เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 966 ใจจืดใจดำเกินไปแล้ว
ตอนที่ 966 ใจจืดใจดำเกินไปแล้ว
ทุกคนเห็นเฉียนเหมยย่อเข่าลง ก่อนรวบรวมพลังส่งตนเองลอยข้ามกำแพงเมืองออกไป
วูบ!
หลังจากนั้น
ตู้ม!
พลังลมปราณรูปทรงเปลวไฟก็พุ่งออกจากกำปั้นน้อย ๆ ของเฉียนเหมย
พลังลมปราณรูปทรงเปลวไฟนั้น ขยายตัวกลายเป็นกงจักรเพลิงขนาดใหญ่
กงจักรเพลิงที่มีพลังทำลายล้างเกินคาดคิด
พื้นดินตรงบริเวณที่เด็กสาวทิ้งตัวลงไปกลายเป็นหลุมยุบขนาดใหญ่
รัศมีแห่งการทำลายล้างแผ่ขยายไปในวงกว้าง
เหล่านายทหารกล้าที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่บนกำแพงเมืองล้วนเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
บัดนี้ ไม่ว่าจะเป็นก้อนหินใหญ่ พื้นดินในรัศมีหลายร้อยวา หรืออสูรครึ่งมนุษย์ครึ่งม้าที่อยู่ในระยะการทำลายล้าง ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นเพียงเม็ดทรายในพายุหมุน ปลิวสลายหายไปกับสายลมอย่างรวดเร็ว…
อย่าว่าแต่กองทัพอสูรครึ่งมนุษย์ครึ่งม้านับพันตัวจะหายไป แม้แต่ภูเขาทั้งลูกที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ก็พังถล่มหายไปเช่นกัน…
หรือกล่าวให้ถูกต้องก็คือทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายเฉียนเหมยระเหยหายไปในอากาศเพียงพริบตาเดียว
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
สีหน้าของนายทหารทุกคนเต็มไปด้วยความตกตะลึง
พลังทำลายล้างของกำปั้นเด็กสาวเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการเอาไว้
กงจักรเพลิงของเฉียนเหมยยังคงขยายรัศมีการทำลายล้างออกไปเรื่อย ๆ มันกลืนกินทุกอย่างหายวับไปกับตา หลงเหลือก็แต่เพียงก้อนกรวดและเศษดินเท่านั้น
“แข็งแกร่งเหลือเกิน”
“หมัดนี้ของนาง… เทียบเท่ากับผู้มีพลังระดับเซียนแล้ว!”
“หรือว่านางมีพลังอยู่ในขั้นเซียนจริง ๆ?”
ครั้งนี้ ไม่เพียงแต่นายทหารและยอดมือกระบี่ที่เข้าร่วมสงครามจะตกตะลึงเท่านั้น แม้แต่องค์จักรพรรดิและอัครเสนาบดีจั่วเซียงก็ยังแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาแล้วเช่นกัน
ทั้งสองท่านล่วงรู้มาก่อนหน้านี้แล้วว่าเด็กสาวมีระดับพลังแข็งแกร่ง
แต่ใครเลยจะคิดว่านางกลับแข็งแกร่งถึงเพียงนี้?
ให้ตายเถอะ
สมรภูมิรบที่สมควรดำเนินไปด้วยการต่อสู้อันบ้าระห่ำ
เด็กสาวกลับสามารถเดินเฉิดฉายได้อย่างสบายอารมณ์
“ย๊ะห์! ย๊ะห์!”
เฉียนเหมยระเบิดเสียงคำรามในลำคอพร้อมกับปล่อยหมัดออกมาอย่างต่อเนื่อง
กรงจักรเพลิงเพิ่มจำนวนมากขึ้น
ไม่ว่าเด็กสาวจะซัดกำปั้นไปยังทิศทางใด กงจักรเพลิงก็จะหมุนวนพุ่งไปยังทิศทางนั้น ไม่ว่าใครหรืออะไรก็ตามที่อยู่ในรัศมีการทำลายล้าง ต่อให้มีความสามารถในการมุดดินหนีก็ไม่อาจรอดชีวิตได้อีกแล้ว
แน่นอนว่าเหล่านักรบครึ่งมนุษย์ครึ่งม้าได้อันตรธานหายไปเป็นจำนวนมาก
หลินเป่ยเฉินมองการต่อสู้ของเฉียนเหมยแล้วก็นึกถึงการทำงานของรถตัดหญ้าในโลกมนุษย์ใบเก่าขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เซียวปิงยังคงย่างเนื้ออย่างพิถีพิถันต่อไป
บรรดานักรบเกราะเงินก็แสดงความประหลาดใจออกมาเช่นกัน
พวกเขาเคยเห็นความยอดเยี่ยมของแม่ทัพเฉียนเหมยมาแล้วในอาณาเขตล่าปีศาจ
คิดไม่ถึงเลยว่าท่านแม่ทัพหญิงกลับพัฒนาฝีมือขึ้นมาถึงเพียงนี้
โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ก่อนหน้านี้ที่กองทัพเป่ยไห่แทบจะเอาตัวไม่รอดจากการโจมตีของกองทัพอสูร ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นก็ยิ่งทำให้การสังหารศัตรูอย่างง่ายดายของเฉียนเหมย เสริมสร้างให้นางมีภาพลักษณ์แข็งแกร่งไร้เทียมทานมากยิ่งขึ้น
“โฮะโฮะโฮะ ตายซะ ตายกันไปให้หมด…”
เฉียนเหมยเงยหน้าระเบิดเสียงคำรามใส่ท้องฟ้า
เมื่อกวาดล้างกองทัพครึ่งมนุษย์ครึ่งม้าไปได้จำนวนมากแล้ว เด็กสาวก็ยังไม่พอใจ นางทำท่าจะวิ่งไล่ตามทหารชั้นปลายแถวของฝ่ายตรงข้ามเพื่อเก็บกวาดศัตรูไม่ให้เหลือในเขตใจกลางหุบเขา
“ไม่ต้องไล่ตามไปแล้ว!”
จั่วเซียงร้องตะโกนออกไปด้วยความเป็นห่วง
เขากังวลว่าเด็กสาวจะตกหลุมพรางของฝ่ายตรงข้าม
และนางอาจจะได้รับอันตรายก็เป็นได้
หลินเป่ยเฉินกระตุกยิ้มมุมปาก พูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก สาวรับใช้ของข้านางนี้มีฝีมือแข็งแกร่ง นางไม่มีทางตายง่าย ๆ เด็ดขาด…”
ทุกคนหันมาจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ใช้จ้องมองเศษสวะคนหนึ่ง
เฉียนเหมยเป็นเพียงเด็กสาวร่างกายบอบบาง หน้าตางดงามควรค่าต่อการทะนุถนอม แต่ยามที่นางตกอยู่ในอันตราย หลินเป่ยเฉินกลับไม่แสดงท่าทีห่วงใยออกมาเลยแม้แต่น้อย…
ไม่มีผู้ใดจะจิตใจเย็นชาไร้ยางอายมากไปกว่าหลินเป่ยเฉินอีกแล้ว
แต่มีเพียงเฉียนเจินผู้เดียวเท่านั้นที่เข้าใจว่า เมื่อเฉียนเหมยวิ่งตะบึงติดตามกองทัพของศัตรูไปข้างหน้า คุณชายหลินก็ได้แอบส่งสัญญาณให้เจ้าหนูอากวงล่องหนและติดตามเฉียนเหมยไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานต่อมา ด้วยระยะที่ห่างไกลเกินความสามารถจะมองเห็นด้วยตาเปล่า พื้นดินสั่นสะเทือน พวกเขาก็ได้ยินแต่เพียงเสียงการต่อสู้ที่ดุเดือดลอยมาตามสายลมเท่านั้น
มวลอากาศปั่นป่วน คลื่นพลังแห่งการทำลายล้างแผ่กระจายไปรอบทิศทาง
นี่คือการต่อสู้ระหว่างผู้มีพลังระดับเซียน
ชัดเจนแล้วว่าเฉียนเหมยกำลังเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง
“เดี๋ยวข้าเข้าไปช่วยเอง…”
จั่วเซียงมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปและกำลังจะพุ่งตัวออกไปจากกำแพงเมือง
เขาไม่ถามความคิดเห็นจากหลินเป่ยเฉิน
เนื่องจากชายชรารู้ดีว่าหลินเป่ยเฉินเป็นเสมือนไพ่ตายของฝ่ายเป่ยไห่ ซึ่งสมควรใช้งานยามเกิดวิกฤตการณ์เท่านั้น หากสถานการณ์ยังไม่เหนือบ่ากว่าแรงมากเกินไป กองทัพเป่ยไห่ก็สมควรแสดงแสนยานุภาพ มิใช่หวังพึ่งพาแต่เด็กหนุ่มเพียงผู้เดียวไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง
“ไม่ต้องไป เชื่อข้าน้อยเถอะ นางรับมือได้”
หลินเป่ยเฉินยื่นมือขวางหน้าชายชราด้วยความผ่อนคลาย
แต่เสียงพูดของเขายังไม่ทันขาดหาย
โครม!
ร่างสีขาวก็ลอยกระเด็นกลับมาจากที่ห่างไกล
เจ้าของร่างนั้นกระแทกเข้ากับพื้นดินก่อนไถลครูดต่อไปอีกหลายร้อยวา ส่งฝุ่นผงตลบคละคลุ้งในอากาศ และกว่าที่ร่างนั้นจะหยุดอยู่กับที่ เจ้าของร่างก็ต้องกลิ้งไปกระแทกกับโขดหินอีกหลายก้อน มีสภาพสะบักสะบอมเป็นอย่างยิ่ง
และต้องใช้เวลาอีกหลายลมหายใจกว่าที่ร่างนั้นจะค่อยๆ ลุกยืนขึ้นมาอย่างเชื่องช้า สภาพเนื้อตัวมอมแมมด้วยเศษดินเศษฝุ่นและรอยฟกช้ำดำเขียว…
“นั่นมันแม่นางเฉียนเหมยนี่นา”
เสียงอุทานดังขึ้นเกรียวกราวบนกำแพงเมือง
ผู้ที่ถูกซัดกระเด็นกลับมาอย่างหมดสภาพนี้ หากไม่ใช่เฉียนเหมยแล้วยังจะเป็นผู้ใดได้อีก
ภายใต้การจ้องมองของสายตานับไม่ถ้วน เฉียนเหมยลุกขึ้นมาสะบัดศีรษะยืนโงนเงนราวกับผู้คนที่ดื่มสุรามากเกินไป เศษฝุ่นปลิวฟุ้งออกมาจากเส้นผมของนางเป็นกลุ่มใหญ่
ผมเผ้าของเด็กสาวยุ่งเหยิง ชุดเกราะแตกร้าว สภาพน่าเวทนายิ่งนัก
เมื่อบรรดานายทหารกล้าเห็นเช่นนี้เลือดลมในร่างกายก็สูบฉีด แต่น่าเสียดายที่หากพวกเขายังไม่ได้รับคำสั่ง ตนเองก็ยังข้ามกำแพงเมืองออกไปช่วยเหลือเด็กสาวไม่ได้
ในเวลาเดียวกันนี้ ทุกสายตาที่จ้องมองหลินเป่ยเฉินก็ยิ่งเพิ่มความไม่พอใจมากขึ้น
เมื่อสักครู่ เด็กหนุ่มบอกว่าเฉียนเหมยสามารถรับมือได้ไม่มีปัญหา แล้วเหตุไฉนเหตุการณ์ถึงเป็นเช่นนี้?
ต่อให้หลินเป่ยเฉินจะมีสถานะเป็นวีรบุรุษแห่งแผ่นดิน เป็นผู้เสียสละเพื่อชาติบ้านเมือง แต่เขาก็ออกจะใจร้ายใจดำกับเด็กสาวผู้หนึ่งมากเกินไปแล้ว
“เอ่อ…”
หลินเป่ยเฉินเองก็กำลังรู้สึกกระดากอายอยู่เล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงรักษาสีหน้าเยือกเย็นขณะกล่าวว่า “แค่เรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อย แค่เรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อย ทุกท่านไม่ต้องเป็นกังวล ข้า…”
เด็กหนุ่มพูดยังไม่ทันจบประโยค
“ไอ้มนุษย์ม้าเฮงซวย…”
ทันใดนั้น เสียงคำรามของเฉียนเหมยก็ดังขึ้นจากด้านล่างกำแพงเมือง “เดี๋ยวเจอข้าแน่!”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโต
นี่มันอะไรกันเนี่ย
กิริยาท่าทางแบบนี้มันควรเป็นของเขาไม่ใช่หรือ?
เหตุไฉนเฉียนเหมยถึงได้เลียนแบบ?
นอกจากนางจะเลียนแบบรูปแบบการต่อสู้ของหลินเป่ยเฉินแล้ว เฉียนเหมยยังถึงกับเลียนแบบคำพูดคำจาของเขาอีกด้วย
ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ได้การเสียแล้ว
ภายใต้การจ้องมองของดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วน เด็กสาวร่างบางก็ระเบิดพลังลมปราณเต็มอัตรา นั่นทำให้ชุดเกราะที่นางสวมใส่อยู่แตกกระจายไม่เหลือชิ้นดี เปิดเผยให้เห็นถึงชุดรัดรูปสีแดงที่สวมใส่อยู่ด้านใน ผมสีดำยาวของนางปลิวไสวไม่ต่างจากนางสิงห์ผู้โกรธแค้น และเฉียนเหมยก็วิ่งกระโจนกลับเข้าไปในสนามรบอีกครั้ง
ภาพเหล่านี้ทำให้บรรดาแม่ทัพใหญ่และนายทหารพากันตื่นเต้น
ภาพเหล่านี้คือสิ่งที่ช่วยปลุกขวัญกำลังใจให้แก่ทุกคน
เด็กสาวนางนี้ทำให้ทุกคนเกิดความรู้สึกไม่ย่อท้อ
นางเปรียบดั่งทหารกล้าที่มีจิตใจบริสุทธิ์ สายตาที่บรรดาแม่ทัพใหญ่กำลังจ้องมองแผ่นหลังของเฉียนเหมยในขณะนี้ ต่างก็เต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใสอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หลินเป่ยเฉินยกมือเกาหัวแกรก ๆ
นี่เขาโดนเฉียนเหมยขโมยซีนเข้าให้แล้วสินะ?
แต่ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ ดูเหมือนว่าเฉียนเหมยจะเติบโตขึ้นมาเป็นทหารที่มีคุณภาพจริง ๆ ไม่ใช่หรือ?
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
เสียงของการต่อสู้อันดุเดือดดังขึ้นมาจากที่ห่างไกล
และ ณ ใจกลางสนามรบ
ขอบฟ้าตรงบริเวณนั้นพลันเต็มไปด้วยหมอกควันและฝุ่นผง เช่นเดียวกับประกายไฟวูบวาบ
พื้นดินสะเทือนอย่างรุนแรง
ในที่สุด เมื่อครบกำหนดระยะเวลาต้มน้ำเดือด เฉียนเหมยก็จบการต่อสู้
เด็กสาวเดินกลับมาร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยโลหิตสีแดงสด ในมือของนางลากศพขนาดใหญ่มาด้วยศพหนึ่ง
มันเป็นซากศพของราชามนุษย์ม้าในหุบเขานั่นเอง
เห็นได้ชัดว่ามันยังตายได้ไม่นาน โลหิตยังคงฉีดพุ่งออกมาจากร่างกายไม่หยุด
โลหิตจากบาดแผลของราชามนุษย์ม้าย้อมผืนดินให้กลายเป็นสีเลือด
แม้แต่เส้นผมของเฉียนเหมยก็กลายเป็นสีแดงสดไปแล้วเช่นกัน เสื้อผ้าที่นางสวมใส่ก็เปียกชุ่มไปด้วยหยดเลือด นางเดินเข้ามาใกล้กำแพงเมืองมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความเยือกเย็น ไม่ต่างอะไรจากปีศาจร้ายที่กลับมาจากการออกล่าอาหาร บรรยากาศเงียบสงบ ชวนให้ผู้คนรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
หลินเป่ยเฉินถึงกับอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงว่า
“ยัยเด็กคนนี้…”
นี่คือครั้งแรกในระยะเวลาอันยาวนาน ที่เขาได้ค้นพบอีกด้านหนึ่งของเฉียนเหมยอย่างแท้จริง!!!