เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 983 จักรวรรดิสั่นสะเทือน
ตอนที่ 983 จักรวรรดิสั่นสะเทือน
ครึ่งชั่วยามต่อมา หลินเป่ยเฉินก็วางโทรศัพท์ลงด้วยสีหน้าสับสน
เป็นไปอย่างที่คิด เขาตั้งราคาขายถูกเกินไป
จากข้อมูลที่ได้มาจากผู้ซื้อหลายคน หลินเป่ยเฉินพอจะสรุปใจความได้ว่าผลกวนเจี๋ย มีราคาที่แท้จริงถึงลูกละสามก้อนศิลาบูชา
เมื่อคิดถึงผลกวนเจี๋ยทั้งสิบลูกที่ขายให้กับลูกค้าหน้าแมวอ้วน เด็กหนุ่มก็อดเจ็บใจไม่ได้
แต่แล้วเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าผลกวนเจี๋ยของชาวเผ่าจันทราขาวยังมีอยู่อีกมากมาย พวกมันเปรียบเสมือนเหมืองทองคำสำหรับเขา ยังสามารถใช้หาเงินทองได้เป็นจำนวนมหาศาล เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกดีขึ้นมามากโข
นับว่านี่เป็นเส้นทางเศรษฐีของเขาแล้วจริง ๆ
“ถึงเราจะมีสถานะเป็นผู้อาวุโสต่างแซ่ แต่ถ้าหัวหน้าเผ่ากับผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ไม่เห็นด้วยที่จะขายพวกมัน อย่างนั้นก็เกิดปัญหาน่ะสิ?”
“ทำไมเหมือนเรามาที่นี่เพื่อตักตวงผลประโยชน์จากชาวเผ่าจันทราขาวเลยแฮะ สำหรับบุคคลที่มีจิตใจดีงามเช่นหลินเป่ยเฉินคนนี้ เราจะเอารัดเอาเปรียบชาวเผ่าได้ยังไง?”
“สงสัยคงต้องหาวิธีแก้ปัญหาที่วิน – วินกันทั้งสองฝ่ายซะแล้ว”
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความตื่นเต้น
ในมือถือโทรศัพท์ สมองเริ่มวางแผนการ
แต่เพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น เด็กหนุ่มก็ส่งเสียงกรนดังสนั่นจากเตียงนอน
คุณชายหลินผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
…
“เจ้าบอกว่าตนเองเป็นองครักษ์ส่วนตัวของคุณชายหลิน มีหลักฐานยืนยันหรือไม่?”
โหลวซานกวนหัวหน้าหน่วยราชองครักษ์ถามน้ำเสียงทุ้มต่ำ
ในป้อมปราการบนกำแพงเมืองขณะนี้ เหล่าแม่ทัพระดับสูง เช่นเดียวกับองค์จักรพรรดิกำลังจ้องมองไปที่ชายร่างกำยำไว้ผมจุกบนศีรษะผู้หนึ่ง
ไม่มีผู้ใดจดจำชายฉกรรจ์ผู้นี้ได้เลยสักคน
แม้แต่สองสาวรับใช้ของหลินเป่ยเฉินอย่างเฉียนเหมยกับเฉียนเจิน หรือเด็กหนุ่มร่างอ้วนเซียวปิง ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เคยพบเห็นชายฉกรรจ์ผู้นี้มาก่อน
ดังนั้น ปริศนาจึงเกิดขึ้น
เนื่องจากชายฉกรรจ์ร่างกำยำผู้นี้ อ้างตนว่ารู้จักกับหลินเป่ยเฉินและได้รับคำสั่งจากคุณชายหลินให้มาแจ้งต่อทุกคนว่าเขาสบายดี
หากชายฉกรรจ์ผู้นี้เป็นศัตรู อย่างนั้นก็อันตรายแล้ว
ภายใต้การจ้องมองของดวงตาหลายสิบคู่ กงกงแสดงสีหน้าลำบากใจ
บัดนี้ ข้อเสียของเคล็ดวิชาลับที่เขาซุ่มฝึกฝนได้เปิดเผยออกมา นอกจากมันจะช่วยทำให้เขาไปไหนมาไหนได้โดยไม่มีผู้คนสังเกตเห็น แต่มันก็ทำให้ใครหลายคนลืมเลือนความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาไปด้วยเช่นกัน
แม้แต่ผู้คนที่เคยพบหน้ากงกงก่อนหน้านี้ไม่นาน ก็ยังลืมเลือนเขาไปแล้ว
สงสัยครั้งหน้า คงต้องขอให้คุณชายหลินมอบป้ายประจำตัวเพื่อพิสูจน์ตัวตนเสียแล้ว
แต่ในขณะที่กงกงกำลังคิดหาวิธีพิสูจน์ตัวตน เสียงของชายชราคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากนอกประตูว่า “ฮ่า ๆๆ เหล่ากง ข้าน้อยยืนยันได้ขอรับว่าเขาเป็นองครักษ์ส่วนตัวของคุณชายหลินจริง ๆ…”
ผู้ที่เดินเข้ามาย่อมต้องเป็นหวังจง
ชายชราคือคนรับใช้ข้างกายหลินเป่ยเฉิน
เมื่อหวังจงพูดเช่นนี้ องค์จักรพรรดิและเหล่าแม่ทัพใหญ่ก็พร้อมใจกันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
กงกงเองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน หลังจากนั้น เขาก็บอกเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเผ่าจันทราขาว
“มีมนุษย์อยู่ในอาณาเขตนี้ด้วยหรือ?”
