เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 996 หอกเขี้ยวมังกร
ตอนที่ 996 หอกเขี้ยวมังกร
กลิ่นเหม็นเน่าลอยตลบออกมาจากห้องลับ
บนพื้นกองไว้ด้วยของเหลวสีดำที่ไหลออกมาจากซากศพ
บนเบาะรองนั่งที่วางอยู่กลางห้อง นั่งไว้ด้วยโครงกระดูกที่เน่าสลายไปแล้วเกินครึ่ง รูปร่างของมันคล้ายกับมนุษย์ แต่แขนขามีขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมีกรงเล็บแหลมคมและหางยาว…
กลิ่นเหม็นเน่าลอยออกมาจากศพนี้เอง
ในห้องลับบรรจุด้วยบรรยากาศแห่งความตาย
“โอ๊ก…”
นักรบเผ่าจันทราขาวที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดถึงกับต้องหันหน้าหนีไปอาเจียน
“ตายแล้วหรือ?”
ไป๋ไห่เฉาถามด้วยความเหลือเชื่อ
“ใช่ มันตายแล้ว นี่คือศพของจินจงเจ๋อไม่ผิดแน่ หางของมันขาดครึ่ง…” ไป๋ซานเยว่ยกมือบีบจมูกและกวาดสายตาสังเกตสิ่งที่อยู่ภายในห้องลับอย่างระมัดระวัง จนกระทั่งได้ข้อสรุปออกมาในที่สุด
จินจงเจ๋อมีสถานะเป็นหัวหน้าเผ่ากิ้งก่าวายุ ระดับพลังสูงส่ง เผ่าจันทราขาวย่อมรู้ดีว่าศัตรูของตนเองแข็งแกร่งเช่นไร
เหล่าผู้อาวุโสของเผ่าจันทราขาวก็เดินเข้ามาสังเกตการณ์ห้องลับเช่นกัน และท้ายที่สุด พวกเขาก็ได้ข้อสรุปเช่นเดียวกับไป๋ซานเยว่
หลังจากนั้น ทุกคนก็ได้แต่หันมองหน้ากัน
ไม่มีใครคิดเลยว่าจินจงเจ๋อผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทาน จะมาเน่าตายอยู่ในห้องลับแห่งนี้
ตัวมันมีพลังขั้นเซียนระดับสูง แต่กลับต้องมาตายโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แม้แต่ซากศพก็เน่าเปื่อยแล้ว
“นี่คงไม่ใช่เรื่องปกติแล้วกระมัง?”
หลินเป่ยเฉินที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ พลันพูดขึ้นมาว่า “ผู้ที่มีพลังขั้นเซียน ต่อให้ตาย ร่างกายก็ไม่สมควรเน่าเปื่อยเร็วไวขนาดนี้ไม่ใช่หรือ?”
“ท่านหมอผี ได้โปรดเข้ามาตรวจสอบด้วย”
หัวหน้าเผ่าไป๋ไห่เฉาออกคำสั่ง
ชายชราร่างเล็กผู้สวมใส่หมวกหนังสัตว์สีเทาและแบกตะกร้าไม้ไผ่บรรจุโหลใส่ยาจำนวนมากอยู่บนแผ่นหลัง ที่ลำคอห้อยเขี้ยวสักจำนวนมาก เดินแหวกกลุ่มคนเข้าไปในห้องลับ
หลังจากนั้นไม่นาน
“ถูกวางยาพิษ”
หมอผีเดินกลับออกมา ผมสีดำยาวสยายปิดบังใบหน้า ทำให้หลินเป่ยเฉินมองไม่เห็นว่าหมอผีผู้นี้มีหน้าตาเช่นไร แต่เสียงของหมอผีฟังดูมั่นใจมาก “ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นยาพิษสลายเนื้อละลายกระดูกของพวกคนแคระเขียวอีกด้วย”
“ว่าอะไรนะ?”
“มันจะเป็นไปได้อย่างไร?”
“เหตุไฉนถึงเป็นเช่นนี้…”
หลายคนอุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนก
บรรดาผู้อาวุโสของเผ่าจันทราขาวแทบไม่อยากเชื่อสายตาของตนเอง
เผ่ากิ้งก่าวายุเป็นหนึ่งในผู้ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมากที่สุดของดินแดนแห่งนี้ อีกทั้งพวกมันยังมีระดับพลังแข็งแกร่ง หากจะนับลำดับชั้นดูแล้ว นอกจากพวกมันจะแข็งแกร่งกว่าเผ่าจันทราขาว เผ่ากิ้งก่าวายุก็ยังแข็งแกร่งมากกว่าเผ่าคนแคระเขียวอีกด้วย
แต่ปรากฏว่า หัวหน้าเผ่ากิ้งก่าวายุกลับถูกเผ่าคนแคระเขียววางยาพิษจนเสียชีวิตในห้องเก็บตัวของตนเอง?
พวกคนแคระเขียวสามารถทำได้อย่างไร?
ดูจากปฏิกิริยาก่อนเสียชีวิตของผู้อาวุโสใหญ่จินอู๋ซู เห็นได้ชัดว่ามันยังไม่รู้ว่าจินจงเจ๋อหัวหน้าเผ่าของตนเองได้เสียชีวิตไปแล้ว
เรื่องนี้ต้องตรวจสอบอย่างระมัดระวัง
“ตายแล้วก็ถือว่าไม่เป็นไร”
ไป๋ไห่เฉากลับพูดออกมาอย่างไม่สนใจสักเท่าไหร่นัก “ดีเสียอีก พวกเราจะได้ไม่ต้องเหนื่อยแรง ทุกคนฟังคำสั่งให้ดี สองชั่วยามต่อจากนี้ ไล่ล่าสังหารมนุษย์กิ้งก่าที่ยังเหลืออยู่ในเมืองให้หมดสิ้น เก็บข้าวของมีค่าของพวกมันมาให้หมด แล้วหลังจากนั้น พวกเราจะบุกไปโจมตีเผ่าคนแคระเขียว”
“รับทราบขอรับ”
“ขอรับท่านหัวหน้าเผ่า”
เหล่านักรบประจำเผ่าจันทราขาวรีบปฏิบัติตามคำสั่ง ออกไล่ล่าสังหารมนุษย์กิ้งก่าที่ยังเหลือรอดอยู่ในเมืองทันที
หลินเป่ยเฉินเข้าร่วมปฏิบัติการโดยไม่ลังเล
เขาจะปล่อยให้โอกาสดีงามในการเก็บกวาดทรัพย์สินของมีค่าหลุดมือไปได้อย่างไร?
เกิดการต่อสู้ขนาดเล็กขึ้นทั่วเมือง
บรรดานักรบกิ้งก่าที่ซ่อนตัวอยู่ถูกค้นพบในที่สุด พวกมันจู่โจมใส่มนุษย์ด้วยความหมดหวัง แต่โชคร้ายที่เป็นฝ่ายของพวกมันเองต้องนอนตายกลายเป็นซากศพ
ใจกลางเมืองถูกจุดไฟเผา
ศพมนุษย์กิ้งก่าจำนวนมากถูกโยนเข้าไปในกองไฟ
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป
หลินเป่ยเฉินก็เดินหน้าเศร้ากลับมายืนอยู่ที่หน้าวิหารประจำเมือง
เขาไม่พบเจอของมีค่าอันใดเลย
เห็นได้ชัดว่าเผ่ากิ้งก่าวายุยากจนมากเกินไป
อย่าว่าแต่จะมีศิลาบูชา ต่อให้เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ เหรียญทองคำ เหรียญเงิน หรืออัญมณีสักชิ้นก็หามีไม่
ก็ไหนโบราณบอกว่าพวกกิ้งก่าชอบทองคำมากไม่ใช่หรือไง
ถึงได้มีคำเปรียบเปรยที่ว่ากิ้งก่าได้ทอง
แล้วไหนล่ะทองคำ?
นี่แสดงว่าคนโบราณหลอกลวงกันชัด ๆ!
ให้ตายเถอะ
เมื่อการไล่ล่ากวาดล้างจบลง
นักรบจากเผ่าจันทราขาวก็กลับมารวมตัวกันที่จัตุรัสหน้าวิหารอีกครั้ง
พวกเขาสามารถปฏิบัติภารกิจได้ตามระยะเวลาที่กำหนด
แล้วได้อะไรติดมือกลับมาบ้างหรือไม่?
ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสมุนไพร ชุดเกราะหนังสัตว์ เสื้อผ้าหนังสัตว์และกระดูกอสูร
เผ่าจันทราขาวค่อนข้างยากจน ทุกคนใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก
อีกอย่าง เผ่ากิ้งก่าวายุก็ไม่ได้มีผลกวนเจี๋ยปลูกอยู่ในเมือง
หัวหน้าเผ่าไป๋ไห่เฉายืนยันที่จะมอบสมุนไพรจำนวนหนึ่งให้แก่หลินเป่ยเฉิน
“ไม่เป็นไรขอรับ”
หลินเป่ยเฉินปฏิเสธเป็นพัลวัน
ถึงอย่างไร เขาก็ไม่ได้กลับบ้านมือเปล่าอยู่แล้ว
‘หอกเขี้ยวมังกรเล่มนี้นับว่าเป็นอาวุธล้ำค่า ตำนานเล่าขานกันว่ามันถูกสร้างขึ้นมาจากเขี้ยวที่หลุดออกจากปากมังกร มีอานุภาพสังหารได้แม้แต่เทพเจ้า รบกวนผู้อาวุโสจูได้โปรดรับไป’
ไป๋ไห่เฉาใช้หอกเงินในมือเขียนข้อความบนพื้นดิน
หลินเป่ยเฉินดวงตาลุกวาวขึ้นมาทันที
หืม?
หอกเขี้ยวมังกร? สามารถสังหารได้แม้แต่เทพเจ้า?
ของดีนี่หว่า
‘ข้าน้อยไม่อยากรบกวนพวกท่านเลยจริง ๆ…’
หลินเป่ยเฉินเขียนข้อความตอบกลับไป แต่ก็รีบรับหอกเงินมาถือโดยไม่ลังเล
หอกเขี้ยวมังกรเล่มนี้มีความยาวประมาณเจ็ดเซี๊ยะ ลักษณะตัวหอกเป็นสีเงินเรียบลื่นแวววาว ปลายทั้งสองด้านล้วนมีคมไม่ต่างจากเข็มแหลม แต่มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง
หลินเป่ยเฉินลองควงหอกในมือดูเล็กน้อย
หอกเงินสะท้อนแสงเป็นประกายระยิบระยับราวกับเป็นดวงดาราบนฟากฟ้าในฤดูหนาว
“โชคดีนะที่สีสวย เข้ากับข้าได้ดีมาก ๆ แต่น่าเสียดายที่เป็นหอก ไม่ใช่กระบี่”
หลินเป่ยเฉินอดพึมพำออกมาด้วยความเสียดายไม่ได้
แต่คล้ายกับว่าไป๋ไห่เฉาจะสามารถอ่านใจหลินเป่ยเฉินได้ทะลุปรุโปร่ง ชายชราจึงเขียนข้อความลงบนพื้นดินว่า ‘หากผู้อาวุโสจูสามารถค้นพบช่างตีเหล็กฝีมือดีที่สามารถจุดไฟศักดิ์สิทธิ์ได้ ท่านก็จะสามารถนำหอกเล่มนี้ไปหลอมเป็นกระบี่ได้เช่นกัน’
หา?
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
เอาไปหลอมใหม่ได้ด้วยเหรอเนี่ย?
ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าไม่เสียเปล่าแล้ว
เอาไว้กลับไปถึงจักรวรรดิเป่ยไห่เมื่อไหร่ เขาจะขอให้พี่หยางหาวิธีหลอมกระบี่ขึ้นมาสักเล่ม และมันก็จะเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่คู่ควรกับพลังขั้นเซียนของเขาอย่างแท้จริง
หลังจากนั้น ทุกคนก็แยกย้ายไปนั่งพักผ่อนและฟื้นฟูร่างกาย
ก่อนที่กองทัพจะออกเดินทางกันอีกครั้ง
พวกเขาเดินขบวนกันอย่างรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่บนกระบี่บินไปบนท้องฟ้าสำรวจเส้นทางจากด้านบน
ไป๋เสี่ยวเซียวยืนกอดเอวเขาอยู่ทางด้านหลัง
ผ่านไปชั่วต้มน้ำเดือด หลินเป่ยเฉินก็พูดตะกุกตะกักออกมาว่า “เจ้าอย่าเอาลูกกลมของเจ้ามากระแทกผู้คนสิ ข้าเสียสมาธิหมดแล้ว”
“อิอิ…”
ไป๋เสี่ยวเซียวหัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจ
หลายคืนที่ผ่านมา เขาและนางเริงรักกันจนชุ่มฉ่ำ ในที่สุดก็เริ่มเรียนรู้ภาษาของกันและกันบ้างแล้ว โดยเฉพาะเวลาที่หลินเป่ยเฉินสบถคำหยาบออกมา บัดนี้ ไป๋เสี่ยวเซียวก็ถึงกับเข้าใจได้แล้วหลายส่วน
แต่นางไม่ได้สนใจ ยังคงเอาถันของตนเองบดเบียดถูไถใส่แผ่นหลังเขาอย่างสนุกสนานต่อไป
หลินเป่ยเฉินทนไม่ได้ก็ต้องทนต่อไปอีกครั้ง
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป
“ถึงแล้ว”
หลินเป่ยเฉินหยุดกระบี่กลางอากาศและก้มมองลงไป
ด้านล่างเป็นป่าหินสีเขียวครึ้ม มีเนินเขาปรากฏให้เห็นอยู่บ้าง และท่ามกลางเนินเขานั้นก็มีเมืองสีเขียวแห่งหนึ่งตั้งให้เห็นอย่างเด่นชัด
ด้านหน้ากำแพงเมือง ปรากฏซากศพสัตว์อสูรจำนวนมากกองทับถมเป็นภูเขาเลากา กลิ่นเหม็นเน่าลอยไปไกลในอากาศ
นี่คือผลงานที่หลินเป่ยเฉินล่อให้ฝูงสัตว์อสูรมาเล่นงานพวกมันเมื่อไม่กี่วันที่แล้ว
ขณะนี้ คนแคระเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนวิ่งวุ่นมาที่กำแพงเมือง
ชาวเผ่าจันทราขาวไม่รีบร้อนโจมตี
ท่านหมอผีนำสมุนไพรออกมาจากตะกร้าไม้ไผ่ และจัดการรมควันให้ควันพิษนั้นลอยไปทางกำแพงเมือง
เผ่าคนแคระเขียวมีความชำนาญเรื่องการใช้ยาพิษ เพราะฉะนั้น พวกเขาต้องป้องกันเอาไว้ก่อน
“บุกได้”
ไป๋ไห่เฉายกมือส่งสัญญาณ
เหล่านักรบประจำเผ่าพุ่งทะยานออกไปข้างหน้าราวกับหมาป่าผู้เคียดแค้น
การต่อสู้เริ่มต้นขึ้น
หลินเป่ยเฉินถือหอกเขี้ยวมังกรยืนสังเกตการณ์
สถานการณ์เป็นไปอย่างที่คิด นี่คือการไล่ล่าสังหารแต่เพียงฝ่ายเดียว
ในไม่ช้า เผ่าจันทราขาวก็สามารถทลายกำแพงเมืองบุกเข้าไปด้านในได้ในที่สุด
หลินเป่ยเฉินกำลังจะควบคุมกระบี่บินตามไป แต่แล้วก็มีเสียงข้อความแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชัน Keep ดังขึ้นในหัว…
‘ติ๊ง!’
‘ท่านได้ทำภารกิจสำเร็จแล้ว ต้องการตรวจสอบเลยหรือไม่?’