เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 945 สิทธิ์ในการตัดสินใจเด็ดขาดอยู่ที่ข้า
ตอนที่ 945 สิทธิ์ในการตัดสินใจเด็ดขาดอยู่ที่ข้า
ตระกูลเสี่ยวก็เป็นเช่นเดียวกับตระกูลใหญ่ทั่วไปที่มีสาขาตระกูลย่อยอยู่มากมาย
ในห้องประชุมขณะนี้มีตัวแทนจากตระกูลเสี่ยวเจ็ดสาขามาเข้าร่วม
ในกลุ่มนี้ มีสามสาขาที่เป็นผู้ทรงอำนาจประจำตระกูล
แน่นอนว่าผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดก็คือผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนจากตระกูลสาขาใหญ่ ตามมาด้วยหัวหน้าตระกูลสาขาสองเสี่ยวอี้ และหัวหน้าตระกูลสาขาสี่ เสี่ยวหยวน
นี่คือตระกูลเสี่ยวสามสาขาที่มีอำนาจมากที่สุด
โดยเฉพาะในกองทัพทหาร
เช่นเดียวกับเสี่ยวหลิงจากสาขาสาม เสี่ยวเฉินจากสาขาห้า เสี่ยวเจิ้นจากสาขาหก และเสี่ยวหู่จากสาขาเจ็ด แต่เมื่อมาเปรียบเทียบกับผู้อาวุโสทั้งสามที่เอ่ยถึงด้านบนนั้น หัวหน้าตระกูลเสี่ยวเหล่านี้กลับไม่มีอำนาจแม้แต่จะเปิดปากพูดหากไม่ได้รับอนุญาต และทำได้เพียงเห็นชอบกับมติการประชุมโดยไม่มีทางคัดค้านเท่านั้น
บัดนี้ การประชุมที่เกิดขึ้นกำลังดำเนินไปด้วยความดุเดือด เนื่องจากหัวหน้าตระกูลเสี่ยวสาขาสองและสาขาสี่ต่างก็ยืนกรานให้หัวหน้าตระกูลเสี่ยวสาขาใหญ่อย่างผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียน เปลี่ยนใจในการเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตระกูลคนใหม่
เหตุผลไม่มีสิ่งใดซับซ้อน
พวกเขาย่อมต้องการตัดขาดหลินเป่ยเฉิน
และต้องการปลดเสี่ยวเย่ออกจากตำแหน่งผู้สืบทอดหัวหน้าตระกูลใหญ่
เห็นได้ชัดว่านี่คือเรื่องที่หัวหน้าตระกูลสาขาสองและสาขาสี่วางแผนกันมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว นี่จึงเป็นแผนการสมคบคิดที่จะยึดอำนาจไปจากมือของท่านผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียน
ทันใดนั้น ตัวแทนจากตระกูลสาขาต่าง ๆ ที่มาร่วมประชุม ต่างก็มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปตาม ๆ กัน
“ข้าเห็นด้วยกับการเปลี่ยนตัวผู้สืบทอด”
เสี่ยวหลิงจากตระกูลเสี่ยวสาขาสามเป็นคนแรกที่เปิดปากพูดขึ้นมา
“ข้าเองก็เห็นด้วยเช่นกัน ความตายของหลินเป่ยเฉินคือมหันตภัย เขาไปสร้างความบาดหมางกับคณะตัวแทนจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางเช่นนี้ อย่าว่าแต่ตระกูลเสี่ยวของพวกเราเลย ต่อให้ทางราชสำนักก็เกรงว่าคงจะปกป้องเขาไม่ได้อีกแล้ว เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ พวกเราก็คงจะทำตัวญาติดีกับเขาไม่ได้อีกเป็นอันขาด”
เสี่ยวเฉินหัวหน้าตระกูลเสี่ยวสาขาห้าพูดออกมาเสียงดัง
ในห้องประชุมเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยดังอื้ออึง
บัดนี้ เสี่ยวหู่จากสาขาเจ็ดจึงอดที่จะพูดออกมาด้วยความเดือดดาลไม่ได้ “พวกท่านเห็นตระกูลเสี่ยวของเราเป็นตัวตลกหรืออย่างไร? เทียบเชิญถูกส่งออกไปแล้ว ทั่วนครหลวงต่างรับทราบเรื่องนี้ หากยกเลิกการจัดงานกลางคัน มิใช่ผู้คนทั่วนครหลวงจะหัวเราะเยาะเราเอาหรือ?”