“คุณชายหลินอยากจะแฝงตัวเข้าไป?”
“หรือว่าเขาตั้งใจจะบุกยึดที่นั่นด้วยตัวเองเพียงคนเดียว?”
หลังฟังคำอธิบายจากกงกง หลายคนก็ได้แต่ถามออกมาด้วยความตื่นเต้น
“เด็กสาวผู้นั้นต้องตั้งใจหว่านเสน่ห์ใส่นายน้อยเป็นแน่ ชาวเผ่าพวกนี้ชักจะร้ายกาจเกินไปแล้ว” เฉียนเหมยพูดออกมาด้วยความขุ่นเคือง
ทุกสายตาในห้องประชุมได้แต่จ้องมองไปทางเด็กสาวอย่างพูดอะไรไม่ออก
นั่นใช่เรื่องที่ควรขุ่นเคืองใจหรือไม่?
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเฉียนเจินกลับพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ถูกต้อง คุณชายต้องทนตกระกำลำบากใช้ชีวิตอยู่กับพวกชาวเผ่าเหล่านั้น นับว่าคุณชายของข้าเสียสละเพื่อจักรวรรดิมากเกินไปแล้วจริง ๆ”
องค์จักรพรรดิและเหล่าแม่ทัพใหญ่เผลอถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว
การที่เด็กหนุ่มจอมเสเพลอย่างหลินเป่ยเฉินได้ไปอยู่กับเผ่าจันทราขาวและมีสาวงามคอยดูแลเอาอกเอาใจ นั่นเรียกว่าการเสียสละเพื่อประเทศชาติได้ด้วยหรือ?
ต้องไม่ลืมว่าหลินเป่ยเฉินขึ้นชื่อในเรื่องของการเป็น ‘ยอดนักเด็ดบุปผางาม’ มาแต่ไหนแต่ไร
น่าเสียดายที่สองสาวรับใช้ผู้ชาญฉลาดและมีฝีมือการต่อสู้แข็งแกร่งทั้งสองนี้ คงติดเชื้ออาการทางสมองบกพร่องจากหลินเป่ยเฉินมาเสียแล้ว พวกนางจึงพูดจาเช่นนี้ออกมาได้ ราวกับมันเป็นเรื่องสำคัญเหลือเกิน
ทุกคนไม่รู้ว่าตนเองสมควรจะหัวเราะหรือร้องไห้มากกว่ากัน
องค์จักรพรรดิกระแอมไอเล็กน้อย ก่อนยิ้มและกล่าวว่า “ในเมื่อคุณชายหลินบอกว่าจะจัดการเอง ถ้าอย่างนั้น ข้าก็เชื่อว่าเมืองทางทิศตะวันตกคงไม่มีปัญหาอีกแล้ว ส่วนหน้าที่ของพวกเราก็คือจัดการเมืองของคนแคระเขียวและเมืองของมนุษย์กิ้งก่าให้ได้ ไม่ทราบว่าพวกท่านมีแผนการบุกโจมตีอย่างไรบ้าง?”
