เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 949 บรรยากาศที่แปลกประหลาด
ตอนที่ 949 บรรยากาศที่แปลกประหลาด
หลินเป่ยเฉินพลันขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
ใหญ่โตขนาดนั้นเชียวหรือ?
แต่ดูเหมือนกระบี่มังกรเบิกฟ้าจะไม่ได้คุยโวเฉย ๆ เสียแล้ว
น่าสนใจแฮะ
หลินเป่ยเฉินเสียเวลาคิดเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็กดปุ่มดาวน์โหลดทันที
หลังใช้อัตราการโอนถ่ายข้อมูลเพียง 10 MB ป้ายประจำตระกูลจากกระบี่มังกรเบิกฟ้าก็ถูกดาวน์โหลดลงสู่โทรศัพท์มือถือและนำไปเก็บไว้ในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์
แล้วเด็กหนุ่มก็ดาวน์โหลดมันออกมาจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์อีกที
แสงสว่างเป็นประกายระยิบระยับ
แล้วแผ่นป้ายหกเหลี่ยมสีแดงเพลิงขนาดเท่ากับฝ่ามือเด็กชิ้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในฝ่ามือของหลินเป่ยเฉิน
เพียงถืออยู่ในมือก็รู้สึกได้ถึงความมีอำนาจ
มันมีน้ำหนักธรรมดา
ด้านหนึ่งแกะสลักเป็นรูปมังกรสีแดงเพลิงสองตัวกำลังรัดพันกัน
ส่วนอีกด้านแกะสลักเป็นตัวอักษรที่หลินเป่ยเฉินอ่านไม่ออก
น่าจะเป็นภาษาของจักรวรรดิเจิ้งหลง
หลินเป่ยเฉินสามารถบอกได้เลยว่าป้ายประจำตระกูลชิ้นนี้ผ่านการเล่นแร่แปรธาตุมาอย่างดี วัสดุที่นำมาใช้สร้างป้ายไม่ต่ำต้อย ให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นเหล็กบางชนิด เมื่อโคจรพลังลมปราณใส่เข้าไป ลวดลายมังกรที่อยู่ด้านหนึ่งของป้ายก็สามารถเคลื่อนไหวได้ราวกับมีชีวิต อีกทั้งยังมีเสียงคำรามแหบต่ำของมังกรดังลอยออกมาอีกด้วย
หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหากเขานำป้ายประจำตระกูลนี้ไปแสดงที่ใด ก็จะต้องเกิดเรื่องใหญ่ตามมาแน่นอน
ป้ายประจำตระกูลชิ้นนี้เปรียบดั่งสมบัติล้ำค่า
“ได้การละ”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความดีใจ
เดิมที เขาก็อยากจะไว้หน้าเทพสงครามเซียนมนุษย์จีหวูชวงอยู่บ้างหรอก
แต่บัดนี้ เด็กหนุ่มเปลี่ยนใจแล้ว
สงสัยเขาคงต้องใช้ไม้แข็ง
โดยที่ไม่ต้องเป็นห่วงเหตุการณ์หลังจากนี้อีกแล้ว
เมื่อนำป้ายประจำตระกูลชิ้นนี้ออกไปแสดงให้จีหวูชวงเห็น หลินเป่ยเฉินก็จะได้รู้คำตอบว่าที่กระบี่มังกรเบิกฟ้าคุยโวเอาไว้ใหญ่โตนั้นเป็นความจริงหรือไม่
‘น้องชาย เจ้าได้รับป้ายประจำตระกูลแล้วหรือไม่?’
‘ป้ายประจำตระกูลชิ้นนี้จัดทำขึ้นโดยคนตระกูลหวัง ช่างฝีมือผู้เป็นเอกด้านการสร้างวัตถุเล่นแร่แปรธาตุ เมื่อเจ้าโคจรพลังลมปราณใส่ลงไปเต็มอัตรา พญามังกรจ้าวนภาก็จะปรากฏกายขึ้นมา มันสามารถใช้เป็นเกราะกำบังการโจมตีของผู้มีพลังขั้นเซียนระดับหกได้อย่างไม่มีปัญหา ป้ายประจำตระกูลชิ้นนี้ถือเป็นสมบัติล้ำค่าของตระกูลข้า ฮ่า ๆๆ แต่น้องชายสามารถนำไปใช้ได้ตามสบาย …หากมีสิ่งใดผิดพลาด เดี๋ยวข้ารับผิดชอบเอง’
‘น้องชาย?’