เสี่ยวอี้จากสาขาสองหัวเราะในลำคอ “ถูกหัวเราะเยาะก็ดีกว่าถูกฆ่าล้างตระกูล ที่ทำเช่นนี้ ก็เพื่อตระกูลเสี่ยวของพวกเรา”
เสี่ยวหู่หัวเราะเยาะตอบกลับไป “ทำเพื่อตระกูลเสี่ยว? ท่านผู้มาจากตระกูลสาขาสองและสาขาสี่ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าพวกท่านสุมหัวกันวางแผนร้ายมานานแล้ว ท่านอาศัยชื่อเสียงของตระกูลเสี่ยวหาผลประโยชน์ทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง แล้วยังเรียกว่าการทำเช่นนี้ เป็นการทำเพื่อตระกูลเสี่ยวอีกหรือ?”
“สามหาวนัก!”
เสี่ยวหยวนทุบโต๊ะดังปังและพูดเสียงแข็งกระด้าง “ท่านเสี่ยวหู่ นี่หมายความว่าอย่างไร? ถึงพวกเราจะมีสายเลือดเดียวกัน แต่อย่างไรความอดทนของพวกข้าก็มีจำกัด”
เสี่ยวหู่กวาดสายตามองโดยรอบและกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น “พวกท่านทำอะไรลงไปบ้างล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ อย่าได้คิดว่าผู้อื่นหูหนวกตาบอด ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนเพียงคร้านที่จะเอาผิดพวกท่านเท่านั้น แค่นำชื่อเสียงของตระกูลเสี่ยวไปหาประโยชน์ส่วนตน พวกท่านยังไม่พอใจอีกหรือ?”
“บัดนี้ พวกท่านยังมาคิดแย่งชิงอำนาจไปจากมือท่านผู้อาวุโส ขอถามหน่อยเถอะว่าตระกูลเสี่ยวของพวกเรา หากไม่มีท่านผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนสักคน ป่านนี้ตระกูลเสี่ยวจะมีสภาพเป็นอย่างไร? ในเมื่อคงมีแต่พวกขี้ขลาดตาขาวอย่างพวกท่านขึ้นมาบัญชาการและกอบโกยผลประโยชน์ใส่ตัวเท่านั้น”
“เจ้า… เสี่ยวหู่ หากเจ้ามีความสามารถ ก็แสดงหลักฐานออกมา มิเช่นนั้น พวกเราจะใช้กฎประจำตระกูลลงโทษเจ้า” เสี่ยวอี้จากสาขาสองกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เสี่ยวหู่ทำท่าจะเปิดปากโต้แย้ง แต่แล้วผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนกลับยกมือโบกสะบัดและสอบถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “เสี่ยวอี้ บอกข้ามา เจ้ามีข้อเสนออะไร?”
เสี่ยวอี้หัวหน้าตระกูลสาขาสองยิ้มมุมปากและตอบว่า “ข้อเสนอของข้าไม่มีอะไรซับซ้อน ปลดเสี่ยวเย่ออกจากตำแหน่งหัวหน้าตระกูลคนต่อไป ขับไล่เขาออกจากตระกูลเสี่ยว และคัดเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตระกูลใหญ่คนใหม่ เหอเหอเหอ ข้าขอเสนอเสี่ยวสือ ถึงเขาจะยังอายุน้อย แต่กลับมีประสบการณ์ในหลาย ๆ ด้านมากกว่าเสียวเย่ เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ต้องยกเลิกงานมอบตำแหน่งหัวหน้าตระกูลครั้งนี้ และยังคงให้แขกเหรื่อมาร่วมงานเลี้ยงตามเทียบเชิญได้ตามเดิมต่อไป”
เสี่ยวสือคือคนหนุ่มรุ่นใหม่ในตระกูลเสี่ยวสาขาสอง
เสียงพูดคุยดังอื้ออึงในห้องประชุมอีกครั้ง
“พวกเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง?” ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนไม่ได้มีสีหน้าเดือดดาลแม้แต่น้อย เขากลับถามความเห็นจากทุกคนด้วยความสงบนิ่ง
“ข้าขอคัดค้าน”
เสี่ยวหู่จากตระกูลเสี่ยวสาขาเจ็ดพูดเสียงแข็งกร้าว “เสี่ยวสือเป็นคุณชายไข่ในหิน ตลอดชีวิตอยู่อย่างสำอางสะดวกสบาย ไม่เคยลงไปเผชิญหน้ากับศัตรูในสนามรบมาก่อน เขามีคุณสมบัติอันใดที่จะมาขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลคนต่อไป?”
“แต่ข้าเห็นด้วยที่จะให้เสี่ยวสือเป็นหัวหน้าตระกูลคนต่อไป” เสี่ยวหยวนจากสาขาสี่ส่งเสียงขึ้นมา
“เราทุกคนล้วนเห็นด้วยกับข้อเสนอของเสี่ยวอี้ เสี่ยวสือจะต้องเป็นผู้นำตระกูลที่ดีแน่นอน”
ในห้องประชุมขณะนี้ เสี่ยวหลิงจากตระกูลเสี่ยวสาขาสาม เสี่ยวเฉินจากตระกูลเสี่ยวสาขาห้า และเสียวเจิ้นจากตระกูลเสี่ยวสาขาหก ต่างก็พูดขึ้นมาพร้อมกัน
มีเพียงหัวหน้าตระกูลสาขาใหญ่กับหัวหน้าตระกูลสาขาเจ็ดเท่านั้นที่ยังคงสนับสนุนเสี่ยวเย่
“ฮ่า ๆๆ พวกเราชนะ”
เสี่ยวอี้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ
“แต่สิทธิ์ในการตัดสินใจเด็ดขาดอยู่ที่ข้า”
ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนเอ่ยเสียงเรียบ
รอยยิ้มบนใบหน้าเสี่ยวอี้หายวับไปทันที
ทุกคนในห้องประชุมพากันมองหน้าผู้อาวุโสใหญ่และไม่กล้าพูดอะไรออกมา
“ข้าเป็นคนสร้างตระกูลเสี่ยวขึ้นมา เพราะฉะนั้น ข้าจึงมีสิทธิ์ตัดสินใจขั้นสุดท้าย” ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนยังคงกล่าวต่อไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เขาปรบมือเล็กน้อย
จากนั้น ทหารสวมชุดเกราะเต็มยศ 40 นายก็วิ่งเข้ามาในห้องประชุม
ทุกคนล้วนเป็นนายทหารระดับหนึ่ง
ผู้นำกลุ่มมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย
ที่โต๊ะประชุมขณะนี้ ทุกคนล้วนนั่งตัวแข็งทื่อ
ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนค่อย ๆ ลุกขึ้นด้วยท่าทางที่สง่าผ่าเผย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงของผู้มีอำนาจที่แท้จริง “ข้าบอกเมื่อไหร่ว่าพวกเจ้ามีสิทธิ์เลือกหัวหน้าตระกูลคนใหม่? เสี่ยวอี้ เสี่ยวหยวน เจ้าคิดว่าคำพูดของตนเองมีน้ำหนักมากเพียงใด? คำพูดของเจ้าไม่สามารถเทียบกับคำพูดของข้าได้แม้แต่กระผีกเดียว ทุกคนรับคำสั่ง งานแต่งตั้งหัวหน้าตระกูลคนใหม่ยังจัดตามเดิมต่อไป และผู้ที่มารับช่วงต่อก็ยังคงเป็นคนเดิม หากมีผู้ใดไม่เห็นด้วย ก็จงออกจากตระกูลเสี่ยวไปซะ”
“ผู้อาวุโส ท่าน…”
เสี่ยวอี้และเสี่ยวหยวนทั้งตกตะลึงและโกรธแค้น
พวกเขาเตรียมการเรื่องนี้มายาวนาน เมื่อเริ่มการโจมตีแล้ว จะสามารถหันหลังกลับได้อย่างไร?
“พวกเจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”
เสี่ยวเหยียนหันกลับมามองหน้าผู้คนทั้งสองด้วยแววตาเย็นชา
เสี่ยวอี้และเสี่ยวหยวนไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
สีหน้าเช่นนี้ของชายชราไม่เคยปรากฏขึ้นมานานมากแล้ว
ครั้งสุดท้ายที่ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนมีสีหน้าเช่นนี้ มันก็เป็นค่ำคืนแห่งการนองเลือดที่ทำให้ตระกูลเสี่ยวซึ่งเคยมีแปดสาขา ต้องหลงเหลืออยู่เพียงเจ็ดสาขาเท่านั้น
“ทุกคนแยกย้าย จบการประชุม”
ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใดได้ส่งเสียงออกมาอีก
เขาหมุนตัวเดินจากไป
“สมน้ำหน้าพวกเจ้านัก”
เสียงหัวเราะเยาะของเสี่ยวหู่ดังกังวานในห้องประชุมก่อนที่เขาจะเดินจากไปเช่นกัน
พวกของเสี่ยวอี้และคนอื่น ๆ ที่เหลืออยู่พลันมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาในพริบตา