เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 955 ตาดูมือสัมผัส
ตอนที่ 955 ตาดูมือสัมผัส
“ตัวจริงหรือนี่?”
“นี่หรือคือตัวแทนจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง?”
“ผิวพรรณของเขาขาวเหลือเกิน”
“นั่นสิ ผิวของเขาขาวยิ่งกว่าก้นของหวงเซียนเอ๋อร์ นางคณิกาในหออี้ซวีโหลวอีก”
“หืม? เจ้าเปรียบเทียบอะไรของเจ้าเนี่ย? ให้ตายสิ… เจ้านี่มันหมกมุ่นในกามจริง ๆ”
“ว่าแต่เขามาคุกเข่าตรงนี้ทำไมนะ?”
“ยังจะต้องถามอีกหรือ? เขามาคุกเข่าเพื่อสวดมนต์ให้คุณชายหลินน่ะสิ”
“มีใครบ้างไม่รู้ว่าคุณชายหลินได้รับบาดเจ็บสาหัส”
“อ้อ จริงด้วยสินะ”
บรรดาผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาตามท้องถนนล้วนชำเลืองมองจีหวูชวงผู้นั่งคุกเข่าอยู่หน้าประตูจวนด้วยความสงสัย สายตาที่ชาวเมืองใช้มองจีหวูชวงไม่ต่างจากสายตาที่ใช้จ้องมองสิ่งมีชีวิตจากคณะละครสัตว์ตัวหนึ่ง…
การได้พบเห็นผู้มีพลังระดับเซียนจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางมานั่งเปลือยกายท่อนบนเช่นนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง
แม้ทุกคนจะทราบดีว่าการที่จีหวูชวงมานั่งคุกเข่าอยู่ตรงนี้ ย่อมมีจุดหมายบางอย่างแอบแฝง แต่เหล่าชาวเมืองก็ไม่สนใจค้นหาคำตอบที่แท้จริง ถึงอย่างไรเรื่องราวของพวกขุนนางคนใหญ่คนโต ก็มีความซับซ้อนเกินความเข้าใจของพวกเขาอยู่แล้ว
“ฮะ? เจ้าสุนัขหูหนวกตาบอด คิดอะไรอยู่มานั่งคุกเข่าตรงนี้…รู้หรือไม่ว่าขวางทางคนเดินเข้าออก”
พ่อบ้านหวังจงปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูจวน เขายืนอยู่เบื้องหน้าจีหวูชวงผู้นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นดิน
หากมีคนไม่รู้เดินมาพบเห็นเข้า ก็คงเข้าใจว่าจีหวูชวงกำลังคุกเข่าให้แก่พ่อบ้านหวังจงเป็นแน่แท้
ชายชราจำได้ดีว่าในวันที่หลินเป่ยเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัส หัวหน้าคณะทูตจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางผู้นี้เป็นคนที่แย่งชิงคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้ไปจากนายน้อย
หวังจงยังรู้สึกเจ็บแค้นมาจนถึงวันนี้ และเขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่นี่เพื่อแก้แค้นจีหวูชวง
บัดนี้ จีหวูชวงไม่กล้าแสดงความขุ่นเคืองใจแม้แต่น้อย
ชายฉกรรจ์ไม่ต่างไปจากลูกสะใภ้ที่ถูกแม่สามีรังแก ดังนั้น แทนที่จะนั่งคุกเข่าขวางประตูต่อไป จีหวูชวงจึงขยับไปนั่งคุกเข่าอยู่ข้างประตูเพื่อไม่ให้ขวางทางเข้าออกของผู้คนและไม่กล้าพูดจาตอบโต้สักคำเดียว
หืม?
สงบปากสงบคำถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ดวงตาของหวังจงเป็นประกายวาวโรจน์
ดูเหมือนจะกลัวจริง ๆ แล้วสินะ
คิดได้ดังนี้ หวังจงก็ยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้น
แผนการบางอย่างผุดขึ้นในสมอง
“นายน้อยสั่งให้ข้ามาถามเจ้า ผลของการประลองเดิมพันชีวิตตัดสินแล้วหรือยัง?”