ข้อความยังถูกส่งมาไม่หยุด
น่ารำคาญเสียจริง
เจ้าคนชั่วช้าไร้ยางอาย
หลินเป่ยเฉินเกลียดชังคนประเภทนี้มากที่สุด
เขาไม่ได้ตอบข้อความอะไรอีก ก่อนกดออกมาจากแอป QQ
…
วันต่อมา
เจดีย์เซียนเหยียบเมฆ
ในห้องโถงใหญ่ของชั้นแรก จูจวิ้นหลานมองไปยังก้านธูปที่กำลังเผาไหม้ระหว่างเดินกลับไปกลับมาคล้ายกับหนูติดจั่น
“พี่จู รบกวนท่านใจเย็นก่อน”
เกออู๋โหยวซึ่งกำลังถือถ้วยน้ำชาทองคำในมือราวกับมันเป็นสมบัติล้ำค่าอดปลอบโยนไม่ได้
“ใกล้จะหมดเวลาแล้ว เหตุไฉนซุนซิงเจ๋อถึงยังไม่ส่งหัวของหลินเป่ยเฉินมาอีก?”
จูจวิ้นหลานมองออกไปนอกเจดีย์
ไม่มีเงาร่างของผู้คน
“ป้ายประจำตัวที่เจ้ามอบให้เขาไปนั้น ความจริงเป็นป้ายที่ลงค่ายอาคมเอาไว้สำหรับการแกะรอยตำแหน่งของซุนซิงเจ๋อ แต่บัดนี้ เหตุไฉนถึงตามหาตำแหน่งของเขาไม่พบแล้ว?”
จูจวิ้นหลานส่ายหน้าด้วยความร้อนรน “ข้ารู้สึกอยู่เสมอว่าซุนซิงเจ๋อ อู๋จิงและจูอู่เหนิง บุคคลทั้งสามนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล แต่พวกเขาคงไม่ใช่นักต้มตุ๋นหรอกกระมัง?”
เกออู๋โหยวยิ้มออกมาเล็กน้อย “พี่จู หากท่านเป็นกังวล ก็ได้โปรดสบายใจเถิด ท่านลองคิดดูดี ๆ สิว่ามีเหตุผลกลใดที่ผู้มีพลังขั้นเซียนถึงสามคนต้องมาหลอกลวงท่านด้วย? ต่อให้พวกเขาไม่กลัวท่าน อย่างน้อยก็ต้องเกรงใจตระกูลจูของท่านบ้าง นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะมีใครกล้าหลอกลวงท่านเด็ดขาด”
“นั่นสินะ”
จูจวิ้นหลานมีสีหน้าสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
“อีกอย่าง พวกเขาทั้งสามคนผ่านการรับรองจากเจดีย์เซียนเหยียบเมฆ เมื่อเป็นเช่นนี้ พี่จูก็มั่นใจได้เลยว่าหากมีปัญหาใดเกิดขึ้น ต่อให้ข้าถูกฆ่าตาย สมาคมผู้มีพลังระดับเซียนย่อมไม่ปล่อยพวกเขาให้ลอยนวลแน่นอน”
เกออู๋โหยวกล่าวด้วยสีหน้ามั่นใจ “และหากข้าคิดว่าพวกเขามีปัญหา ข้าก็คงไม่ให้ท่านยืมศิลาบูชาไปจ่ายเป็นค่าจ้างมากมายถึงเพียงนั้นหรอก”
เมื่อจูจวิ้นหลานได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกสบายใจมากกว่าเดิม จึงอดหยอกเย้ากลับไปไม่ได้ว่า “ได้ข่าวว่าอาจารย์ของเจ้าจับคู่แต่งงานให้เจ้าแล้วนี่นะ เห็นว่าเจ้าสาวเป็นถึงทายาทขุนนางใหญ่ในจักรวรรดิเจิ้งหลงเชียวหรือ? ไม่ทราบว่านี่คือความจริงหรือไม่”?
