มีองครักษ์ส่วนตัว เจ้าโกหก!”
กงกงพูดอะไรไม่ออก
เขาจะตอบคำถามนี้อย่างไรดี?
“เขาพูดความจริงขอรับ”
อีกเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น
และทุกคนก็ได้พบเข้ากับพ่อบ้านหวังจงที่เซียวปิงช่วยประคองทิ้งตัวลงมายืนอยู่บนเวทีประลอง ชายชราพูดเสียงดังกังวานต่อไป “บุรุษหนุ่มผู้นี้คือองครักษ์ส่วนตัวของนายน้อย ข้าขอยืนยันว่านายน้อยไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาตัวที่วังหลวงหรือที่สถานพยาบาลใดๆ เพราะฉะนั้น นายน้อยจะกลับไปรักษาตัวที่จวนซางจั้วหยวนขอรับ”
คำพูดของพ่อบ้านชราทำให้คิ้วของใครหลายคนต้องเลิกขึ้นสูง
พวกเขารู้ดีว่าหวังจงคือคนรับใช้ที่หลินเป่ยเฉินเชื่อใจมากที่สุด
ตามข้อมูลที่ปรากฏออกมา พ่อบ้านชราผู้นี้มีระดับพลังต่ำต้อย นิสัยเจ้าเล่ห์มากเหลี่ยม จิตใจสกปรกชั่วช้า คาดว่านิสัยเลวทรามของหลินเป่ยเฉินย่อมได้รับการถ่ายทอดมาจากพ่อบ้านคนนี้นี่เอง แต่ไม่รู้เลยว่าเพราะเหตุใด หลังจากที่หลินเป่ยเฉินขึ้นมามีชื่อเสียงโด่งดังและมีฝีมือแข็งแกร่ง เขาก็ยังคงไว้ใจพ่อบ้านชราคนนี้อย่างไม่เสื่อมคลาย…
ในเมื่อหวังจงพูดเช่นนี้…
“รีบส่งคุณชายหลินกลับไปรักษาตัวที่จวนซางจั้วหยวน”
จั่วเซียงออกคำสั่งเสียงดังกังวาน
กงกงอุ้มเด็กหนุ่มอยู่ในอ้อมแขนและกำลังจะพลิ้วกายจากไป
“ช้าก่อน”
เซียนทะเลทรายชาซานถงซึ่งยืนหัวเราะในลำคออยู่ตลอดเวลา พลันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ข้อเท็จจริงเบื้องหลังการประลองในวันนี้ยังไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น พวกเจ้าจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
“คนแซ่ชา!”
องค์ชายเจ็ดก้าวออกมาข้างหน้าและคำรามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “เจ้าคิดว่าตนเองเป็นทูตจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง แล้วจะวางอำนาจบาตรใหญ่ในจักรวรรดิเป่ยไห่ของข้าได้ตามอำเภอใจอย่างนั้นหรือ?”
ชาซานถงสะดุ้งเฮือก ริมฝีปากกระตุกด้วยความเดือดดาล
แต่จีหวูชวงก็ยกมือห้ามปรามผู้ที่มาด้วยกัน
“เอาล่ะ พวกเจ้านำตัวหลินเป่ยเฉินกลับไปรักษาอาการบาดเจ็บเถอะ แต่เขาห้ามออกนอกนครหลวงเด็ดขาด เมื่อเขาฟื้นขึ้นมาแล้ว ก็ต้องยินดีให้ความร่วมมือกับการสอบสวนของพวกเรา” จีหวูชวงยอมถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว ก่อนแสยะยิ้ม “แต่พวกเจ้าจะเอาคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้ไปด้วยไม่ได้”
“ให้เขาไป”
หวังจงสั่งด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
อากวงโยนคันธนูศักดิ์สิทธิ์ทิ้งไปลงบนพื้นเวทีด้วยความเชื่อฟังเป็นอย่างดี
“พวกเราไป”
หลังจากนั้น หวังจงและพรรคพวกก็นำตัวหลินเป่ยเฉินจากไปโดยเร็ว
บัดนี้ อาการบาดเจ็บของคุณชายหลินคือสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุด
เรื่องอื่น ๆ สามารถจัดการได้ในภายหลัง
นับเป็นโชคดีที่ในขณะนี้หลินเป่ยเฉินหมดสติไม่รับรู้เรื่องราวใดอีกแล้ว
เพราะหากเขารู้ว่าหวังจงออกคำสั่งให้อากวงทิ้งคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้ มีหวังเด็กหนุ่มได้ลุกขึ้นมาขย้ำคอหอยพ่อบ้านชราจนถึงแก่ความตายตามกันไปแน่นอน
เมื่อเห็นพวกของหลินเป่ยเฉินจากไปแล้ว เสียงพูดคุยบนอัฒจันทร์ก็ยิ่งดังอื้ออึงมากขึ้นเรื่อย ๆ
ผู้คนกว่า 600,000 ชีวิตบนอัฒจันทร์ส่งเสียงโห่ร้องเป่าปากด้วยความเดือดดาลใจ
จีหวูชวงรับคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้มาถืออยู่ในมือ สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉย แต่ดวงตาเกิดความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยราวกับผิวน้ำที่ไหวเป็นระลอกคลื่น และหากจะมีใครสักคนสังเกตดูให้ดี ก็จะรู้ว่ามุมปากของจีหวูชวงถึงกับยกตัวขึ้นมาเล็กน้อย
“ข้าจะเก็บธนูนี้เอาไว้เป็นหลักฐานในการสืบสวนก่อนก็แล้วกัน”
หลังจากนั้น เทพสงครามเซียนมนุษย์ก็เก็บคันธนูวิเศษเข้าใส่วัตถุเก็บสมบัติของตนเองหน้าตาเฉย
สีหน้าขององค์ชายอวี่แปรเปลี่ยนไป แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ขอเชิญพวกท่านเก็บศพแม่นางอวี้”
จีหวูชวงชำเลืองมองร่างที่ไร้ลมหายใจของหญิงสาวบนพื้นเวที ก่อนจะส่ายศีรษะเล็กน้อย นางนับว่าเป็นขุนศึกคนสำคัญของจักรวรรดิเล็ก ๆ อย่างจักรวรรดิจี้กวงที่แท้จริง ทว่ากลับต้องมาตายอย่างน่าอนาถเช่นนี้ เปรียบดั่งดอกไม้ที่ยังไม่ทันได้ผลิบาน ก็ต้องมาเหี่ยวเฉาเสียแล้ว
หากนางยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ประเมินได้ว่าด้วยพรสวรรค์ของอวี้ซือไป๋ นางจะต้องมีบทบาทสำคัญในกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางอย่างแน่นอน
ในที่สุด คณะผู้คนชาวจี้กวงก็มาเคลื่อนย้ายซากศพของอวี้ซือไป๋ลงจากเวทีประลอง
“ส่วนท่านเหล่าชา ไปคอยจับตาดูจวนซางจั้วหยวนอย่างใกล้ชิด อย่าปล่อยให้หลินเป่ยเฉินหลบหนีออกไปก่อนการสืบสวนจะได้ข้อสรุปเด็ดขาด”
จีหวูชวงออกคำสั่งอีกครั้ง
ชาซานถงหัวเราะลั่น
“มิต้องเป็นห่วง ข้าจะจับตาดูแทนท่านเอง ไม่ว่าใครก็ตามที่คิดหลบหนี ข้าจะฆ่ามันแน่นอน”
เซียนทะเลทรายจากจักรวรรดิหลิวชากล่าวตอบรับด้วยเสียงอำมหิตจิตอาฆาต
สีหน้าของจั่วเซียงและพรรคพวกบอกชัดถึงความโกรธแค้น
อีกฝ่ายมีเจตนาพูดให้พวกเขาได้ยินเพื่อเป็นการข่มขู่
หลังกล่าวจบ คณะทูตทั้งสามท่านจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางก็เปลี่ยนร่างกลายเป็นลำแสงหายวับไปจากเวทีประลอง
“พวกเราก็ไปกันเถอะ”
จั่วเซียงหันมากล่าวต่อคณะขุนนางผู้ติดตามตนเอง
“ผู้อาวุโสเสี่ยว รบกวนท่านช่วยคัดเลือกมือดีจากกลุ่ม 66 องครักษ์มาสัก 4,000 นาย และสั่งให้พวกเขาผลัดเวรกันอยู่เฝ้าจวนซางจั้วหยวนคอยทำหน้าที่ส่งน้ำส่งอาหารส่งยาให้แก่ผู้คนในนั้น และห้ามมิให้มีผู้ใดเข้าออกที่นั่นได้ตามอำเภอใจ รวมถึงอาหารและยาแต่ละชนิดที่ถูกส่งเข้าไปนั้น ต้องได้รับการตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีอันตราย”
จั่วเซียงกระซิบข้างหูหัวหน้าตระกูลเสี่ยว
เสี่ยวเหยียนพยักหน้ารับทราบ
ครั้งนี้ ทุกฝ่ายในจักรวรรดิเป่ยไห่ต้องทำงานร่วมกัน
ราชวงศ์เป่ยไห่ให้ความสำคัญต่อหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างมาก
นี่หมายความว่าไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ต้องหาทางรักษาหลินเป่ยเฉินให้ได้
แต่คำสั่งของจั่วเซียงยังไม่ทันได้มีผู้ใดปฏิบัติตามด้วยซ้ำ
ทางวังหลวงก็ส่งองครักษ์ส่วนพระองค์มาเฝ้ารักษาความปลอดภัยให้แก่หลินเป่ยเฉินเรียบร้อยแล้ว
โชคดีที่ผู้ติดตามของหลินเป่ยเฉินเองก็มีฝีมือไม่ต่ำต้อย หากผู้บุกรุกไม่ได้มีพลังอยู่ในขั้นเซียน ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปทำอันตรายเด็กหนุ่มได้เด็ดขาด
เว้นแต่ว่าจะมีการตลบหลังจากพวกเดียวกันเองเท่านั้น
และนั่นก็คือประเด็นสำคัญที่ทำให้ทางราชสำนักและกลุ่มขุนนางต้องร่วมมือกันเป็นอย่างดี