เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 97 ความรู้พื้นฐานเรื่องระดับพลัง
บทที่ 97 ความรู้พื้นฐานเรื่องระดับพลัง
หลินเป่ยเฉินสามารถทำได้อย่างไร?
คำตอบก็คือ เขาเพียง ‘อัพโหลด’ เทียบเชิญเข้าไปในโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะ ‘ดาวน์โหลด’ มันกลับออกมาอีกครั้งเท่านั้นเอง
ในช่วงจังหวะสำคัญ พื้นที่เก็บไฟล์ออนไลน์ยังคงพึ่งพาได้เสมอ
ต้องขอบคุณเฉาพั่วเถียนที่ตั้งใจแสดงฝีมือเหยียดหยามเขา เทียบเชิญจึงลอยตัวอยู่ในอากาศด้วยความเชื่องช้า และหลินเป่ยเฉินก็ต้องขอบคุณการอัพเกรดผู้ช่วยอัจฉริยะในมือถือ ที่ทำให้เขาสามารถควบคุมโทรศัพท์ได้ง่ายกว่าเดิมมาก เพราะฉะนั้น หลินเป่ยเฉินจึงสามารถรับเทียบเชิญได้สำเร็จ
หากไม่ใช้วิธีนี้ แขนและข้อมือของเขาก็คงถูกพลังแฝงจากเทียบเชิญระเบิดจนแตกหักไม่เหลือชิ้นดี ไม่มีเวลาได้แตะหน้าจอโทรศัพท์ด้วยซ้ำ
แต่แน่นอนว่าหลินเป่ยเฉินจะบอกเรื่องนี้กับใครไม่ได้เด็ดขาด
เด็กหนุ่มเพียงยิ้มตอบกลับไปว่า “ข้าน้อยน่าจะคุ้นเคยกับการรับเทียบเชิญอยู่แล้วน่ะขอรับ”
ฉู่เหินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
“เจ้าเด็กคนนี้คิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆ หรือไง?”
อาจารย์คนอื่นๆ ก็พูดอะไรไม่ออกเช่นกัน
แต่ในเมื่อหลินเป่ยเฉินไม่อยากบอก พวกเขาก็ไม่ถามต่ออีกแล้ว
อาจารย์ทุกคนล้วนเป็นผู้ใหญ่
ฮันปู้ฟู่ขมวดคิ้วด้วยสีหน้าหงุดหงิดหัวใจ แต่ก็ยังใช้แขนข้างเดียวที่เป็นปกติ ยกขึ้นมาทำท่าคำนับและค้อมศีรษะให้แก่หลินเป่ยเฉิน
จะอย่างไรเมื่อสักครู่นี้ หลินเป่ยเฉินก็ช่วยกู้หน้าให้เขาอยู่ไม่น้อย
เยว่หงเซียงคุ้นเคยกับเรื่องเหล่านี้ดีแล้ว
หลังผ่านการแข่งขันในดินแดนป่าร้าง ไม่ว่าหลินเป่ยเฉินทำสิ่งใด ก็ไม่มีอะไรทำให้เยว่หงเซียงสามารถประหลาดใจได้อีกต่อไป
ไม่กี่อึดใจต่อมา
ไป๋ชินหยุนก็ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ และกลับมาจากห้องพยาบาล
เด็กสาวใช้สายตาเย็นชาสำรวจมองหลินเป่ยเฉินตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอยู่หลายรอบ
เมื่อกล่าวสรุปงานอีกเล็กน้อย อาจารย์หัวหน้าชั้นปีทั้งสามท่านก็เริ่มการตรวจวัดระดับพลังของทุกคนต่อไป
การตรวจวัดระดับพลังจะแบ่งเป็น 6 หัวข้อใหญ่กับอีก 28 หัวข้อย่อย
ลูกศิษย์หนึ่งคนจะใช้เวลาตรวจหนึ่งชั่วยาม
ใช้เวลาสองชั่วยามเศษ การตรวจวัดค่าพลังของลูกศิษย์ทั้งสี่คนก็เสร็จเรียบร้อย
ผลที่ออกมาถึงจะเกินความคาดหมาย แต่ก็มีเหตุผลที่เข้าใจได้
ผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดยังคงเป็นฮันปู้ฟู่ คะแนนของเด็กหนุ่มสูงกว่าที่คณะอาจารย์คาดคิดเอาไว้ ปรากฏว่าในขณะนี้ ฮันปู้ฟู่มีพลังอยู่ในขั้นผู้ฝึกยุทธระดับที่ 9 หากผ่านระดับที่ 10 ไปได้ เขาก็จะขึ้นสู่ขอบเขตปรมาจารย์แล้ว
เยว่หงเซียงมีพลังอยู่ในขั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับที่ 6
ไป๋ชินหยุนมีพลังอยู่ในขั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับที่ 8
ส่วนหลินเป่ยเฉินนั้นมีพลังอยู่ในขั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับที่ 9 เช่นเดียวกับฮันปู้ฟู่
ฉู่เหินใบหน้ายิ้มแย้มก็จริง แต่ในใจอดรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยไม่ได้
อาจารย์หัวหน้าชั้นปีที่ 2 คิดว่าหลินเป่ยเฉินน่าจะสร้างความประหลาดใจให้เขาได้มากกว่านี้ เมื่อดูจากการที่เด็กหนุ่มสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้ครั้งแล้วครั้งเล่าในระยะหลังที่ผ่านมา
แต่ว่า…
เพียงเท่านี้ก็น่าพอใจแล้วละนะ
ที่สำคัญก็คือ หลินเป่ยเฉินมีพลังแข็งแกร่งมากที่สุดในด้านทักษะกระบี่ พลังลมปราณ และความแข็งแกร่งของร่างกาย ในขณะนี้ เด็กหนุ่มมีทักษะกระบี่ในระดับชั้นที่หนึ่ง เช่นเดียวกับพลังลมปราณและความแข็งแกร่งของร่างกายที่อยู่ในระดับชั้นที่หนึ่งเช่นกัน
ผลการตรวจทั้งสามหัวข้อนั้น ช่วยเพิ่มคะแนนการตรวจโดยรวมให้แก่หลินเป่ยเฉินได้เยอะมาก
มิเช่นนั้นแล้ว หลินเป่ยเฉินคงไม่มีทางอยู่ในขั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับที่ 9 ได้เด็ดขาด
เพราะทุกคนรู้ดีว่าก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มไม่สามารถควบคุมพลังลมปราณที่สะท้อนกลับมาได้ดีเท่าที่ควร รวมถึงการปล่อยพลังลมปราณไปกับคลื่นความถี่ต่ำและความถี่สูง หลินเป่ยเฉินก็แทบจะควบคุมไม่ได้เลย
เขาไม่สามารถสู้กับเยว่หงเซียงได้ด้วยซ้ำ
แต่หลินเป่ยเฉินคนปัจจุบัน กลับพัฒนาฝีมือขึ้นมามากมายในระยะเวลาเพียงไม่นาน
เห็นได้ชัดว่าตั้งแต่ที่ครอบครัวของเขาล่มสลาย หลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้ปิดบังความสามารถที่แท้จริงอีกต่อไป เขาสลัดคราบเจ้าคนไม่เอาไหนในอดีตไปหมดสิ้น ตราบใดที่เด็กหนุ่มสร้างรากฐานพลังให้แข็งแกร่งมากพอ ในอนาคตข้างหน้า ความสำเร็จก็รอเขาอยู่อีกไม่ไกลแล้ว
แต่ไป๋ชินหยุนเป็นคนที่มีผลตรวจน่าตกใจมากที่สุด
เด็กสาวตัวเล็กเข้าศึกษาที่นี่ยังไม่ถึง 10 เดือน แต่กลับกลายเป็นลูกศิษย์ที่มีคุณภาพคับแก้วไปแล้ว
ถ้าพวกเขาดูแลนางให้ดี เด็กสาวจะต้องนำความยิ่งใหญ่มาสู่สถานศึกษากระบี่ที่สาม ได้อย่างแน่นอน
เช่นเดียวกับฮันปู้ฟู่ผู้มีพลังสูงกว่าที่คณะอาจารย์คาดคิดเล็กน้อย
จะมีก็แต่เพียงเยว่หงเซียงคนเดียวเท่านั้นที่…
แต่ถึงกระนั้น ทุกคนก็รู้ดีว่าช่วงสอบกลางภาคที่ผ่านมา เยว่หงเซียงพัฒนาฝีมือขึ้นอย่างก้าวกระโดด มิหนำซ้ำ นางยังสามารถเข้าสู่รอบ 20 คนสุดท้ายของการค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองได้สำเร็จ ไม่มีอะไรน่าชื่นชมไปมากกว่านี้อีกแล้ว
เพียงไม่นาน ผลการตรวจก็ถูกประกาศออกมา
หลินเป่ยเฉินและคณะศิษย์ร่วมสถาบันยืนมองผลตรวจค่าพลังของตนเอง
“ทำไมรู้สึกเหมือนกำลังอ่านผลตรวจร่างกายในโลกมนุษย์เลยวะ?” หลินเป่ยเฉินอดคิดขึ้นด้วยความพิศวงไม่ได้
“ผลการวัดค่าพลังจะช่วยวิเคราะห์ข้อดีและข้อเสียในแนวทางการฝึกวิทยายุทธ์ของพวกเจ้า จงนำกลับไปศึกษาดูให้ดี เจ้าเป็นคนแรกที่จะสามารถเสริมสร้างจุดแข็งและลบเลือนจุดอ่อนของตนเองได้ เมื่อการฝึกพิเศษเริ่มต้นขึ้น ทางสถาบันจะคิดค้นวิธีการฝึกสอนที่เหมาะสมกับพวกเจ้าแต่ละคนขึ้นมาโดยเฉพาะ”
เมื่อฉู่เหินให้คำแนะนำเสร็จสิ้นแล้ว การตรวจวัดค่าพลังก็เป็นอันจบลง
…
ณ ตำหนักไม้ไผ่
หลินเป่ยเฉินนอนคว่ำหน้าอ่านผลการวัดค่าพลังอยู่บนเตียง
เขาเข้าใจแล้วว่าข้อดีและข้อเสียในแนวทางการฝึกฝนของตัวเองคืออะไร
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของเขาก็คือ เขามีรากฐานพลังอ่อนแอมากเกินไป
ไม่ว่าจะเป็นพลังลมปราณ ทักษะการใช้กระบี่ หรือความแข็งแรงของร่างกาย ทุกอย่างล้วนเป็นผลมาจากการฝึกฝนในแอปของโทรศัพท์มือถือทั้งสิ้น
สถานการณ์ในขณะนี้เปรียบเสมือนตอนที่เล่นเกม PUBG เมื่อกระโดดร่มลงมาในสมรภูมิแล้ว หลินเป่ยเฉินก็พบว่าตนเองได้รับอุปกรณ์ขั้นพื้นฐานทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นหมวกกันน็อคระดับที่ 3 เสื้อเกราะระดับที่ 3 ปืนซุ่มยิงระยะไกลพร้อมด้วยกล้องส่องขยายแปดเท่า ปืนเล็กยาวอัตโนมัติพร้อมด้วยลูกกระสุนไม่จำกัด อุปกรณ์ปฐมพยาบาลสำหรับรักษาอาการบาดเจ็บ และเครื่องดื่มดับกระหายเพิ่มพลังงาน
แต่สิ่งที่สามารถทำให้ชนะศัตรูได้คือทักษะของผู้เล่นต่างหาก ต่อให้มีอาวุธครบมือแค่ไหน แต่ถ้าไร้ความสามารถ มันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี
ปัญหาของหลินเป่ยเฉินในตอนนี้ก็คือ เขามีอาวุธครบมือแล้ว ที่ขาดแคลนก็คือทักษะในการใช้อาวุธเท่านั้น
และถ้าอยากจะพัฒนาฝีมือของตัวเอง หลินเป่ยเฉินก็สามารถฝึกฝนได้ในโทรศัพท์มือถือ
มันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องเป็นกังวล
ดังนั้น เมื่ออ่านรายงานผลการตรวจวัดค่าพลังจบแล้ว เด็กหนุ่มจึงได้เข้าใจเรื่องระดับค่าพลังในโลกจอมยุทธ์เสียที ถึงจะติดอยู่ในโลกใบนี้มาพักใหญ่ แต่ที่ผ่านมาหลินเป่ยเฉินเข้าใจเพียงคร่าวๆ ว่าบรรดาจอมยุทธ์จะแบ่งแยกระดับชั้นกันอย่างชัดเจน มันเป็นความรู้พื้นฐานที่ทุกคนจำเป็นต้องทราบ แต่ไม่เคยมีใครสอนเขาเลยสักคน
ตอนที่หลินเป่ยเฉินมีโอกาสได้เข้าไปในห้องสมุด เขาลองหาคัมภีร์เกี่ยวกับความรู้พื้นฐานด้านระดับพลัง แต่ก็หาไม่เจอสักเล่มเดียว
คิดไม่ถึงเลยว่ารายงานการตรวจวัดค่าพลังนี้จะช่วยให้คำตอบกับเขาได้
มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายมาก
สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจก็คือ คนเราจะฝึกวิทยายุทธ์ไปทำไม?