“ย่อมเป็นความจริง แม้ว่าข้าจะยังไม่เคยเห็นหน้าเจ้าสาวมาก่อนก็ตาม… แต่ในเมื่อนี่เป็นคำสั่งของท่านอาจารย์ โบราณกล่าวไว้ว่าอาจารย์เปรียบดั่งบิดาคนที่สองของชีวิต ข้าจึงไม่อาจขัดขืนคำสั่ง และตัวข้าเองนั้นก็ค้นพบว่าการแต่งงานกับนางคือวิธีหาเงินที่ดีที่สุด ฮ่า ๆๆ”
จูจวิ้นหลานพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ทำไมเขาถึงไม่โชคดีอย่างนี้บ้างนะ
จูจวิ้นหลานได้แต่คิดด้วยความหมั่นไส้
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นี้
เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
จูจวิ้นหลานสะดุ้งโหยง
ในที่สุด ซุนซิงเจ๋อก็มาถึงแล้วหรือ?
จูจวิ้นหลานรีบวิ่งไปเปิดประตูเจดีย์เซียนเหยียบเมฆ
แต่กลับพบคนแปลกหน้ายืนอยู่ด้านนอก
“เจ้าเป็นใคร?”
จูจวิ้นหลานกำลังผิดหวัง จึงถามออกไปด้วยน้ำเสียงหยาบคาย
คนแปลกหน้าผู้นี้มีอายุ 30 ปีเศษ ลักษณะหน้าตาไม่ใช่คนดี กิริยาท่าทางยิ่งบอกถึงความต่ำช้า เพียงกวาดตามองวูบเดียว ก็รู้แล้วว่าไม่ใช่สุจริตชนแน่นอน
แต่เมื่อเห็นหน้าจูจวิ้นหลาน ผู้มาเยือนกลับแสดงความหวาดกลัวออกมาเล็กน้อยขณะกล่าวตะกุกตะกัก “ขะ… ข้า…ข้ามาตามหาคุณชายจูขอรับ มีคนฝากให้ข้านำของมามอบให้กับเขา”
หืม?
จูจวิ้นหลานหัวใจกระตุกวูบ “เป็นข้าเอง”
“นี่คือของฝากจากคุณชายซุนขอรับ” ชายแปลกหน้าส่งกล่องใบหนึ่งมาให้จูจวิ้นหลาน
“อย่าเพิ่งไป เจ้ามากับข้าก่อน”
จูจวิ้นหลานเดินถือกล่องไม้และบังคับให้คนแปลกหน้าเข้ามาสู่ห้องโถงใหญ่ด้านในเจดีย์เซียนเหยียบเมฆ
หลังจากนั้นไม่นาน ในห้องโถงใหญ่ก็กึกก้องด้วยเสียงตะโกนอย่างดีใจสุดขีดของจูจวิ้นหลาน
เนื่องจากพอเปิดกล่องไม้ออกมาแล้ว สิ่งที่เขาพบก็คือศีรษะของหลินเป่ยเฉิน
จูจวิ้นหลานตรวจสอบอย่างระมัดระวังอยู่หลายรอบ
“เป็นของจริง”
เขาอุทานด้วยความดีใจและตกตะลึง
เกออู๋โหยวเองก็ถึงกับเข้ามาช่วยตรวจสอบอยู่หลายรอบเช่นกัน
“เป็นศีรษะของหลินเป่ยเฉินจริงด้วย พลังลมปราณจากอิทธิฤทธิ์การทำลายล้างของคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้จะแทรกซึมไปตามเส้นเลือด ไม่มีทางชำระล้างได้เด็ดขาด ข้าเห็นพลังเหล่านั้นในดวงตาของเขา นี่ต้องเป็นศีรษะของหลินเป่ยเฉินอย่างแน่นอน”
เกออู๋โหยวกล่าวด้วยความเหลือเชื่อ
หลินเป่ยเฉินถูกฆ่าตายแล้วจริงหรือ?
เด็กหนุ่มผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย กลับต้องมาถึงคราวตายเช่นนี้เอง?
เกออู๋โหยวพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
“ฮ่า ๆๆ ตายแล้ว ในที่สุดก็ตายแล้ว”
จูจวิ้นหลานเงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ
เสียงหัวเราะของเขาทำให้มวลอากาศปั่นป่วนเล็กน้อย
“ประเสริฐ เจ้าไปได้แล้ว”
จูจวิ้นหลานโยนเหรียญทองคำสิบเหรียญให้แก่ชายแปลกหน้าและบอกให้อีกฝ่ายไสหัวไป
ชายแปลกหน้ารีบขอบคุณละล่ำละลัก
ทันใดนั้น จูจวิ้นหลานกลับรู้สึกว่าชายแปลกหน้าที่ตอนแรกมีสีหน้าโฉดชั่วลักษณะเป็นคนร้าย บัดนี้ คนผู้นี้กลับมีหน้าตาดีไม่ใช่น้อย
เมื่อสงบอาการตื่นเต้นของตนเองลงแล้ว ในแววตาของจูจวิ้นหลานก็ปรากฏความคาดหวังขึ้นมาอีกครั้ง
จูจวิ้นหลานหวังว่าพวกของซุนซิงเจ๋อทั้งสามคนจะมาหาตนเองที่คณะทูตของกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง และยอมสวามิภักดิ์เป็นข้ารับใช้ของเขาต่อไปหลังจากนี้
“น้องเกอ ข้าขอตัวกลับไปยังที่พำนักของคณะทูตก่อน”
จูจวิ้นหลานเดินจากไปพร้อมกับความตื่นเต้น
…
หนึ่งชั่วยามให้หลัง
ในกลุ่มขุนนางชั้นสูงทั่วนครหลวงต่างก็ได้รับทราบข่าวอย่างรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินตายแล้วจริง ๆ
ครั้งนี้ เป็นข่าวซึ่งออกมาจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ไม่มีทางผิดพลาดเด็ดขาด
หลินเป่ยเฉินผู้ได้รับบาดเจ็บจากการประลองเดิมพันชีวิต ต้องใช้เวลาหลังการประลองถึงเจ็ดวันกว่าจะถึงแก่ความตายในที่สุด
ชาวเมืองทั่วไปยังไม่ได้รับทราบข่าวนี้ มีแต่กลุ่มขุนนางชั้นสูงเท่านั้นที่รับทราบ
ทุกคนมีปฏิกิริยาตอบรับแตกต่างกันไป
บางคนส่งเสียงโห่ร้องด้วยความสะใจ บางคนส่งเสียงร่ำไห้ด้วยความโศกาอาดูรนานสองนาน
ณ จวนตระกูลจั่ว จั่วเซียงนั่งขมวดคิ้วด้วยความเคร่งเครียดมากกว่าเดิม
ณ จวนตระกูลเสี่ยว เสี่ยวเหยียนออกมานั่งในสวนหย่อมตลอดคืน
ณ จวนตระกูลหลิง หลิงไท่ซวีกระดิกนิ้วคิดคำนวณอะไรบางอย่างด้วยความสับสน
“ไม่นะ ไม่นะ ไม่นะ…”
ณ สถานทูตของจักรวรรดิจี้กวง องค์ชายอวี่มีสีหน้ายิ้มแย้มแต่กลับถอนหายใจออกมา “น่าเสียดายนัก ข้าอยากนำเด็กคนนี้มาเป็นพวกของตนเองสักหน่อย คิดไม่ถึงเลยว่า… เฮ้อ”
องค์หญิงอวี่เค่อกลอกตามองบน “ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมก่อนหน้านี้ท่านพ่อไม่ยื่นมือช่วยเหลือเขาล่ะเพคะ?”
กาลเวลาผ่านไป
ไม่ทราบเลยว่าคืนนี้มีกี่คนที่นอนไม่หลับ
ไม่ทราบเลยว่าคืนนี้มีกี่คนที่จัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง
…
วันรุ่งขึ้น อากาศแจ่มใส
ค่าดัชนีฝุ่น PM 2.5 อยู่ที่ 10
ถนนเจียนเย่ เป็นที่ตั้งของจวนตระกูลเสี่ยว หนึ่งในสิบสกุลใหญ่ของจักรวรรดิเป่ยไห่ บัดนี้ มีการประดับตกแต่งจวนอย่างสวยงามอลังการ และสมาชิกจากตระกูลเสี่ยวสาขาต่าง ๆ ก็มารวมตัวกันตั้งแต่เช้าตรู่
เนื่องจากวันนี้เป็นกำหนดการส่งมอบตำแหน่งให้แก่หัวหน้าตระกูลเสี่ยวคนต่อไป
นับจากช่วงเช้าถึงช่วงบ่าย แขกเหรื่อมากมายแวะเวียนนำของขวัญมามอบให้เจ้าภาพ
แต่ภายใต้บรรยากาศงานเลี้ยงเฉลิมฉลองเช่นนี้เอง มันกลับแฝงไว้ด้วยบรรยากาศที่แปลกประหลาดบางชนิด