เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 992 ความพ่ายแพ้ของแดนเหนือ
ตอนที่ 992 ความพ่ายแพ้ของแดนเหนือ
เผ่าปูอสูรหกขาเป็นสัตว์อสูรสายพันธุ์พิเศษไม่เหมือนใคร
ราชินีปูคือผู้ที่มีลำดับชั้นสูงที่สุดในเผ่า
มันเป็นปูยักษ์ที่มีสีขาวราวหิมะ ขนาดร่างกายจะเล็กกว่าปูอสูรทั่วไปเล็กน้อย แต่ศีรษะที่เป็นรูปทรงมนุษย์นั้น มีใบหน้าที่สวยงามเป็นอย่างยิ่ง
ราชินีปูมีหน้าที่เดียวเท่านั้น
คือการผลิตสมาชิกในเผ่าพันธุ์ออกมาให้ได้มากที่สุด
ว่ากันว่าสมาชิกในเผ่าของมันเกือบทุกตัวล้วนถือกำเนิดเกิดขึ้นมาจากราชินีปูทั้งสิ้น
แต่ด้วยเหตุนี้เอง ราชินีปูจึงมีพลังในการต่อสู้ต่ำต้อยมาก
ในเผ่าพันธุ์ปูอสูร ผู้ที่อ่อนแอมากที่สุดก็คือราชินีปู
แต่มันมีองครักษ์คอยพิทักษ์ความปลอดภัยอยู่รอบกาย ยามปกตินั้น หากไม่ใช่ว่ารังถูกทำลาย ก็ไม่มีทางที่ผู้คนจะได้เห็นโฉมหน้าราชินีปูเด็ดขาด
ดังนั้น บรรดาผู้อาวุโสของเผ่ากิ้งก่าวายุจึงไม่รู้เลยว่ากิ้งก่าหนุ่มตัวนั้นสามารถบุกเข้าไปขโมยราชินีปูออกมาได้อย่างไร
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกแล้ว
สิ่งสำคัญในขณะนี้ก็คือ หากยังหยุดยั้งเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้ เผ่ากิ้งก่าวายุก็จะพบกับปัญหาใหญ่อีกครั้ง
ทุกสายตาหันมาจับจ้องมองที่ผู้อาวุโสใหญ่จินอู๋ซู
แต่มนุษย์กิ้งก่าหนุ่มตัวนั้นมีปฏิกิริยาตอบรับรวดเร็วยิ่ง
มันยกร่างของราชินีปูอสูรขึ้นรับหอกเขี้ยวมังกรที่พุ่งเข้าไป
ร่างของราชินีปูพลันแตกกระจายกลายเป็นม่านหมอกเลือดในพริบตา
หลังจากนั้น เสียงหอกที่ถูกขว้างปาออกมาก็ยังคงแหวกอากาศพุ่งไปทางด้านหลังอย่างต่อเนื่อง
เผ่าพันธุ์ปูอสูรจำนวนมากล้มลงเสียชีวิต
หอกเขี้ยวมังกรมีอานุภาพในการทำลายล้างแข็งแกร่ง มันถึงกับพุ่งทะลวงปูหนุ่มอีกตัวหนึ่งปักติดกับพื้นดินในที่สุด
“บัดซบ”
ผู้อาวุโสใหญ่จินอู๋ซูเห็นดังนั้นก็ต้องสบถออกมาด้วยความเจ็บใจ
นี่มันกลายเป็นผู้สังหารราชินีปูไปแล้วสินะ?
ถึงไม่อยากจะเกี่ยวข้อง แต่จะไม่เกี่ยวข้องก็คงไม่ได้แล้ว
มันหมดหนทางที่จะอธิบาย
หลังจากนั้น สมาชิกเผ่ากิ้งก่าวายุก็เห็นมนุษย์กิ้งก่าหนุ่มที่ขโมยราชินีปูมานั้นล้มลงหมดแรงบนพื้นดิน ก่อนที่มันผู้นั้นจะถูกกองทัพปูอสูรเหยียบย่ำจมธรณี…
“ย๊าก…”
ปูอสูรหกขาตัวหนึ่งที่มีความสูงเท่ากับตึกสามชั้นพลันระเบิดเสียงคำราม
กองทัพปูปีศาจยกขบวนเข้ามาที่กำแพงเมือง
“ฟู่…”
“วูบ…”
ระหว่างที่วิ่งเข้าหากำแพงเมือง พวกมันก็พ่นฟองสีขาวออกมาด้วย
ฟองสีขาวเหล่านี้พุ่งเป็นสายน้ำสาดใส่เหล่ามนุษย์กิ้งก่าที่อยู่บนกำแพงเมือง
“พวกเราต้านเอาไว้”
“ระวังตัวด้วย ฟองของพวกมันมีพิษ”
“อ๊าก ช่วยข้าด้วย”
บนกำแพงเมืองเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
นักรบกิ้งก่าวายุที่ถูกฟองสีขาวกระทบร่างกาย รู้สึกปวดแสบปวดร้อนราวกับโดนน้ำกรด แม้แต่ชุดเกราะที่พวกมันสวมใส่ก็ละลายไปกับตา ไม่มีสิ่งใดสามารถต้านทานการทำลายล้างของฟองสีขาวเหล่านี้ได้เลย
เพียงพริบตาเดียว มนุษย์กิ้งก่าจำนวนมากก็กลายเป็นโครงกระดูกไร้ชีวิต
“ฆ่ามัน”
ผู้อาวุโสใหญ่จินอู๋ซูมีดวงตาแดงก่ำ
ห่างออกไปสิบลี้บนท้องฟ้า
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่บนกระบี่เงินพร้อมกับไป๋เสี่ยวเซียว
บัดนี้ เด็กสาวชาวเผ่าจันทราขาวผู้บูชาหลินเป่ยเฉินราวกับเทพเจ้า ยิ่งเพิ่มความเคารพเลื่อมใสที่นางมีต่อเขามากไปกว่าเดิม
พี่จูของนางช่างชาญฉลาดจริง ๆ
เผ่ากิ้งก่าวายุที่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ผ่านไปเพียงครึ่งวันเท่านั้น พวกมันก็แทบจมกองน้ำตาตายแล้ว
เมื่อผู้อาวุโสของพวกมันเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ความแข็งแกร่งก็จะลดน้อยลง ความแตกแยกในเผ่าก็จะเพิ่มมากขึ้น
ในเวลาเดียวกันนี้ ความแข็งแกร่งของเผ่าจันทราขาวก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
คงอีกไม่นาน เผ่าจันทราขาวก็จะสามารถแก้แค้นได้สำเร็จ
และเมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์กิ้งก่าได้อย่างง่ายดาย ไป๋เสี่ยวเซียวก็ยิ่งเกิดข้อสงสัยในใจหลายคำถาม
ที่มาที่ไปของเขาคนนี้ลึกลับมากเกินไป
แม้นางจะหลงรักหลินเป่ยเฉินหมดหัวใจ แต่ไป๋เสี่ยวเซียวก็ยังมีข้อสงสัยอีกหลายอย่างอยู่ในใจเช่นกัน
ทว่า นางไม่อยากคิดถึงมัน
ดังนั้น นางจึงเลือกที่จะเชื่อคำพูดของเขา
‘พี่จูคงมีชาติกำเนิดไม่ธรรมดา’
‘แต่เขาทำดีกับเผ่าจันทราขาวมาก’
‘และเขาก็เป็นผู้ชายของข้า’
ไป๋เสี่ยวเซียวคิดอยู่ในใจ
หลินเป่ยเฉินนำกล้องส่องทางไกลออกมาจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ หลังจากปรับโฟกัสเล็กน้อย เขาก็ยกกล้องขึ้นส่องไปทางเมืองของเผ่าพันธุ์มนุษย์กิ้งก่า
เลนส์กล้องส่องขยายให้เห็นถึงสถานการณ์ที่กำลังดำเนินไปอย่างชัดเจน
ราวกับได้ไปเกาะติดสถานการณ์อยู่ที่ขอบกำแพงเมือง
“กล้องส่องทางไกลอันนี้คุ้มค่าราคาศิลาบูชา 100 ก้อนจริง ๆ ไม่นึกเลยว่าจะซูมภาพได้ชัดขนาดนี้”
หลินเป่ยเฉินถึงกับอดทึ่งไม่ได้
เขาอุทานออกมาอีกครั้งว่า
“ปูหกขาพวกนั้นแข็งแกร่งเหมือนกันนะเนี่ย”
บริเวณหน้ากำแพงเมืองในขณะนี้ มีซากศพของนักรบกิ้งก่าวายุนอนตายราว 500 ตัว บางส่วนมีสภาพเหลือเพียงโครงกระดูกเท่านั้น
น่าเหลือเชื่อ
มนุษย์กิ้งก่านอกจากสวมใส่ชุดเกราะ พวกมันยังมีเกล็ดผิวหนังที่หนามาก แต่น้ำลายของปูปีศาจพวกนี้ก็ยังละลายได้อย่างไม่เป็นปัญหา
กล้องส่องทางไกลจับภาพไปที่จินอู๋ซูผู้อาวุโสใหญ่ซึ่งถือหอกเงินอยู่ในมือ
ไอ้กิ้งก่าตัวนี้แหละที่เอาหอกปาใส่เขาก่อนหน้านี้
กิ้งก่าวายุขั้นเซียนระดับห้ามีความน่ากลัวเกินคาดคิด
ตอนนี้ เขายังเอาชนะมันไม่ได้
หลินเป่ยเฉินเฝ้าสังเกตการณ์ดูอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะยื่นกล้องส่องทางไกลให้ไป๋เสี่ยวเซียวและใช้ภาษามือบอกนางว่าควรใช้งานมันอย่างไร
“อุ๊ย ชัดดีจังเลย”
“เหลือเชื่อที่สุด”
“นั่นมันจินอู๋ซู ผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่ากิ้งก่าวายุ มันมีพลังขั้นเซียนระดับห้า ว่ากันว่าเป็นรองก็แต่หัวหน้าเผ่าเท่านั้น”
“หืม? นั่นมัน… ศพของผู้อาวุโสลำดับสามจินถัวโม่ไม่ใช่หรือ?”
“ผู้อาวุโสตัวอื่น ๆ ก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน”
“ครั้งนี้ นับว่าพวกกิ้งก่าผีได้รับความเสียหายใหญ่หลวง”
“พวกมันไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนเดิมอีกแล้ว”
ไป๋เสี่ยวเซียวกระซิบกระซาบออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ
บางทีอาจเป็นเพราะความตายของราชินีปูที่ทำให้กองทัพปูอสูรเกิดความเคียดแค้นมากกว่ากองทัพแรดภูเขาและวิหคอสูรก่อนหน้านี้ พวกมันจึงตั้งใจสู้จนตัวตายไม่ยอมแพ้ แม้จะเหลือเพียงตัวสุดท้ายแล้วก็ตาม
ไป๋เสี่ยวเซียวยิ่งดูมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งตกใจมากเท่านั้น
หลังจากนั้น นางถึงได้เข้าใจว่าที่หลินเป่ยเฉินยื่นกล้องส่องทางไกลมาให้ตนใช้งาน ก็เพราะเขาอยากจะให้นางได้รับชมความเสียหายของเผ่ากิ้งก่าวายุเหล่านี้นี่เอง
“พวกเรากลับกันเถอะ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าไปยังเส้นทางกลับสู่เผ่าจันทราขาว
“ท่านว่าอย่างไรนะ?”
ไป๋เสี่ยวเซียวยังคงมีสีหน้าไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น ‘เหตุไฉนพวกเราถึงไม่ดำเนินการต่อ ยิ่งเผ่ากิ้งก่าวายุเกิดความเสียหายมากเท่าไหร่ โอกาสที่เผ่าจันทราขาวจะแก้แค้นได้สำเร็จก็มีมากเท่านั้น’
ไป๋เสี่ยวเซียวเขียนข้อความลงบนแผ่นหลังเด็กหนุ่มระหว่างที่กระบี่เงินลอยไปในอากาศ
“บัดนี้พวกสัตว์อสูรที่อยู่รอบเมืองต่างก็ตื่นตัวกันหมดแล้ว หากเจ้าอยากให้ข้าใช้ลูกไม้เดิม มันก็เป็นวิธีการที่สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงและเวลามากเกินไป อีกอย่าง ถึงตอนนั้น หัวหน้าเผ่าของพวกมนุษย์กิ้งก่าอาจจะปรากฏตัวออกมา และทำให้พวกเราตกอยู่ในอันตรายก็เป็นได้…”
“พวกเรารอคอยโอกาสกันก่อนดีกว่า ปล่อยให้พวกสัตว์อสูรมันตีกันเองจนยับเยินกันไปทุกฝ่าย จากนั้นพวกเราถึงค่อยลงมือ”
หากเวลานั้นมาถึงเมื่อไหร่ หลินเป่ยเฉินก็จะไม่มีความเมตตาปราณีต่อศัตรูของตนเองเด็ดขาด
แน่นอนว่าหลังจากที่ทั้งสองคนจากไปแล้ว จินอู๋ซูผู้อาวุโสใหญ่แห่งเผ่ากิ้งก่าวายุ ก็ได้คัดเลือกยอดฝีมือประจำเผ่าออกมาจำนวนหนึ่ง เพื่อนำตัวออกไปสำรวจดูความเรียบร้อยรอบกำแพงเมือง รวมถึงเตรียมวางกำลังตั้งด่านเป็นระยะ เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้ใดวิ่งนำฝูงสัตว์อสูรมาที่เมืองของพวกมันได้อีก
แต่เมื่อออกมาพ้นกำแพงเมือง
“ข้าชักรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีแล้วสิ”
จินอู๋ซูมีสีหน้าเคร่งเครียด
มันอยู่รอดในดินแดนอันโหดร้ายอย่างนี้มานานมากพอที่จะมีสัญชาตญาณรับรู้ถึงอันตราย
จินอู๋ซูตระหนักว่าเผ่ากิ้งก่าวายุของมันมีปัญหาใหญ่แล้ว
…
“ท่านแม่ทัพถอยไปก่อน ข้าจะต้านพวกมันไว้เอง”
ฮันปู้ฟู่ยืนอยู่บนโขดหินใหญ่ที่ใกล้จะแตกหักก้อนหนึ่ง ดวงตาของเขาจ้องมองไปยังกองทัพของจักรวรรดิจี้กวงที่เคลื่อนขบวนเข้ามาใกล้ สีหน้าบอกชัดถึงการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยว
บัดนี้ ชุดเกราะของหลิงฉือแปดเปื้อนคราบโลหิตชุ่มโชก เขาลังเลเล็กน้อยก่อนพูดออกมาว่า “ระวังตัวด้วย อย่าทำอะไรวู่วาม ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองหานอวี่ จำเอาไว้ว่าก่อนเที่ยงคืนคืนนี้ เจ้าต้องถอนทัพกลับไปที่นั่น มิเช่นนั้น เจ้าจะไม่มีทางถอนทัพได้อีก”
ฮันปู้ฟู่พยักหน้าโดยไม่ลังเล “แต่หากถึงเวลาข้าน้อยยังไปไม่ถึง ท่านแม่ทัพก็ไม่ต้องรอแล้ว”
หลิงฉือหยุดชะงัก รู้ซึ้งแล้วว่าฮันปู้ฟู่เตรียมใจถวายชีวิตเพื่อปกป้องมาตุภูมิ เขาเอื้อมมือไปตบไหล่เด็กหนุ่มอย่างหนักแน่นและกล่าวว่า “หากเจ้าเชื่อมั่นในตัวเด็กหนุ่มผู้นั้น เจ้าก็ต้องมีชีวิตอยู่รอดกลับไปพบหน้าเขาอีกครั้ง เพราะฉะนั้น อย่าได้กล่าววาจาเช่นนี้ออกมาอีก… เจ้าต้องมีชีวิตรอดกลับไป ข้าจะรอเจ้า”
เมื่อพูดจบแล้ว หลิงฉือก็ไม่กล้าลังเลรีรอ เขานำกองกำลังของตนเองถอนทัพกลับไปตั้งหลักที่เมืองหานอวี่ ซึ่งทัพของหลิงฉือพ่ายแพ้แก่ศัตรูและได้รับบาดเจ็บกันอย่างถ้วนหน้าสาหัสสากรรจ์ไม่น้อย
เขตชายแดนเหนือของพวกเขาถูกบุกทะลวง
พวกเขาพ่ายแพ้แล้ว
ประตูเมือง 16 จุดของจักรวรรดิเป่ยไห่ถูกตีแตก
กองทัพที่เคยมีนายทหารหลายล้านชีวิต ครึ่งหนึ่งล้วนกลายเป็นซากศพ
แม่ทัพชื่อดังจำนวนมากล้มตายไปนับไม่ถ้วน…
ผู้มีพลังขั้นเซียนนามกู่อวี้ ซึ่งมีฉายาว่ากระบี่แปดเขี้ยว ได้ทอดร่างกลายเป็นซากศพที่สมรภูมิแดนเหนือนี้เอง
จักรวรรดิจี้กวงยึดครองแดนเหนือได้อย่างสมบูรณ์
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะการก่อกบฏของตระกูลเว่ย!!