หลายคนล้วนทราบดีว่าการฝึกวิทยายุทธ์จะนำมาซึ่งผลลัพธ์หลายอย่าง…
อย่างแรกคือพลังและอำนาจ
อย่างที่สองคือมีร่างกายแข็งแรง
อย่างที่สามคือมีชีวิตยืนยาว
ด้วยเหตุนี้ ระดับพลังของผู้ฝึกยุทธ์ก็จะเกี่ยวข้องกับทั้งสามอย่างนี้ด้วยเช่นกัน
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเริ่มแรกจะแบ่งแยกเป็น 10 ระดับ
เริ่มตั้งแต่ ผู้ฝึกยุทธ์ระดับที่ 1
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับที่ 2
ไล่ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงระดับที่ 10
เมื่อถึงระดับ 10 แล้ว ขั้นต่อไปก็เป็นระดับปรมาจารย์
ถัดจากขั้นปรมาจารย์ ก็เป็นขั้นยอดปรมาจารย์
ลำดับชั้นแบ่งแยกกันด้วยสิ่งที่เรียบง่ายที่สุด
ความแข็งแกร่ง
พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ผู้ฝึกยุทธ์ระดับที่หนึ่งเมื่อโคจรพลังลมปราณแล้ว ก็จะมีพลังโจมตีอยู่ที่ 100 ชั่ง ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ระดับที่ 2 ก็จะมีพลังโจมตีอยู่ที่ 200 ชั่ง…เรื่อยไปจนถึงผู้ฝึกยุทธระดับที่ 10 ก็จะมีพลังโจมตีอยู่ที่ 1,000 ชั่ง
ถือเป็นพลังการโจมตีที่น่ากลัวมาก
แรงกระแทกที่เท่ากับน้ำหนัก 1,000 ชั่ง สามารถบดขยี้ร่างกายของสิ่งมีชีวิตให้แหลกสลายได้ในพริบตา
ระดับพลังของโลกจอมยุทธ์แห่งนี้ นับว่าเรียบง่ายเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่เด็กเล็กๆ ก็ยังเข้าใจได้ไม่ยาก
นอกจากนี้ ถ้าตัดเรื่องการใช้พลังลมปราณออกไป ความแข็งแกร่งของร่างกายผู้ฝึกยุทธ์ขั้นต่างๆ ก็ยังไม่เหมือนกันและไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งตามลำดับชั้นอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ผู้ฝึกยุทธ์ระดับที่ 10 คนหนึ่งอาจจะมีพลังการโจมตีในร่างกายโดยไม่ใช้พลังลมปราณอยู่ที่ 400 ชั่ง แต่ผู้ฝึกยุทธ์อีกคนหนึ่งที่มีระดับพลังต่ำกว่า กลับมีพลังการโจมตีในร่างกายโดยธรรมชาติถึง 1,000 ชั่งโดยไม่ต้องใช้พลังลมปราณช่วยแต่อย่างใด
เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่เกิดมามีร่างกายแข็งแกร่งโดยกำเนิด แต่ไม่เคยฝึกการใช้พลังลมปราณมาก่อน ก็ไม่จำเป็นว่าต้องพ่ายแพ้ให้แก่ผู้ที่มีระดับพลังสูงกว่าเสมอไป
ในทางทฤษฎี ผู้ที่มีระดับพลังสูงกว่าย่อมแข็งแกร่งมากกว่าเล็กน้อย เพราะร่างกายจะอุดมสมบูรณ์มากกว่า สามารถติดเชื้อโรคและได้รับบาดเจ็บยากกว่า
แต่บางครั้งทฤษฎีกับความเป็นจริงก็สวนทางกัน
เพราะเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ฝึกวิทยายุทธ์แล้ว พวกเขาก็ต้องเดินทางไปยังสถานที่อันตรายมากมาย จอมยุทธ์ส่วนใหญ่มักต้องตายภายใต้การประลอง ตายระหว่างการผจญภัย ตายเพราะประสบอุบัติเหตุ และอีกนานับประการ ดังนั้น จะกล่าวว่าหลายครั้งผู้ที่เป็นจอมยุทธ์ มักมีอายุสั้นมากกว่าชาวบ้านธรรมดาก็ไม่ผิดนัก
นี่คือความเป็นจริงที่แสนเศร้า
แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เมื่อขึ้นสู่ขอบเขตระดับปรมาจารย์ได้แล้ว ก็จะมีอีกหนึ่งปัจจัยเป็นตัวแปรสำคัญ ที่จะแบ่งแยกความแข็งแกร่งของเหล่าจอมยุทธ์ให้ชัดเจนมากกว่าเดิม
มันคือสิ่งที่เรียกว่า การก่อกำเนิดของพลังปราณธาตุ