เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 985 นางเป็นพี่สาวของข้า
ตอนที่ 985 นางเป็นพี่สาวของข้า
“ผลกวนเจี๋ยทั้ง 10,000 ลูกนั้นจะนับว่ามีค่าอันใดได้ นับจากนี้ไป ทุกครั้งที่ต้นกวนเจี๋ยออกดอกออกผล ไม่ว่าผู้อาวุโสจูต้องการเท่าใด ก็สามารถนำไปใช้ได้โดยทันที”
หัวหน้าเผ่าไป๋ไห่เฉากล่าว
ไม่มีผู้ใดรู้เลยว่านี่ยิ่งเข้าแผนการของหลินเป่ยเฉินมากขึ้นไปอีก
ชาวเผ่าจันทราขาวนับว่าเป็นผู้คนที่มีจิตใจดีงาม
ควรค่าต่อการเคารพนับถือยิ่งนัก
“ข้าเห็นด้วยทุกประการ”
“พวกเรามีแต่ต้องตอบแทนผู้อาวุโสจูด้วยวิธีนี้เท่านั้น อีกอย่าง ถึงผลกวนเจี๋ยอยู่กับพวกเราต่อไป นอกจากใช้หมักสุราและรับประทานเป็นอาหารแล้ว ก็หาได้เกิดประโยชน์อันใดอีกไม่”
“ต้องโทษว่าเป็นพวกเราแร้นแค้นมากเกินไป จึงตอบแทนผู้มีพระคุณได้เพียงเท่านี้”
ผู้อาวุโสอีกหลายท่านกล่าวออกมาอย่างเห็นด้วย
ไม่มีผู้ใดแสดงท่าทีคัดค้านเลยสักคน
หลินเป่ยเฉินหัวใจพองโตอย่างมีความสุข
ชาวเผ่าจันทราขาวมีจิตใจที่ใสซื่อบริสุทธิ์มากเกินไป
เพียงผลกวนเจี๋ย 10,000 ลูกก็เท่ากับเป็นศิลาบูชาหลายหมื่นก้อนแล้ว
ดีไม่ดี เขาอาจจะได้ศิลาบูชาเป็นแสนก้อนด้วยซ้ำ
หรือต่อให้ในภายหลังราคาตก อย่างน้อยก็ยังมีค่าเป็นศิลาบูชาหลายพันก้อน
แล้วเช่นนี้จะไม่รวยได้อย่างไร
หลินเป่ยเฉินอดชื่นชมในโชคชะตาของตนเองไม่ได้
ขนาดต้องมาอยู่ท่ามกลางชาวเผ่าที่ยากจนข้นแค้น แต่เขาก็ยังพบโอกาสทำเงินเป็นมหาเศรษฐีได้อีกครั้ง
“หากเป็นเช่นนี้…”
หลินเป่ยเฉินมองหน้าหัวหน้าเผ่าและเหล่าผู้อาวุโสด้วยสีหน้าลำบากใจ ก่อนจะเขียนข้อความบนพื้นดิน ‘ข้าน้อยก็คงต้องขอรับความเมตตาจากทุกท่านแล้ว’
กลุ่มผู้อาวุโสส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ
เมื่อเด็กหนุ่มคนนี้ยอมรับการตอบแทนบุญคุณของพวกเขา อารมณ์ความรู้สึกของชาวเผ่าจึงแจ่มใสมากกว่าเดิม
หลินเป่ยเฉินเขียนข้อความอธิบายเพิ่มเติมว่า ‘แต่ที่ข้ารับผลกวนเจี๋ยพวกนั้นเอาไว้ ข้ามิได้รับเอาไว้เพื่อตนเอง แต่ข้าต้องนำมันไปแลกเปลี่ยนเป็นปุ๋ยเพื่อการเกษตรเหล่านี้ เพราะพวกเราจำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการรับประกันว่าต้นกวนเจี๋ยจะออกดอกออกผลตลอดไป’
เมื่อได้รับทราบถึงเหตุผลของหลินเป่ยเฉิน ผู้เฒ่าทั้งหลายก็ต้องน้ำตาคลอเต็มสองเบ้า
เผ่าจันทราขาวของพวกเขาช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้พบเจอกับผู้อาวุโสต่างแซ่ท่านนี้
ยอดสาวงามประจำเผ่าอย่างไป๋เสี่ยวเซียวไม่พูดคำใด แต่นางรีบก้าวออกมาข้างหน้าและโอบกอดรอบคอหลินเป่ยเฉินก่อนจะเขย่งปลายเท้าขึ้น และจุมพิตลงที่แก้มซ้ายของคุณชายหลินอย่างตราตรึงใจ
ปฏิกิริยาแรกของเขาก็คือ…
ยืนตัวแข็งทื่อ
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
เขากำลังถูกลวนลามอยู่ใช่หรือไม่?