หวังจงถาม
จีหวูชวงรีบตอบโดยเร็ว “การตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้วขอรับ คุณชายหลินใช้พลังวิเศษเอาชนะอวี้ซือไป๋ได้อย่างขาวสะอาด ก่อนที่ข้าน้อยจะเดินทางมาที่นี่ ข้าได้สั่งให้บริวารแจ้งผลการตัดสินให้ทั้งสองฝ่ายรับทราบแล้ว บัดนี้ ทางราชสำนักน่าจะรับทราบแล้วขอรับ… นับว่าข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ มิสมควรสงสัยในตัวคุณชายหลินเลย”
“เจ้าเป็นคนฉลาด”
หวังจงพยักหน้า ยืนเอามือไขว้หลัง และออกคำสั่งว่า “รออยู่ตรงนี้ก่อน”
ชายชราหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในจวนซางจั้วหยวน
ไม่นานหลังจากนั้น นักรบชุดเกราะเงินสี่นายก็เดินออกมาที่หน้าจวนและรีบตั้งกระโจมหลังหนึ่งข้างประตูจวนที่พัก พร้อมกับสร้างรั้วกั้นบริเวณอย่างชัดเจน
เพียงไม่นานทุกอย่างก็ชัดแจ้ง
นี่เป็นการสร้างกระโจมขึ้นมาเพื่อให้จีหวูชวงนั่งคุกเข่าอยู่ด้านใน
เมื่อสามารถตั้งสติได้อีกครั้ง จีหวูชวงก็รู้สึกหัวใจพองโตเป็นอย่างยิ่ง
นี่คุณชายหลินให้อภัยเขาแล้วอย่างนั้นหรือ?
คุณชายหลินให้เขามานั่งคุกเข่าอยู่ในกระโจม ก็เพื่อหลีกหนีสายตาสอดรู้สอดเห็นของบรรดาชาวเมืองที่เดินผ่านไปผ่านมา เพราะคุณชายหลินต้องการรักษาหน้าให้กับเขาใช่หรือไม่?
นับว่าเรื่องราวกำลังดำเนินไปในทิศทางที่ดี
จีหวูชวงคิดได้ดังนี้ น้ำตาก็เกือบจะไหลออกมาด้วยความดีใจ
ทันใดนั้น หวังจงเดินเข้ามาในกระโจม
เมื่อเห็นว่าจีหวูชวงยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ตามเดิม พ่อบ้านชราก็ยิ้มออกมาด้วยความพอใจ “นายน้อยให้ข้ามาถามเจ้า คันธนูเทพเจ้าร่ำไห้อยู่ที่ใด?”
จีหวูชวงเตรียมตัวอยู่ก่อนแล้ว จึงรีบนำอาวุธประจำชาติจี้กวงออกมาจากถุงเก็บของวิเศษ และประคองด้วยสองมือส่งมอบให้แก่หวังจง
“ประเสริฐมาก”
พ่อบ้านชรายิ้มกว้างจนปากแทบฉีกถึงรูหู “ว่าแต่เจ้าจะอธิบายกับพวกจี้กวงอย่างไร…”
จีหวูชวงตอบรับอย่างไม่ลังเลว่า “ข้าจะบอกเขาไปว่าข้าเผลอทำหายโดยไม่รู้ตัว เรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณชายหลินแม้แต่น้อย…”
วิเศษมาก
นับว่ายังเป็นสุนัขที่ใช้งานได้
ไร้ยางอายเสียจนหวังจงต้องยกนิ้วให้ด้วยความชื่นชม
พ่อบ้านชราเก็บคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้ ก่อนกล่าวต่อ “ถือว่าเจ้าผ่านบททดสอบแรกเรียบร้อย ต่อไปจะเป็นการทดสอบความอดทนจากนายน้อย เจ้าต้องแบกรับความกดดันนี้ให้ได้ หากเจ้าสามารถผ่านบททดสอบต่อไปนี้ได้สำเร็จ นายน้อยก็จะให้โอกาสเจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่อยากทำการทดสอบ…”
“ไม่ว่าคุณชายหลินจะทดสอบข้าน้อยอย่างไร ข้าน้อยจะต้องผ่านไปให้ได้ขอรับ”
จีหวูชวงพูดด้วยความตื่นเต้นและยกมือตบหน้าอกรับคำหนักแน่น…
เขาเตรียมตัวเตรียมใจมาล่วงหน้าแล้ว ถึงกับยอมถอดเสื้อรับสารภาพผิด ไม่นึกถึงภาพลักษณ์ของตนเองอีกต่อไป แล้วยังจะต้องกลัวบททดสอบอันใดอีก?
“ประเสริฐ ข้าจะคอยเอาใจช่วยเจ้าก็แล้วกัน”
หวังจงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ไม่ต่างไปจากสุนัขจิ้งจอกที่เข้าไปขโมยไก่ในเล้าของชาวบ้านได้สำเร็จ
ชายชราเดินกลับออกไปจากกระโจมได้ไม่นาน เจ้าหนูอากวงก็เดินออกมาจากประตูจวนซางจั้วหยวน
บัดนี้ เจ้าหนูยักษ์ขนเงินกลายเป็นสัตว์อสูรชื่อดังในนครหลวง
มันเดินถือป้ายขนาดใหญ่ด้วยขาสั้นๆ และนำป้ายนั้นมาวางตั้งไว้ที่รั้วกั้นหน้ากระโจมของจีหวูชวงเสียงดังโครม
ปรากฏว่านี่เป็นป้ายเหล็กที่มีน้ำหนักมากกว่า 1,000 ชั่ง แต่เมื่ออยู่ในมือของอากวง มันกลับเบาราวเป็นต้นหญ้าต้นหนึ่ง หากใครสักคนมองลงไปที่พื้นถนนในยามนี้ก็จะพบว่าบริเวณที่ตั้งป้ายเหล็กนั้น เกิดรอยแตกร้าวราวกับใยแมงมุมขนาดใหญ่
การตั้งกระโจมหน้าจวนซางจั้วหยวนก่อนหน้านี้ สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนให้หยุดยืนมองได้มากมาย
และการตั้งป้ายเหล็กเมื่อสักครู่ ยิ่งดึงดูดความสนใจได้มากขึ้น
“ดูสิ นั่นมันสัตว์เลี้ยงของคุณชายหลินนี่นา”
“หมายถึงเจ้าหนูเทพเจ้าตัวนั้นน่ะเหรอ?”
“ทำไมสัตว์อสูรถึงได้หน้าตาน่ารักอย่างนี้นะ ข้าอยากเข้าไปจับหัวมันจังเลย”
“คุณชายหลินเป็นถึงวีรบุรุษแห่งแผ่นดิน สัตว์เลี้ยงของเขาจะธรรมดาได้อย่างไร”
ชาวเมืองที่เดินผ่านไปผ่านมาหยุดชะงักและจับกลุ่มพูดคุยกัน
“เอาพู่กันและหมึกออกมาเดี๋ยวนี้”
เมื่อเห็นผู้คนมารวมตัวกันอยู่เป็นจำนวนมาก พ่อบ้านหวังจงก็ตะโกนออกคำสั่งเสียงดังลั่น
นักรบเกราะเงินสองนายเดินออกมาข้างหน้าพร้อมด้วยพู่กันขนาดใหญ่ยักษ์และถังใส่หมึก รวมถึงอุปกรณ์สำหรับการขีดเขียนอีกชุดใหญ่
“จี๊ด”
อากวงขยับแขนขยับขาเป็นการยืดเส้นยืดสายกล้ามเนื้อของตนเอง ก่อนที่มันจะส่งเสียงร้องเล็กน้อยและนำพู่กันจุ่มลงไปในถังหมึก เริ่มต้นเขียนคำบางคำลงไปบนป้ายเหล็ก
‘ค่าเข้าชมครั้งละหนึ่งเหรียญทอง สามวันแรกรับส่วนลดพิเศษ 20 ส่วนจากราคาเต็ม’
ขณะนี้ ฝีมือการเขียนหนังสือของอากวงดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก
นอกจากมันจะเขียนได้ถูกต้องแล้ว ทุก ๆ ตัวอักษรที่เจ้าหนูอสูรหางกุดเขียนออกมานั้น ยังมีความงดงามปราณีตในชนิดที่ว่า หากปรมาจารย์นักคัดตัวอักษรมาเห็นเข้า ก็คงต้องชื่นชมหมดหัวใจอย่างแน่นอน
แต่เมื่ออ่านเนื้อหาของตัวอักษร…
กลับฟังดูประหลาดพิกล
เจ้าหนูหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
“ฟังทางนี้ ฟังทางนี้ ฟังทางนี้…”
พ่อบ้านหวังจงกระแอมไอในลำคอและพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี “ตลอดเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา มีครั้งใดบ้างจะเกิดเหตุการณ์ที่ยอดฝีมือระดับเซียนมานั่งเปลือยกายท่อนบน คุกเข่าตากแดดต่อหน้าสายตาประชาชนเช่นนี้? เหอเหอเหอ”
“นี่คือโอกาสครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น หากทุกท่านอยากเห็น ก็จ่ายมาเพียงหนึ่งเหรียญทอง เพียงหนึ่งเหรียญทอง ทุกท่านก็จะได้เดินเข้าไปดูผู้มีพลังระดับเซียนตัวจริงเสียงจริงด้านในกระโจม นอกจากใช้ตาดูได้แล้ว ยังใช้มือสัมผัสเขาได้อีกด้วย ผู้มีพลังระดับเซียนจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางท่านนี้ มีจิตใจโอบอ้อมอารีเป็นอย่างยิ่ง หากท่านได้ดูและสัมผัสผู้มีพลังระดับเซียนสักครั้งในชีวิต มันก็จะเป็นสิ่งที่ท่านสามารถนำไปพูดได้จนวันตายทีเดียว…”
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของหวังจง พวกเขาก็เข้าใจความหมายบนป้ายเหล็กขึ้นมาทันที
หลายคนเดินเข้ามาใกล้ด้วยความเหลือเชื่อ
นอกจากใช้ตาดูได้แล้ว ยังใช้มือสัมผัสได้อีกด้วย?
ให้ตายสิ!
นับดูในชีวิตของชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง โอกาสที่จะได้สัมผัสผู้มีพลังระดับเซียนตัวเป็น ๆ เช่นนี้ คงไม่มีเป็นครั้งที่สองอีกแล้ว!!
นอกจากนี้ ผู้มีพลังระดับเซียนที่มานั่งเปลือยกายท่อนบน คุกเข่ากับพื้นดิน ย่อมเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากขึ้นไปอีก
ซ้ำเขายังเป็นผู้มีพลังระดับเซียนจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางอีกด้วย
หวังจงส่งเสียงพูดต่อไป “ทุกท่านจะพลาดโอกาสนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด นี่คือสิทธิพิเศษสำหรับชาวจักรวรรดิเป่ยไห่เท่านั้น และการจัดแสดงครั้งนี้จะดำเนินไปเพียงสิบวัน ทางเราจะต้อนรับลูกค้าเพียงวันละสี่ชั่วยาม เพราะฉะนั้น ได้โปรดอย่าลังเลใจ… หากผู้ใดอยากเข้าไปรับชมและสัมผัสผู้มีพลังระดับเซียนตัวจริงเสียงจริงด้านในกระโจม ก็ขอให้มายืนต่อแถวหน้ารั้วกันได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”
บังเกิดเสียงฮือฮาจากกลุ่มผู้คน
เพียงพริบตาเดียว ชาวเมืองก็มายืนต่อแถวอยู่หน้ารั้วกั้นยาวเหยียดเป็นระยะทางหลายลี้
ไม่มีผู้ใดอยากพลาดโอกาสอันดีงามเช่นนี้
ข่าวนี้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
หวังจงนั่งอยู่หน้ากระโจมคอยเก็บเงินด้วยตนเอง กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาแทบเป็นตะคริวเพราะหัวเราะมากเกินไป
ชายชราเข้าใจแล้วว่าตนเองเป็นยอดอัจฉริยะในการหาเงินที่แท้จริง
นายน้อยจะต้องพอใจมากแน่นอน
เมื่อข่าวนี้รู้ไปถึงหูเหล่าขุนนางใหญ่ทั่วนครหลวง พวกเขาก็ตกตะลึง ถึงกับพูดอะไรไม่ออก
นี่มันการจัดแสดงอะไรกัน?
ต้องยอมรับเลยว่าพ่อบ้านหวังจงมีความคิดแปลกใหม่ไม่เหมือนผู้ใด
หลายคนจึงไม่สงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใด หลินเป่ยเฉินจึงเก็บชายชราผู้นี้ไว้ข้างกายเสมอมา