เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 99 เข้ามาคาราวะศิษย์พี่เฉาเร็วเข้า
บทที่ 99 เข้ามาคาราวะศิษย์พี่เฉาเร็วเข้า
วันนี้อากาศดีอย่างน่าประหลาดใจ
ท้องฟ้าแจ่มใส ไม่มีเมฆดำเลยสักก้อนเดียว
บรรยากาศสดชื่น เหมือนเป็นใจให้แก่เหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นในเมืองหยุนเมิ่งค่ำคืนนี้
ขณะที่หลินเป่ยเฉินกำลังนอนหลับอยู่ระหว่างคาบเรียน หลินเสว่หยิน เด็กสาวผู้งดงามที่สุดภายในห้องก็เดินมาใช้นิ้วสะกิดเรียกเขา “หลินเป่ยเฉิน มีคนมาหาเจ้า”
หลินเป่ยเฉินเงยหน้าขึ้นมา กวาดสายตามองรอบตัวด้วยความงัวเงีย
แล้วเขาก็เห็นเด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง กำลังโบกไม้โบกมือทักทายเขา นางมีความสูงเพียง 3 ศอกเท่านั้น
“เด็กที่ไหนวะเนี่ย?”
เพราะจำไม่ได้ หลินเป่ยเฉินจึงไม่ได้โบกมือตอบ
ที่แท้เด็กสาวผู้นี้ก็คือไป๋ชินหยุน เมื่อเห็นเด็กหนุ่มทำเป็นเฉยชาใส่ ใบหน้าของนางก็แสดงความไม่พอใจเล็กน้อย
แม้เด็กสาวจะไม่ใช่คนหลงตัวเอง แต่นางก็มั่นใจเสมอว่ามีรูปร่างหน้าตาไม่เป็นสองรองใครในสถานศึกษา แต่เมื่อพบว่าหลินเป่ยเฉินไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ต่อนางเลย ไป๋ชินหยุนก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้
“วันนี้มีงานประลองกระบี่ อาจารย์ฉู่ออกเดินทางล่วงหน้าไปแล้ว ก่อนไปเขาสั่งว่าให้ข้าเดินทางไปพร้อมกับท่าน” เด็กสาวพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“งั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินยกมือขยี้ตา จำได้เพียงลางๆ ว่าเด็กสาวคนนี้มีนามว่าไป๋ชินหยุน เป็นยอดอัจฉริยะจากชั้นเรียนปีที่ 1 ตอนที่อยู่ในห้องตรวจวัดค่าพลัง นางถึงกับยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อรับเทียบเชิญให้ได้
“งั้นเราก็ไปกันเถอะ”
เด็กหนุ่มยกมือปาดน้ำลาย ก่อนจะเดินนำหน้าออกไปจากห้องเรียน
ไม่นานหลังจากนั้น
รถม้าก็แล่นออกจากสถานศึกษากระบี่ที่สาม
ภายในห้องโดยสาร หลินเป่ยเฉินนอนหลับน้ำลายไหลยืดอีกครั้ง
ไป๋ชินหยุนนั่งอยู่ด้านข้าง หน้าตาบูดบึ้ง
หลังพยายามชวนเด็กหนุ่มคุยอยู่หลายรอบ ไป๋ชินหยุนก็พบว่าหลินเป่ยเฉินเพียงตอบรับอืออาอย่างไม่ใส่ใจเท่านั้น ชัดเจนแล้วว่าเขาไม่อยากเสวนากับนางมากเกินไป
“ข้ายังสวยไม่พอหรือไง? หรือว่าหน้าอกข้าเล็กเกินไป? หรือว่าขาสั้นเกินไป? หรือว่าบั้นท้ายของข้ายังไม่อวบอัดมากพอ? ไม่ใช่สิ มันต้องเป็นเพราะความสูงของข้าแน่ๆ”
เด็กสาวคิดด้วยความคับแค้นใจ นางแทบจะสมบูรณ์แบบในทุกด้านแล้ว ยกเว้นก็แต่เรื่องความสูงเท่านั้นที่เป็นปมด้อย
กล่าวขานกันว่าหลินเป่ยเฉินเป็นเด็กหนุ่มผู้ลุ่มหลงในราคะ แต่วันนี้เมื่อมีโอกาสได้อยู่ในห้องโดยสารรถม้ากับนางสองต่อสอง เด็กหนุ่มกลับไม่สนใจนางเลยแม้แต่น้อย ไม่แม้แต่จะคุยกับนาง หรือพยายามหว่านเสน่ห์ใส่ด้วยซ้ำ นั่นทำให้ไป๋ชินหยุนซึ่งมั่นใจในความงามของตนเองมาตลอด รู้สึกเหมือนโดนดูถูกอย่างไรอย่างนั้น