ทุกคนหันหน้ากลับมาให้ความสนใจที่โต๊ะทรายซึ่งตั้งอยู่กลางห้องประชุม และเริ่มวางกลยุทธ์การสู้รบด้วยความเคร่งเครียดจริงจัง
การประเมินจักรวรรดิในครั้งนี้มีความยากเกินคาดคิด
สิ่งสำคัญก็คือพวกเขาต้องหาทางข้ามผ่านเหล่าสัตว์อสูรที่อยู่ในป่าด้านนอก และบุกไปโจมตีอีกสองเมืองใหญ่ให้ได้ โดยต้องไม่ทำให้ผู้ปกครองทั้งสองเมืองนั้นรู้ตัวล่วงหน้า
แต่ยิ่งปรึกษาหารือกันมากเท่าไหร่ องค์จักรพรรดิและแม่ทัพใหญ่ทุกคนก็ได้ค้นพบว่าเมื่อไม่มีหลินเป่ยเฉิน กองทัพเป่ยไห่ที่เหลืออยู่ก็ไม่ต่างจากเศษสวะที่ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ทั้งสิ้น
แม้แต่การหลบอยู่หลังกำแพงเมืองแห่งนี้ คอยรับการบุกโจมตีของสัตว์อสูรต่อไปเรื่อย ๆ ก็คงเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ดูเหมือนเรื่องนี้จะเกินความสามารถของทุกท่านแล้ว”
เฉียนเจินกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
เซียวปิงพูดว่า “ท่านพี่เฉียนเจินกล่าวได้ถูกต้อง”
เฉียนเหมยกล่าวเสริมว่า “ถ้าอย่างนั้น… พวกเราก็รอจนกว่านายท่านของข้าจะกลับมา แล้วให้นายท่านตัดสินใจดีไหมเจ้าคะ”
เซียวปิงพูดอีกครั้งว่า “ท่านพี่เฉียนเหมยกล่าวได้ถูกต้อง”
หวังจงส่งเสียงขึ้นมาว่า “ไม่ใช่ว่าข้าน้อยรักตัวกลัวตาย แต่ข้าน้อยกำลังให้คำแนะนำที่มีเหตุและมีผล ความสามารถของพวกเราในขณะนี้ เพียงเดินออกไปนอกกำแพงเมืองชีวิตก็หาไม่แล้ว พวกเราสมควรรอให้คุณชายหลินกลับมาแล้วค่อยปรึกษาหารือกันต่อดีกว่านะขอรับ”
เซียวปิงพยักหน้าและกล่าวสนับสนุนว่า “พ่อบ้านหวังกล่าวได้ถูกต้อง”
ทุกคนพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
…
จักรวรรดิเป่ยไห่ นครหลวง
ฟึบ!
องค์ชายเจ็ดขยำจดหมายในมือและขว้างปาลงพื้นด้วยความโกรธแค้น
“มันกล้าดีอย่างไร?”
เขาคำรามราวกับราชสีห์เกรี้ยวกราด
ความเงียบปกคลุมในตำหนักบริหาร
ขุนนางและแม่ทัพใหญ่หลายท่าน รวมไปถึงผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียน ต่างก็ก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา
องค์ชายใหญ่ องค์ชายรองและองค์ชายองค์อื่น ๆ ก็มีสีหน้าที่ไม่สู้ดีเช่นกัน
ข่าวที่พวกเขาเพิ่งได้รับก็คือตระกูลเว่ยแห่งมณฑลเฉียนเกาประกาศตัวก่อกบฏ
เว่ยจิ่วเซียว แม่ทัพใหญ่แห่งตระกูลเว่ยได้ประกาศต่อสาธารณชนว่า พวกเขาจะไม่อยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิเป่ยไห่อีกต่อไป และกองทัพตระกูลเว่ยซึ่งมีนายทหารจำนวน 500,000 ชีวิต ก็จะแบ่งกองกำลังออกเป็นสามส่วนเพื่อบุกมาโจมตีนครหลวง นอกจากนี้ ตระกูลเว่ยยังกล่าวหาว่าเทพีกระบี่ที่ทางราชสำนักเคารพนับถือเป็นเทพีกระบี่ตัวปลอม เนื่องจากเทพีกระบี่ตัวจริงนั้นได้ละทิ้งจักรวรรดิเป่ยไห่ไปนานแล้ว…
ความปั่นป่วนโกลาหลเกิดขึ้นโดยทันที
เมื่อข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป จักรวรรดิเป่ยไห่ก็เกิดการสั่นสะเทือน
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่ตระกูลเว่ยวางแผนมาอย่างยาวนาน เพียงไม่ถึงสี่วันหลังประกาศการก่อกบฏ กองทัพตระกูลเว่ยก็บุกถล่มเมืองต่าง ๆ ตามรายทางเป็นระยะทางกว่า 6,000 ลี้ โดยที่พวกเขามีจุดหมายปลายทางอยู่ที่นครหลวงแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่
เมื่อทางนครหลวงได้รับทราบข่าวนี้ กองทัพตระกูลเว่ยก็ได้ทำการเคลื่อนกำลังพลมาอยู่ไม่ไกลแล้ว
“ทำไมข่าวนี้ถึงได้ส่งมาล่าช้านัก?”
องค์ชายเจ็ดระเบิดเสียงคำราม “ตระกูลเว่ยประกาศก่อกบฏตั้งแต่สี่วันก่อน กว่าที่เราจะได้รับทราบข่าวการกบฏ กองทัพของพวกมันก็อยู่ห่างจากนครหลวงเพียง 3,000 ลี้เท่านั้น ไม่ทราบว่าหน่วยข่าวกรองมัวทำอะไรกันอยู่? นี่คือความผิดที่ให้อภัยไม่ได้เด็ดขาด!!”
ถ้าอ่าน “เซียนกระบี่มาแล้ว” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 70 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย