เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 969 เพราะอะไรท้องฟ้าถึงต้องเปลี่ยนสีด้วย
ตอนที่ 969 เพราะอะไรท้องฟ้าถึงต้องเปลี่ยนสีด้วย
ในไม่ช้า หลินเป่ยเฉินก็ได้ค้นพบสิ่งที่น่ากลัว
ในป่าแห่งนี้มี ‘ศัตรู’ มากกว่าที่คิด
นอกจากชนเผ่ามนุษย์ม้าที่ออกไปเผชิญหน้ากับกองทัพเป่ยไห่ก่อนหน้านี้ ก็ยังมี ‘อสูร’ อีกหลายจำพวกออกหากินอยู่ในป่า
มีทั้งพวกที่แข็งแกร่งและอ่อนแอ
ตลอดทาง หลินเป่ยเฉินพบเจอกับอสูรประหลาดมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นชนเผ่าอสูรหกแขน พวกมันมีลักษณะคล้ายกับมนุษย์ม้า แต่มีหนึ่งหัวหกแขน อีกทั้งบนหน้าผากยังมีเขางอกออกมาอีกด้วย นอกจากนี้ ก็ยังมีเผ่าพันธุ์ยักษ์อสูรตาเดียว เผ่าพันธุ์วิหคสองหัวจมูกใหญ่ ไปจนถึงแมลงวันที่มีขนาดเท่ากับนกกระจอกเทศ เด็กหนุ่มเจอแม้กระทั่งปูอสูรที่มีร่างกายเป็นปู แต่มีหัวเป็นมนุษย์…
“ใครก็ตามที่สร้างอาณาเขตนี้ขึ้นมา อยากรู้จริง ๆ ว่าสร้างขึ้นมาตอนเมาหรือเปล่าเนี่ย?”
ช่างเป็นการสร้างสรรค์ที่ไร้ความรับผิดชอบเหลือเกิน
ยิ่งเฝ้ามองมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากเท่านั้น
ไม่ว่าจะพบเจออสูรชนิดใด ไม่ว่าพวกมันจะมีหัวเป็นมนุษย์หรือเป็นสัตว์ ไม่ว่าพวกมันจะมีสติปัญญาสูงส่งหรือต่ำต้อย แต่รูปลักษณ์ของอสูรเหล่านี้ล้วนแต่อธิบายได้ด้วยคำเดียวว่า…
อัปลักษณ์
หรือถ้าสามารถเติมเข้าไปได้อีกคำก็คือ…
ขั้นสุด
รวมเป็นอัปลักษณ์ขั้นสุด
เจ้าอสูรที่มีรูปโฉมอัปลักษณ์ขั้นสุดเหล่านี้ออกหากินอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ ในผืนป่าอันกว้างใหญ่ และใช้ชีวิตโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกันและกัน…
หลินเป่ยเฉินไม่เคยมีประสบการณ์ส่องสัตว์ในป่ามาก่อน
แต่เขาก็แอบสังเกตการณ์อย่างระมัดระวัง
พวกมันเป็นอสูรที่หวงอาณาเขตเป็นอย่างยิ่ง
หลินเป่ยเฉินค้นพบในไม่ช้าว่าเผ่าพันธุ์ที่มีความแข็งแกร่งจะมีถิ่นที่อยู่อาศัยติดกับแหล่งน้ำ รวมไปถึงพื้นที่ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ทางอาหาร
การต่อสู้ที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้ล่ากับผู้ถูกล่าตามห่วงโซ่อาหารในธรรมชาติ
และเนื่องจากป่าเหล่านี้ส่วนใหญ่มีสภาพแห้งแล้ง แหล่งน้ำหายาก เช่นเดียวกับพืชผักสมุนไพร อสูรเหล่านี้แทบทุกชนิดจึงเป็นสัตว์กินเนื้อ
อาหารหลักของพวกมันคือตัวอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่พวกเดียวกันเอง
หลินเป่ยเฉินเห็นกับตาว่ามีฝูงอสูรหกแขนผู้หิวโหยซุ่มโจมตีอยู่หลังโขดหินขนาดใหญ่ พวกมันสังหารนกยักษ์ด้วยหอกหิน ก่อนถลกหนังของนกยักษ์เหล่านั้น ส่งผลให้โลหิตสีแดงฉานไหลเนืองนองเต็มพื้นดิน
แต่ในไม่ช้า บรรดานกยักษ์ที่สามารถหลบหนีไปได้ พวกมันก็กลับไปตามพรรคพวกมาแก้แค้น จึงเกิดเป็นการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างอสูรทั้งสองเผ่าพันธุ์
โลหิตไหลเนืองนองเต็มพื้นดินมากไปกว่าเดิม