ดวงตาของเด็กสาวเป็นประกายแวววาว ไป๋ชินหยุนลังเลอยู่ว่าควรจะหาเรื่องคุยกับหลินเป่ยเฉินต่อไปหรือไม่ แต่ทันใดนั้น รถม้าก็หยุดลงเสียก่อน
“เรามาถึงแล้วขอรับ”
เสียงของสารถีดังขึ้นจากด้านนอก
หลินเป่ยเฉินพลันลุกขึ้นนั่ง เปิดประตูห้องโดยสารและกระโดดออกไปทันที
จวนผู้ว่าการเมืองตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
ตั้งแต่ทะลุมิติข้ามมาอยู่โลกจอมยุทธ์ นี่คือครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินมีโอกาสได้มายังจวนผู้ว่า จึงอดใช้สายตาสำรวจด้วยความสงสัยใคร่รู้ไม่ได้
ใหญ่โตโอ่อ่า
หรูหราตระการตา
อย่างกับปราสาทในเทพนิยาย
สองฟากฝั่งของประตูทางเข้ายืนด้วยทหารหลายสิบนาย
เมื่อตรวจสอบเทียบเชิญเรียบร้อย ข้ารับใช้ในชุดสีน้ำเงินเข้มซึ่งรอคอยอยู่นานแล้วก็ปรากฏตัวขึ้น ก่อนนำเด็กหนุ่มกับเด็กสาวทั้งสองคนเดินเข้าสู่ด้านใน
จวนผู้ว่ามีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล
ตัวอาคารเป็นคฤหาสน์หลังโต มีศาลานั่งเล่นตั้งอยู่ด้านข้าง พร้อมด้วยสวนดอกไม้ เช่นเดียวกับน้ำพุและสระน้ำ ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างสวยงาม เห็นได้ชัดว่าผ่านการออกแบบโดยผู้ชำนาญด้านการตกแต่งเป็นอย่างดี
ระหว่างที่เดินผ่านสวนดอกไม้ หลินเป่ยเฉินอยากจะพูดอะไรเท่ๆ ออกมาสักหน่อย
แต่ความสวยงามของสวนดอกไม้ ก็ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ได้แต่อุทานอยู่ในใจว่า “โคตรสวยเลยว่ะเฮ้ย!”
ตามข้อมูลระบุว่างานเลี้ยงจะจัดขึ้นด้านหลังสวนดอกไม้นี้นี่เอง
หลินเป่ยเฉินกับไป๋ชินหยุนเดินไปตามเฉลียงทางเดิน สุดท้ายก็ทะลุไปถึงด้านหลังสวนดอกไม้ แล้วจึงได้พบว่าที่นั่นมีผู้คนอยู่เต็มไปหมด
ยังเหลือเวลาอีกครึ่งช่วยยามก่อนที่การประลองจะเริ่มขึ้น
แต่แขกที่ได้รับเทียบเชิญก็มาถึงก่อนเวลา เพื่อแสดงความเคารพต่อเจ้าภาพ
ผู้ได้รับเชิญทั้ง 36 คนจะแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ กลุ่มแรกคือขุนนางผู้สูงศักดิ์ประจำเมือง กลุ่มที่สองคือยอดมือกระบี่ชื่อดัง และกลุ่มสุดท้ายเป็นมือกระบี่รุ่นเยาวชนอนาคตไกล บรรยากาศภายในงานเลี้ยงอุดมไปด้วยความคึกคักสดใส แขกผู้ได้รับเชิญกลุ่มที่สองและกลุ่มที่สาม ยืนรวมตัวกันพูดคุยกระซิบกระซาบถึงเรื่องราวอะไรบางอย่าง
“โฮะโฮะ เจ้าคือหลินเป่ยเฉินจากสถานศึกษากระบี่ที่สามใช่หรือไม่? ในที่สุดก็มาจนได้สินะ”
พลัน เสียงหัวเราะดังขึ้น
คนพูดเป็นเด็กหนุ่มอายุประมาณ 16 ถึง 17 ปี
เขามีผิวสีน้ำตาลเข้ม สวมใส่เสื้อผ้าใยฝ้ายสีม่วง บริเวณหน้าผากคาดหยกสีขาวรูปไข่ขนาดเท่าหัวแม่มือชิ้นหนึ่ง หน้าตาหล่อเหลา ดูมีสง่าราศี ขณะนี้กำลังยืนอยู่ที่ทางเข้าศาลาริมสระน้ำ ในมือโบกสะบัดเทียบเชิญสีแดงและพูดกับหลินเป่ยเฉินต่อไปว่า “หลินเป่ยเฉิน เจ้าจะยืนงงอยู่ทำไม? ยังไม่รีบเข้ามาคารวะศิษย์พี่เฉาแห่งเมืองไป๋หยุนของพวกเราอีก เขาถือเป็นหน้าเป็นตาให้กับเมืองหยุนเมิ่งเลยเชียวนะ”
ด้านในศาลาริมน้ำ
เฉาพั่วเถียนนั่งอยู่บนเก้าอี้บริเวณหัวโต๊ะทรงกลมด้วยท่าทางผึ่งผาย ใบหน้าที่แสนหล่อเหลาประดับรอยยิ้มตลอดเวลา