นางทำอะไรของนางไม่ทราบ บัดนี้ มีคนอยู่ตั้งเยอะตั้งแยะ
หากเป็นในที่ลับตาก็ว่าไปอย่าง…
แต่ว่า…
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่ได้เลวร้ายเลย
ริมฝีปากของนางช่างชุ่มฉ่ำนัก …อิอิ
ไป๋เสี่ยวเซียวสมแล้วที่นางเป็นเสือดาวสาวแห่งเผ่าจันทราขาว ผู้สวยงามและร้อนแรง
ในที่สุด…
เดี๋ยวก่อนนะ
หลินเป่ยเฉินรู้แล้วว่าการลงทุนของเขาครั้งนี้ไม่ได้ขาดทุน
แต่ได้กำไรมหาศาล!!
เด็กหนุ่มเบิกตาโตและยิ้มกว้าง
แต่ไป๋เสี่ยวเซียวผู้นี้เป็นหลานสาวสุดที่รักของผู้อาวุโสไป๋ซานเยว่ไม่ใช่หรือ?
หลินเป่ยเฉินหันหน้ามองไปทางชายชราอย่างรู้สึกผิด
แต่ผู้เป็นปู่ของเด็กสาวกลับพยักหน้าให้เขาด้วยความโล่งใจ
นี่มันอะไรกันครับเนี่ย?
ทำไมชายชราถึงทำสีหน้าอย่างนั้น?
ขณะนี้ แขนของหลินเป่ยเฉินพลันเกิดความรู้สึกถูกบดเบียดนุ่มนิ่ม
ปรากฏว่าไป๋เสี่ยวเซียวกำลังกอดแขนของเขาแนบแน่น หอคอยคู่ของนางหนีบแขนหลินเป่ยเฉินราวกับไม่มีวันจะแยกจากกัน
และในเวลาเดียวกันนี้ ไป๋เสี่ยวเซียวก็กวาดสายตามองเด็กสาวคนอื่น ๆ ในเผ่าด้วยแววตาภาคภูมิใจ
อ้า นี่มัน…
เหมือนเป็นการประกาศตัวเป็นเจ้าของเลยนะ
หลินเป่ยเฉินได้แต่ยืนกะพริบตาปริบ ๆ
วิถีชีวิตของชาวเผ่าจันทราขาวเปิดกว้างถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
สตรีสามารถจับจองบุรุษหนุ่มได้อย่างเปิดเผย?
หลินเป่ยเฉินพยายามชักแขนกลับมา แต่เขาก็พบว่าไป๋เสี่ยวเซียวหนีบแขนของตนเองเอาไว้แน่นมาก คิดไม่ถึงเลยว่าหอคอยคู่ของนางจะมีความแข็งแกร่งสู้มือถึงเพียงนี้
ภาพที่เกิดขึ้น ยิ่งทำให้เหล่าเด็กหนุ่มที่เจ็บปวดหัวใจจากเมื่อคืน ยิ่งรู้สึกอิจฉาริษยามากไปกว่าเดิม
แต่ก็ทำได้เพียงอิจฉาริษยาเท่านั้น
เนื่องจากผู้อาวุโสจูเป็นผู้มีพระคุณของชาวเผ่าจันทราขาว
สำหรับกับผู้กล้าที่มีคุณธรรมสูงส่งเช่นนี้ อย่าว่าแต่ผู้อาวุโสจูยังมีใบหน้าหล่อเหลาไร้ผู้ใดเปรียบ เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงทำได้เพียงอิจฉาริษยา!
“ผู้อาวุโสจู โปรดตามพวกเราไปที่วิหารเทพเจ้า นับจากนี้ไป พวกเราจะลงนามเป็นพันธมิตรกันต่อหน้ารูปปั้นขององค์เทพเจ้า ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ เผ่าจันทราขาวจะไม่มีทางทอดทิ้งท่านอย่างเด็ดขาด”
หลังจากนั้น หัวหน้าเผ่าไป๋ไห่เฉาก็นำตัวเด็กหนุ่มไปยังวิหารเทพเจ้าประจำเมือง
กลุ่มผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ติดตามมาด้วย
ไป๋เสี่ยวเซียวเองก็ติดตามมาไม่ต่างจากเสือดาวที่คุ้มกันอาหารของตนเอง
และเด็กสาวคนอื่น ๆ ในเผ่าก็ยังคงยิ้มแย้มเดินตามมาอย่างไม่ย่อท้อเช่นกัน
กฎของเผ่าจันทราขาวระบุเอาไว้ว่า หากชื่นชอบผู้ใด ก็สามารถแย่งชิงมาได้เสมอ
ในไม่ช้า ทุกคนก็มาถึงลานจัตุรัสขนาดเล็กหน้าวิหารเทพเจ้า
แม้สภาพความเป็นอยู่ของชาวเผ่าจันทราขาวในปัจจุบันจะยากจนข้นแค้น แต่วิหารเทพเจ้าแห่งแดนรกร้างกลับได้รับการดูแลเป็นอย่างดี วิหารที่ก่อสร้างด้วยหินทมิฬมีความสูงตระหง่านเท่ากับตึกหลายสิบชั้น
บริเวณลานจัตุรัสก็ได้รับการจัดแต่งอย่างประณีตและสวยงาม
รูปปั้นของเทพเจ้าแห่งแดนรกร้างตั้งอยู่หน้าวิหาร ก่อนหน้านี้หลินเป่ยเฉินไม่ทันได้สังเกตมาก่อน ขณะนี้เขาจึงมีเวลาได้สังเกตอย่างถี่ถ้วน และเด็กหนุ่มก็แปลกใจไม่น้อยที่เทพเจ้าแห่งแดนรกร้างนั้นมีกล้ามเนื้อบริเวณหน้าอกใหญ่โตมากเกินไป
หรือว่าเทพเจ้าแห่งดินแดนรกร้างจะเป็นสตรี?
ทำไมเทพเจ้าที่เขาพบเจอล้วนแต่เป็นสตรีหมดเลยนะ?
ในดินแดนทวยเทพมีบุรุษอยู่บ้างหรือไม่?
หลินเป่ยเฉินได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
กลุ่มผู้อาวุโสเริ่มทำพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์และนำของบูชาหลายชนิดออกมาวางไว้หน้ารูปปั้น
ในขณะเดียวกันนี้ ไป๋เสี่ยวเซียวก็รับหน้าที่พาหลินเป่ยเฉินเข้าไปเดินเยี่ยมชมรูปปั้นตัวอื่น ๆ ที่ตั้งอยู่ในวิหาร รวมถึงรับหน้าที่บอกเล่าประวัติศาสตร์ของรูปปั้นแต่ละตัว
“นี่คือรูปปั้นหัวหน้าเผ่าคนแรกของพวกเรา ข้อมูลจากคัมภีร์โบราณระบุว่าหัวหน้าเผ่าคนแรกของพวกเราได้รับพรศักดิ์สิทธิ์จากองค์เทพเจ้า ทำให้ท่านมีชีวิตยืนยาวกว่า 1,300 ปี…”
“ส่วนนี่เป็นรูปปั้นของหัวหน้าเผ่าคนต่อมา ท่านเป็นบุตรชายคนโตของหัวหน้าเผ่าคนแรก มีฝีมือการต่อสู้สะเทือนฟ้าสะท้านดิน นำความรุ่งเรืองมาให้แก่เผ่าจันทราขาวอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร และท่านก็ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสิบนักรบแห่งอาณาเขตดวงดาว”
“นี่คือรูปปั้นของหัวหน้าเผ่ารุ่นที่หก…”
“นี่คือรูปปั้นของหัวหน้าเผ่ารุ่นที่ 108…”
“ส่วนรูปปั้นตัวนี้เป็นรูปปั้นของสมาชิกเผ่าคนสุดท้ายที่ได้เข้าไปฝึกวิชาในแดนศักดิ์สิทธิ์ นางคืออัจฉริยะของเผ่าเรา และมีสถานะเป็นผู้ที่ถูกเลือกขององค์เทพเจ้าแห่งแดนรกร้าง…”
ไป๋เสี่ยวเซียวชี้มือไปที่รูปปั้นหินแกะสลักตัวสุดท้าย
แต่หลินเป่ยเฉินกำลังยืนตกตะลึง
เพราะว่ารูปปั้นหินตัวนี้…
มันเป็นรูปปั้นของ…
ไป๋ชินหยุนไม่ใช่หรือ?
ต้องใช่แน่ ๆ
เขาจำหน้าอกของนางได้
ไม่มีทางผิดพลาดเด็ดขาด
ให้ตายสิ
ปรากฏว่าไป๋ชินหยุนก็มาจากเผ่าจันทราขาวจริง ๆ ด้วย!
“นาง… ก็เป็นหัวหน้าเผ่าด้วยหรือ?”
หลินเป่ยเฉินพยายามสะกดกลั้นความตกตะลึง วาดมือเป็นลักษณะข้อความบนพื้นวิหาร
“ท่านพี่ชินหยุนไม่ใช่หัวหน้าเผ่า แต่นางเป็นหนึ่งในยอดอัจฉริยะของเผ่าจันทราขาว นอกจากนี้ นางยังสามารถสื่อสารกับองค์เทพเจ้าได้อีกด้วย…”
ไป๋เสี่ยวเซียวเขียนข้อความตอบด้วยสีหน้าภาคภูมิใจและเคารพเลื่อมใส
หลินเป่ยเฉินเขียนข้อความถามด้วยความเยือกเย็นว่า ‘เจ้ารู้จักกับนางหรือไม่?’
ไป๋เสี่ยวเซียวพยักหน้าและเขียนข้อความตอบ ‘ย่อมต้องรู้จัก…นางเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของข้าเอง’
เด็กหนุ่มอ้าปากค้าง
นี่คือเรื่องที่เขาคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ
ที่แท้พวกเจ้าทั้งสองคนก็เป็นพี่น้องกัน
มิน่าล่ะ ถึงได้มาลุ่มหลงเขาขนาดนี้
รสนิยมในการเลือกบุรุษช่างเหมือนกันอย่างเหลือเชื่อ ก็สมควรแล้วที่จะเป็นพี่น้องกันอย่างแท้จริง!!