เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 947 ค่าจ้าง
ตอนที่ 947 ค่าจ้าง
จูจวิ้นหลานหยุดชะงักพูดอะไรไม่ออก
เขาย่อมต้องการให้หลินเป่ยเฉินตาย
นี่คือภารกิจที่ทำให้จูจวิ้นหลานต้องเดินทางมาจักรวรรดิเป่ยไห่
ตราบใดที่สามารถทำภารกิจได้สำเร็จ สิ่งที่เขาจะได้รับตอบแทนก็มากมายมหาศาล
“ย่อมได้ ไม่มีปัญหา”
จูจวิ้นหลานกัดฟันกรอดและตัดสินใจเชื่อถือคำพูดของซุนซิงเจ๋อดูสักครั้ง
เขาหันมามองหน้าเกออู๋โหยว
ตอนแรก เกออู๋โหยวยังนั่งจิบน้ำชาไม่ทุกข์ร้อนอันใดต่อการสนทนาของชายทั้งสอง แต่เมื่ออยู่ดี ๆ ก็เห็นจูจวิ้นหลานหันมามองหน้าตนเอง เกออู๋โหยวจึงหัวใจกระตุกวูบและแทบจะทำถ้วยน้ำชาหลุดจากมือ…
“ท่านอย่าได้มองข้าเลย”
“น่านะ น้องเกอ…”
“ข้าไม่ใช่น้องท่าน พวกเราหาได้รู้จักกันไม่”
“อย่าพูดเช่นนั้นสิน้องเกอ ในเมื่อเจ้าให้ข้ายืมศิลาบูชามาแล้ว 1,000 ก้อน ขอยืมอีกสัก 400 ก้อนจะเป็นไรไป…”
“ข้าไม่เหลือศิลาบูชาติดตัวแล้ว ข้าเป็นคนจน ข้าขอตัวก่อน”
“อย่าเพิ่งไปสิ น้องเกอ ข้าสามารถเขียนสัญญากู้ยืมให้เจ้าได้นะ…”
“ข้าไม่เหลือศิลาบูชาแล้วจริง ๆ”
“จ่ายดอกเบี้ยร้อยละแปดต่อเดือนดีหรือไม่?”
“หืม? ท่านพูดจริงหรือ?”
“จริงสิ แล้วข้าก็จะลงนามในสัญญากู้ยืมให้เจ้าด้วย นอกจากนี้ ข้าจะขอนำป้ายประจำตัวผู้มีพลังระดับเซียนฝากไว้ที่เจ้าเป็นหลักค้ำประกัน และก็ยังมีป้ายประจำตัวของสมาชิกตระกูลจูอีก!”
“อ้า ถ้าอย่างนั้นก็ย่อมได้ ว่าแต่ 400 ก้อนจะพอหรือ? ข้าสามารถให้ท่านยืมได้เยอะกว่านั้นอีกนะ…”
“…”
จูจวิ้นหลานพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
เกออู๋โหยว เจ้าเด็กคนนี้เหลี่ยมจัดจริง ๆ!
“พอแล้ว แค่ 400 ก้อนก็พอแล้ว”
จูจวิ้นหลานไม่ต้องการกู้ยืมมากไปกว่านี้
เพราะสัญญาค่าจ้างของซุนซิงเจ๋อเหลือค้างจ่ายอยู่ที่ศิลาบูชา 400 ก้อนเท่านั้น
ซุนซิงเจ๋อกลับส่งเสียงแทรกขึ้นมาว่า “เพียง 400 ก้อนไม่พอขอรับ”
“หมายความว่าอย่างไร?”
จูจวิ้นหลานหันขวับมามองหน้าซุนซิงเจ๋อด้วยความไม่พอใจ “เจ้าเป็นใคร คิดว่าจะมาขึ้นราคาตามใจชอบได้หรือ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ”
ซุนซิงเจ๋อยิ้มออกมาเล็กน้อย “ครั้งนี้ข้าไม่ได้ลงมือเพียงลำพัง แต่ข้ายังมีสหายร่วมลงมือด้วยอีกสองคน พวกเขาล้วนมอบหมายให้ข้ามาขอรับค่าจ้างในส่วนของพวกเขาจากคุณชายจูเช่นกันขอรับ”
“หืม?”
จูจวิ้นหลานหยุดชะงักและนึกอะไรขึ้นมาได้
“สหายของเจ้า ใช่อู๋จิงแห่งเซี่ยซาและจูอู่เหนิงหรือไม่?”
เขาถามออกมาด้วยสีหน้ามึนงง
“คุณชายจูช่างฉลาดเฉลียว สามารถคาดเดาคำตอบได้ถูกต้อง”
ซุนซิงเจ๋อกล่าวชมเชยและพูดต่อ “เราพบกันระหว่างลอบสังหารหลินเป่ยเฉินครั้งสุดท้าย เมื่อเราสามคนร่วมมือกัน ย่อมต้องทำสำเร็จแน่นอนขอรับ”
จูจวิ้นหลานกัดฟันกรอด
ซุนซิงเจ๋อล้วงป้ายหยกลงค่ายอาคมออกมายื่นส่งให้ผู้เป็นนายจ้างสองชิ้น
จูจวิ้นหลานรับไปตรวจสอบและบดขยี้ป้ายหยกเหล่านั้นแหลกเป็นผงด้วยความเดือดดาล
สิ่งที่บรรจุอยู่ในป้ายหยกคือพลังลมปราณจากตัวของอู๋จิงและจูอู่เหนิง
พลังลมปราณของผู้มีพลังระดับเซียนนั้น คือสิ่งที่ไม่มีผู้ใดสามารถเลียนแบบได้…
นั่นคือกฎในยุทธภพ
ดังนั้น จูจวิ้นหลานจึงเชื่อแล้ว
หลังจากหยุดชะงักใช้ความคิดเล็กน้อย เขาก็ถามออกมา “เมื่อสังหารหลินเป่ยเฉินเสร็จสิ้น เจ้าจะออกจากเป่ยไห่เลยใช่หรือไม่?”
ซุนซิงเจ๋อพยักหน้าหนักแน่น “ใช่แล้วขอรับ ถึงหลินเป่ยเฉินจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ใช่ว่าเราจะสามารถฆ่าเขาได้ง่าย ๆ คุณชายจูก็คงรู้ว่ารอบกายเด็กหนุ่มผู้นั้นมีผู้มีพลังระดับเซียนคอยรับใช้อยู่อีกถึงสามคน และยังมีหนูอสูรขนเงินที่คอยอารักขาเขาอยู่ตลอดเวลา นั่นยังไม่รวมถึงนายทหารชุดเกราะเงินที่มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายอีก 20 ชีวิต”
“และบัดนี้ หลินเป่ยเฉินได้รับการคุ้มครองจากราชสำนักเป่ยไห่ การที่พวกเราสามคนสังหารเขา ก็เท่ากับทำผิดต่อทางราชวงศ์ มีค่าเท่ากับกบฏแผ่นดิน เพราะฉะนั้น พวกเราจึงไม่สามารถรั้งอยู่ในเป่ยไห่ได้อีกต่อไปขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าวางแผนหลบหนีเอาไว้แล้วหรือยัง?”
จูจวิ้นหลานสอบถาม
ซุนซิงเจ๋อได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อน ไม่ยอมตอบคำถาม
จูจวิ้นหลานหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเข้าใจความกังวลของอีกฝ่ายและรีบอธิบายด้วยความอดทน “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่มีเจตนาไล่ล่าพวกเจ้าอยู่แล้ว แต่ข้ากลับเป็นห่วงพวกเจ้าเสียอีก ข้าอยากให้เจ้าไปเข้าร่วมกับตระกูลจูที่อยู่ในจักรวรรดิต้าเกี๋ยน พวกเรามีเชื้อสายเป็นขุนนางใหญ่อยู่ที่นั่น จัดว่าเป็นตระกูลระดับสูง หรือหากเจ้าไม่อยากมีพันธะกับตระกูลจูมากเกินไป ก็ทำงานรับใช้เป็นมือกระบี่อิสระให้กับพวกเขาก็ได้ อย่างน้อย พวกเขาก็ต้องมีงานให้เจ้าทำอยู่เสมอ และเจ้าก็จะไม่ขาดแคลนทรัพยากรสำหรับเสริมสร้างพลัง ดีกว่าออกไปร่อนเร่พเนจรในยุทธภพเป็นไหน ๆ”
“อ้อ ที่แท้คุณชายจูก็หมายความเช่นนี้เอง”
ซุนซิงเจ๋อมีสีหน้าตื้นตันใจขึ้นมาทันที “แต่หากพวกเราสามคนไปพึ่งใบบุญตระกูลจูของท่าน ไม่ทราบว่าจะนำความเดือดร้อนมามอบให้แก่พวกท่านด้วยหรือไม่”
“ไม่ต้องห่วง ในเมื่อข้าขึ้นชื่อว่าเป็นคนของตระกูลจู ข้าก็จะต้องช่วยเหลือพวกเจ้าให้สุดทาง”
จูจวิ้นหลานพูดด้วยน้ำเสียงวางอำนาจ
หลังจากนั้น เขาก็หยิบป้ายเล็ก ๆ มาถือไว้ในมือและบอกว่า “เมื่อพวกเจ้าสังหารหลินเป่ยเฉินเรียบร้อยแล้ว ให้นำป้ายนี้มาขอพบข้าที่คณะทูตจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง และข้าจะช่วยพวกเจ้าจัดการเรื่องราวทุกอย่างเอง”
“คุณชายก็เป็นสมาชิกของคณะทูตด้วยเช่นกันหรือขอรับ?”
ซุนซิงเจ๋อเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
ความประหลาดใจที่แท้จริงปรากฏขึ้นในแววตาของเขา
จูจวิ้นหลานสังเกตเห็นเช่นกัน
“ก็ใช่น่ะสิ”
จูจวิ้นหลานตอบรับด้วยความภูมิใจ
ทันใดนั้น สีหน้าของซุนซิงเจ๋อก็เปลี่ยนไปกลายเป็นแสดงความเคารพมากขึ้นขณะรับป้ายเล็ก ๆ นั้นมาถือพร้อมกับกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้น ข้าน้อยก็ไม่กล้ารบกวนคุณชายจูอีกแล้ว ค่าจ้างพวกเราสามคนคือศิลาบูชาคนละ 400 ก้อน รวมทั้งหมดก็ 1,200 ก้อนพอดีขอรับ”
จูจวิ้นหลานรู้สึกเจ็บปวดไปถึงขั้วหัวใจ
แต่ในที่สุด เขาก็กัดฟันเขียนสัญญากู้ยืมและใช้ป้ายประจำตัวของผู้มีพลังระดับเซียน รวมถึงป้ายประจำตัวสมาชิกตระกูลจูเป็นหลักค้ำประกันยืมศิลาบูชามาจากเกออู๋โหยวเป็นจำนวนทั้งหมด 1,200 ก้อน
“คุณชายจูสมแล้วที่เป็นบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ จิตใจของท่านช่างกว้างขวางยิ่งนัก”
ซุนซิงเจ๋อเก็บศิลาบูชาทั้งหมดเข้าถุงเก็บของวิเศษด้วยความพอใจ “วันพรุ่งนี้ ข้าจะส่งหัวของหลินเป่ยเฉินมาที่เจดีย์เซียนเหยียบเมฆ รบกวนคุณชายจูรอรับได้เลย”
พูดจบ เขาก็เดินจากไปพร้อมด้วยศิลาบูชา
จูจวิ้นหลานมองแผ่นหลังของซุนซิงเจ๋อจนอีกฝ่ายหายลับไปจากสายตา ในใจทั้งรู้สึกเจ็บปวดและคาดหวังในเวลาเดียวกัน
เกออู๋โหยวยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อก้มมองสัญญากู้ยืมที่อยู่ในมือ
ให้ตายสิ!
พลาดไปเสียได้!!
ถ้ารู้ว่าจูจวิ้นหลานมีเรื่องจำเป็นต้องใช้ศิลาบูชามากถึงขนาดนี้ เขาคิดดอกเบี้ยให้แพงมากกว่านี้ก็ดีหรอก
ตระกูลจูร่ำรวยขนาดไหน ต่อให้เก็บค่าดอกเบี้ยแพงมากกว่านี้ ก็หาได้สั่นสะเทือนไม่
“น้องเกอ ทำไมเจ้าถึงมีศิลาบูชามากมายนัก?”
เมื่อจูจวิ้นหลานกลับมาได้สติอีกครั้ง เขาก็หันมาถามเกออู๋โหยวด้วยสีหน้าพิศวง “ทุกคนต่างรู้ดี อาจารย์ของเจ้าเป็นคนเสเพล ใช้จ่ายเงินทองมือเติบและติดหนี้สินคนเขาไปทั่ว แม้แต่เงินเดือนของเจ้ายังไม่พอจ่ายด้วยซ้ำ”
เกออู๋โหยวยกถ้วยน้ำชาในมือขึ้นจิบ ยิ้มเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ความลับขอรับ”