รอบตัวเฉาพั่วเถียนมีเด็กหนุ่มที่อายุไล่เลี่ยกับเขา บ้างนั่งบ้างยืน นับดูได้ประมาณ 9 คน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแต่ละคนล้วนเป็นมือกระบี่รุ่นเยาวชนชื่อดังประจำเมืองหยุนเมิ่ง แต่เมื่อมาอยู่รอบกายเฉาพั่วเถียน ก็มีสภาพไม่ต่างไปจากดวงดาวน้อยๆ ที่ล้อมรอบดวงจันทร์ขนาดใหญ่ ถึงแม้สีหน้าท่าทางจะไม่ได้ออกอาการอะไรมากมาย แต่หลินเป่ยเฉินก็ดูออกว่ากลุ่มเด็กหนุ่มเหล่านี้ให้ความเคารพต่อเฉาพั่วเถียนเป็นอย่างสูง
ตอนที่เด็กหนุ่มในชุดม่วงพูดกับหลินเป่ยเฉิน คนอื่นๆ ที่อยู่ในศาลาก็หันหน้ามามองทางผู้มาใหม่ด้วยความสนใจ
หลินเป่ยเฉินแตกต่างจากเด็กหนุ่มรุ่นเดียวกันที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานครั้งนี้ เนื่องจากส่วนใหญ่ล้วนเป็นมือกระบี่รุ่นเยาวชนชื่อดัง มาจากสถานศึกษาหรือสำนักระดับสูง พวกเขามีสถานะสูงส่ง ก่อนหน้านี้ได้รับการบอกเล่ามาแล้วว่าหลินเป่ยเฉินแสดงฝีมืออะไรบ้างระหว่างแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง ดังนั้น ทุกคนจึงให้ความสนใจมาที่หลินเป่ยเฉินเป็นหนึ่งเดียว
บางคนก็ถึงขั้นยึดถือหลินเป่ยเฉินเป็นคู่ต่อสู้ที่จะต้องประลองด้วยกันในค่ำคืนนี้
เพราะฉะนั้น สายตาที่จ้องมองมา จึงไม่ค่อยมีความเป็นมิตรสักเท่าไหร่
เฉาพั่วเถียนหันมามองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาเหยียดหยามขณะคลึงแก้วหยกขาวในมือเล่นเบาๆ
หลินเป่ยเฉินมองผ่านเข้าไปในตัวศาลา ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น เพื่อมองหาติงซานฉือในกลุ่มคน
เรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้ของเขา คือต้องตามหาอาจารย์ติงให้เจอเสียก่อน จะได้ถามไถ่ว่าความพร้อมก่อนการประลองเป็นอย่างไรบ้าง
เมื่อเด็กหนุ่มชุดม่วงเห็นหลินเป่ยเฉินไม่สนใจคำพูดของตนเองเลย จึงรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย “หลินเป่ยเฉิน ข้าพูดกับเจ้าอยู่ ไม่ได้ยินหรือไง? ผู้ที่นั่งอยู่ด้านในศาลาขณะนี้คือศิษย์พี่เฉา มือกระบี่ยอดอัจฉริยะจากมือไป๋หยุน ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของมือกระบี่แห่งจักรวรรดิเป่ยไห่ ศิษย์พี่เฉาเป็นเสมือนวีรบุรุษประจำใจของพวกเราทุกคน ทำไมเจ้ายังไม่รีบไปคารวะเขาอีก?”
หลินเป่ยเฉินยังคงทำหูทวนลมต่อไป
เด็กหนุ่มตั้งสมาธิอยู่กับการมองหาอาจารย์ติงซานฉือ
นั่นทำให้เด็กหนุ่มชุดม่วงเดือดดาลยิ่งกว่าเดิม
“คนแซ่หลิน เจ้าหูหนวกหรือไง?”
พูดจบ ก็เดินมายืนจ้องหน้าหลินเป่ยเฉินในระยะประชิด “ข้าขอสั่งให้เจ้าเข้าไปคำนับและขอโทษศิษย์พี่เฉาเดี๋ยวนี้”
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับด้วยความปวดหัว
“ทำไมโลกจอมยุทธ์ถึงมีตัวน่ารำคาญเยอะจังวะ? นายอยากจะเป็นหมารับใช้ก็เป็นไปสิ ทำไมต้องลากคนอื่นให้เป็นหมาเหมือนตัวเองด้วยเล่า?”
“ข้ายุ่งอยู่ อย่ามาก่อกวน” หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เด็กหนุ่มชุดม่วงกัดฟันกรอด “เจ้ากล้าพูดกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร?”