การฆ่าคือสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลาในป่าแห่งนี้
ความป่าเถื่อนรุนแรงคือเรื่องปกติในอาณาเขตแห่งนี้
“บางทีอาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อมโหดร้ายมากเกินไป หรือวิถีชีวิตของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ที่นี่คงแตกต่างไปจากพวกเราไม่น้อย ดูจากพลังทำลายล้างระหว่างการต่อสู้ของอสูรพวกนี้แล้ว ตัวหัวหน้าของพวกมันเทียบได้กับผู้มีพลังขั้นเซียนระดับสามถึงระดับสี่เลยทีเดียว…”
“หรือต่อให้เป็นตัวที่ไม่ใช่หัวหน้าฝูง พวกมันก็มีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ ที่น่าตกใจก็คือตัวเด็ก ๆ ของพวกมันบางส่วนมีพลังทำลายล้างอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์แล้ว…”
“ให้ตายสิ!”
“อสูรพวกนี้ชักจะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว”
ยิ่งได้พบเห็นมากเท่าไหร่ หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งรู้สึกตื่นกลัวมากเท่านั้น
นอกจากอสูรพวกนี้จะมีพลังทำลายล้างรุนแรง พวกมันหลายเผ่าพันธุ์ก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่กองทัพเป่ยไห่ไม่เคยพบเจอมาก่อน
สมมุติว่ากองทัพเป่ยไห่ยกขบวนออกจากเมืองโบราณแห่งนั้นมาเผชิญหน้ากับอสูรพวกนี้สักสองเผ่าพันธุ์ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่กองทัพฝ่ายมนุษย์จะถูกทำลายล้างหมดสิ้นในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ
ต่อให้เป็นผู้มีพลังระดับเซียนอย่างองค์จักรพรรดิหรืออัครเสนาบดีจั่วเซียง ก็คงทำได้แต่หาทางหลบหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น
“แต่องค์จักรพรรดิสั่งให้เราไปสำรวจดูเมืองฝั่งตะวันตก ภารกิจของกองทัพเป่ยไห่คือต้องยึดครองเมืองแห่งนั้นให้ได้นี่นะ”
หลินเป่ยเฉินรีบบ่ายหน้าบินไปทางทิศตะวันตกทันที
หลังจากนั้น เขาก็ได้ค้นพบเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดอีกครั้ง
ทุกครั้งที่สีสันบนท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเปลี่ยนจากสีน้ำเงินเข้มกลายเป็นสีแดง หรือเปลี่ยนจากสีแดงกลับมาเป็นสีน้ำเงินเข้ม
สำหรับคนนอกอย่างเขาแทบไม่มีผลกระทบใด ๆ เลย
เรียกได้ว่าแทบไม่มีผลกระทบเลยก็ว่าได้
แต่สำหรับอสูรที่อาศัยอยู่ในอาณาเขตนี้ ดูเหมือนพวกมันจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ยามที่ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดง เหล่าอสูรจะมีอาการกระหายเลือด บางส่วนมีอาการบ้าคลั่งบุกเข้าสู่อาณาเขตของอสูรเผ่าพันธุ์อื่นและเริ่มต้นการฆ่าอย่างโหดร้ายทารุณ…
“เมืองโบราณของพวกเราเริ่มถูกโจมตีก็หลังจากที่ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนกัน หรือว่าที่พวกมนุษย์ม้าบุกมาโจมตีพวกเรา ก็เพราะพวกมันได้รับผลกระทบจากท้องฟ้าเปลี่ยนสี?”
“แต่เพราะอะไรท้องฟ้าถึงต้องเปลี่ยนสีด้วยล่ะ?”
นี่คือคำถามที่ปรากฏขึ้นในหัวใจของหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มได้แต่ขบคิดและบินไปข้างหน้าต่อไป
ในที่สุด เมื่ออีก 500 ลี้ก็จะถึงเมืองโบราณอีกแห่งหนึ่ง หลินเป่ยเฉินก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เพราะบนพื้นดินเริ่มมีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาระดับสูงอาศัยอยู่บ้างแล้ว
หลินเป่ยเฉินสังเกตเห็นว่าพื้นที่จำนวนมากถูกปรับสภาพจนเกือบจะกลายเป็น ‘ไร่เกษตรกรรม’
ไร่เกษตรกรรมเหล่านี้ถูกแบ่งแยกและคุ้มกันโดยกำแพงหินสูงใหญ่ กำแพงเหล่านี้น่าจะสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันการรุกรานเข้ามาทำลายผลผลิตจากพวกอสูรนั่นเอง
ต้นไม้บางส่วนน่าจะเป็นผลไม้บางชนิด ผลของพวกมันมีลักษณะเหมือนกับลูกทุเรียนงอกงามออกผลอยู่ตามกิ่งก้านสาขาจำนวนมาก
และรอบบริเวณพื้นที่เพาะปลูกเหล่านี้ก็มีหุ่นหินโบราณวางตั้งอยู่อย่างกระจัดกระจาย หลินเป่ยเฉินพบเห็นหุ่นหินเหล่านี้ก็รู้สึกเหมือนกับเป็นการจัดวางหุ่นไล่กาของพวกชาวไร่ชาวนาบนโลกมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น…
หากที่นี่เป็น ‘ไร่เกษตรกรรม’ ก็หมายความว่าต้องมีสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาอยู่ด้วยน่ะสิ?
เมื่อบินต่อไปข้างหน้า เด็กหนุ่มก็ได้พบกับภูเขาที่แปลกประหลาด
ที่ว่าแปลกประหลาดก็คือรูปทรงของภูเขาลูกนี้พิสดารแตกต่างจากความปกติในทุก ๆ ด้าน
มันคือภูเขาที่มีลักษณะสามเหลี่ยมกลับหัว ทั้งด้านหน้าและด้านหลังคือหน้าผาสูงชันเท่ากับตึกหลายสิบชั้น และมีแต่เพียงยอดเขาเท่านั้นที่เป็นพื้นที่ราบเรียบปกติ
บนยอดเขาตั้งไว้ด้วยเมืองโบราณแห่งหนึ่ง
หลินเป่ยเฉินรู้สึกคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด
เนื่องจากเมืองโบราณแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการวางผังเมือง หรือรูปแบบการก่อสร้างของบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ล้วนแต่มีความคล้ายคลึงกับเมืองโบราณที่กองทัพเป่ยไห่ต้องปกป้องทั้งสิ้น
ความแตกต่างเดียวก็คือเมืองโบราณแห่งนี้มีกำแพงเมืองสูงมาก
ครึ่งหนึ่งของกำแพงเมืองก่อสร้างขึ้นมาจากก้อนหินสีเหลืองซีด ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก่อสร้างด้วยก้อนหินสีดำทมิฬ
เมื่อลองวิเคราะห์อย่างละเอียดดูแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า…
กำแพงเมืองในส่วนที่เป็นก้อนหินสีเหลืองซีดนั้น น่าจะเป็นความสูงของกำแพงเมืองดั้งเดิม ด้านก้อนหินสีดำทมิฬก็คือส่วนของกำแพงเมืองที่ได้รับการต่อเติมในภายหลัง
การต่อเติมกำแพงเมืองด้วยระดับความสูงเช่นนี้ หากไม่มีการวางแผนก่อสร้างที่รอบคอบรัดกุมมากพอ กำแพงเมืองก็สามารถถล่มลงมาทับชาวเมืองได้ในพริบตาเดียว
หลังบินวนดูด้านบนอยู่ครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มก็ได้พบว่านอกจากกำแพงเมืองจะมีความหนาทึบแล้ว มันยังมีขนาดกว้างใหญ่อีกด้วย
กำแพงเมืองทุกส่วนเชื่อมถึงกัน ทำให้สามารถใช้เป็นเส้นทางวิ่งวนรอบตัวเมืองได้โดยไม่มีปัญหา
บนกำแพงเมืองมีการจัดตั้งหุ่นหินรูปทรงมนุษย์อยู่เป็นระยะ ใช้สำหรับการข่มขวัญผู้รุกราน
นอกจากนี้ บนกำแพงเมืองยังมีสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งเดินตรวจตราตลอดเวลา…