เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 999 งานเลี้ยงฉลอง
ตอนที่ 999 งานเลี้ยงฉลอง
บรรยากาศกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง
“พวกเราเตรียมตัว…”
องค์จักรพรรดิยกแขนขึ้นสูง
เมื่อได้รับคำสั่ง นายทหารมือธนูและนายทหารผู้ควบคุมปืนใหญ่อาคมบนกำแพงเมืองก็โคจรพลังลมปราณ เตรียมเล็งเป้าหมายไปยังกลุ่มผู้บุกรุก…
แต่ทันใดนั้นเอง
“ช้าก่อน นั่นมันนายท่าน…”
เฉียนเหมยดวงตาลุกวาวขึ้นมาในทันใด นางเห็นหลินเป่ยเฉินถูกห้อมล้อมอยู่กลางกลุ่มคนป่าหน้ากำแพงเมือง หลังจากนั้น สาวรับใช้ก็อุทานว่า “นายท่านถูกจับตัว นายท่านกำลังจะตาย นายท่านตกอยู่ในอันตราย ข้าจะไปช่วยเหลือนายท่าน…”
ได้ยินเสียงดังฟึบ แล้วเฉียนเหมยก็กระโดดออกไปจากกำแพงเมือง
ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์หลวงโหลวซานกวนตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุด คุณชายหลินก็กลับมาแล้ว
แต่กลับมาในสถานะนักโทษ
จบสิ้นแล้ว
ทุกอย่างจบสิ้นแต่เพียงเท่านี้
บรรดานายทหารแสดงสีหน้าหมดหวัง
แต่ลมหายใจต่อมา…
เพี๊ยะ!
เมื่อมองไปที่หลินเป่ยเฉินผู้อยู่กลางวงล้อมของกลุ่มคนป่า เด็กหนุ่มก็กระโดดออกมายืนอยู่ตรงหน้าเฉียนเหมย และกำมือเขกหน้าผากเด็กสาวไปหนึ่งโป๊ก
“ถูกจับตัวอย่างนั้นหรือ?”
คุณชายหลินกล่าวด้วยความขุ่นเคืองใจ “ในสายตาของเจ้า ข้าจะถูกจับตัวได้ง่ายดายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินยังคงแสดงกิริยาก้าวร้าวไร้มารยาทของเขาตามเดิม เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มจอมเสเพลมิได้ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายใด ๆ เลย
“อ้าว นายท่านไม่ได้ถูกจับตัวหรือเจ้าคะ?”
เฉียนเหมยยกมือถูหน้าผากตนเองด้วยความดีใจ จากนั้นจึงโถมตัวเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของหลินเป่ยเฉินและซุกใบหน้าเข้ากับหน้าอกของเขาราวกับแมวน้อยตัวหนึ่ง
ในกลุ่มคนป่า เมื่อไป๋เสี่ยวเซียวเห็นภาพนี้ คิ้วของนางก็เลิกขึ้นเล็กน้อย
ลมหายใจต่อมา เฉียนเจินก็วิ่งเข้ามาด้วยเช่นกัน
ตามด้วยเซียวปิง อากวง…
และพ่อบ้านหวังจงที่ต้องอาศัยการช่วยเหลือจากนักรบเกราะเงินสองคนก็กระโดดลงมาจากกำแพงเมือง วิ่งมาคุกเข่าอยู่แทบเท้าหลินเป่ยเฉิน
“นายน้อย ฮื่อ ๆ ในที่สุดนายน้อยก็กลับมาแล้ว”
หวังจงขยับเข้ามากอดขาหลินเป่ยเฉินเช็ดน้ำตาและน้ำมูกเข้ากับขากางเกงของผู้เป็นเจ้านาย “หวังจงนึกว่านายน้อยเสียชีวิตเสียแล้ว ที่ผ่านมาหวังจงเศร้าโศกเสียใจเหลือเกิน หากหวังจงสูญเสียนายน้อยไป ก็ไม่ต่างจากหวังจงสูญเสียบุตรชายของตนเอง…”
ผลั่ก!
หลินเป่ยเฉินกระโดดถีบพ่อบ้านหวังลอยกระเด็นไปติดกำแพงเมือง
ไอ้เฒ่านี่
ชอบยึดถือเขาเป็นบุตรชายของตนเองอยู่เรื่อย
เฉียนเจินวิ่งเข้ามาสู่อ้อมอกของหลินเป่ยเฉิน นางโอบแขนรอบลำคอของเขาด้วยความเอียงอาย แต่ถึงกระนั้น ก็ยังนำแก้มของตนเองมาแนบชิดกับแก้มของหลินเป่ยเฉินอยู่ดี…
ในกลุ่มคนป่า เมื่อไป๋เสี่ยวเซียวเห็นภาพนี้ ดวงตาของนางก็ต้องเบิกโพลงอีกครั้ง
ความเศร้าโศกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลินเป่ยเฉิน
เฮ้อ
เขาอุตส่าห์ทนการยั่วยวนจากเฉียนเหมยกับเฉียนเจินมาได้ตั้งนาน แต่กลับต้องมาตบะแตกเพราะสาวชาวป่าอย่างไป๋เสี่ยวเซียวแท้ ๆ
เมื่อทักทายกันพอเป็นพิธีแล้ว หลินเป่ยเฉินก็เดินกลับขึ้นไปบนกำแพงเมือง
“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมได้นำกองทัพหลวงมามอบให้แก่พระองค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ…” หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
แต่น่าเสียดายที่องค์จักรพรรดิไม่ได้ตลกด้วย ท่านทรงถามกลับมาทันทีว่า “เจ้าพาปีศาจพวกใดกลับมาที่นี่?”
องค์จักรพรรดิชี้มือไปทางเผ่าจันทราขาวที่ยืนรวมตัวกันอยู่หน้ากำแพงเมือง แต่แล้วกลับต้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “กองทัพหลวง? หมายถึงพวกเขาอย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก
การกระทำความดีแล้วไม่ได้รับคำชมเชยนี่มันน่าท้อใจจริง ๆ
หลินเป่ยเฉินบอกเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทั้งหมดอย่างรวบรัดและกล่าวสรุปว่า “หัวหน้าเผ่าไป๋มาที่นี่เพื่อขอเป็นพันธมิตรกับพวกเรา กราบทูลฝ่าบาท ตราบใดที่เราเป็นพันธมิตรกับพวกเขา ก็จะถือว่าภารกิจครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์เช่นกันไม่ใช่หรือ?”
ไม่มีใครตอบคำถามของเด็กหนุ่ม
ผู้คนที่ยืนอยู่บนกำแพงเมือง ไม่ว่าจะเป็นองค์จักรพรรดิ อัครเสนาบดีจั่วเซียง แม่ทัพใหญ่เกาเฉิงฮั่นล้วนตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก
พวกเขาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่หลินเป่ยเฉินพูด
นี่คือความฝันใช่หรือไม่?
นี่ต้องเป็นความฝันแน่ ๆ
องค์จักรพรรดิลองหยิกต้นขาของตนเอง
จั่วเซียงลองกัดลิ้นของตนเองอย่างแรง
เกาเฉิงฮั่นมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวมากที่สุด เขาถึงกับชักกระบี่ออกมาแทงตนเองจนเลือดพุ่งกระฉูด…
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม
นี่แหละ
ภาพที่เขาอยากเห็น
ทุกคนตกตะลึง
ทุกคนไม่อยากเชื่อ
แล้วทุกคนก็จะต้องเคารพบูชาเขา
อุ๊วะฮ่า ๆๆ ถึงกับอึ้งกันไปเลยล่ะสิ
นี่แหละผลลัพธ์ที่เขาต้องการ
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ทรงตื่นขึ้นมาได้แล้ว”
หลินเป่ยเฉินยิงฟันยิ้มและกล่าวต่อ “หัวหน้าเผ่าไป๋ที่อยากจะขอเป็นพันธมิตรกับพวกเรานั้น มีพลังขั้นเซียนระดับห้า เราอย่าปล่อยให้เขารอนานดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิสะดุ้งโหยงคล้ายกับเพิ่งหลุดออกมาจากความฝัน
“อ้อ… สิ่งที่เจ้าพูดออกมาเป็นความจริงหรือ?”
ไม่ใช่ว่าพระองค์ท่านไม่อยากเชื่อ แต่เป็นเพราะเรื่องนี้มันน่าเหลือเชื่อมากเกินไป
“ย่อมเป็นความจริง กระหม่อมเคยโกหกพระองค์ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หลินเป่ยเฉินยกมือตบหน้าอกตนเองด้วยความมั่นใจ
องค์จักรพรรดิหันหน้ากลับไปมองอัครเสนาบดีอย่างพูดอะไรไม่ออก จากนั้นจึงได้จัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมและกล่าวว่า “ทุกคนตามข้าออกไปพบกับหัวหน้าเผ่าไป๋”
หลังจากนั้น องค์จักรพรรดิและกลุ่มนายทหารผู้ติดตามระดับสูงก็ก้าวลงมาจากขั้นบันไดของกำแพงเมืองด้วยความรวดเร็ว
บัดนี้ เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังกังวานไปทั่วกำแพงเมือง
นายทหารจำนวนมากถึงกับร่ำไห้ออกมา
ในความมืดมิดที่น่าหมดหวัง สุดท้าย เด็กหนุ่มที่พวกเขารอคอยก็กลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง
ปรากฏตัวพร้อมกับชัยชนะ
ปรากฏตัวพร้อมกับแสงสว่าง
ทุกคนตะโกนเรียกชื่อหลินเป่ยเฉินดังกึกก้องไปทั่วเมือง
“หลินเป่ยเฉิน! หลินเป่ยเฉิน!”
เสียงตะโกนเรียกชื่อเด็กหนุ่มดังกังวานไปทั่วแผ่นฟ้า สะท้อนสะท้านทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มและโบกมือทักทายทุกคน
นี่แหละสิ่งที่เขาทำควรได้รับ
ถ้าเขาก่อกบฏโดยสังหารองค์จักรพรรดิเสียเดี๋ยวนี้ คนเหล่านี้ก็คงยอมสวามิภักดิ์กับเขาใช่หรือไม่?
เพียงแค่คิดก็มีความสุขแล้ว
หลินเป่ยเฉินรับหน้าที่เขียนข้อความบนพื้นดิน แปลภาษาให้ทั้งสองฝ่ายได้เจรจากัน
แต่ไม่ว่าหลินเป่ยเฉินพูดคำใด ชาวเผ่าจันทราขาวย่อมไม่มีการโต้แย้ง
และทางด้านจักรวรรดิเป่ยไห่ พวกเขาต้องการเพียงทำภารกิจครั้งนี้ให้สำเร็จลุล่วง ดังนั้น องค์จักรพรรดิจึงลงนามในสัญญาพันธมิตร โดยไม่มีความคิดที่จะมาบุกรุกดินแดนแห่งนี้แม้แต่น้อย
เพราะฉะนั้น บรรยากาศของการเจรจาจึงดำเนินไปด้วยความราบรื่นและมีความสุข
แต่ชาวเผ่าจันทราขาวรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
ด้วยความสามารถที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานของผู้อาวุโสจู เด็กหนุ่มสมควรเป็นผู้นำกองทัพเป่ยไห่ แต่เห็นได้ชัดว่าเขากลับต้องรับคำสั่งจากชายวัยกลางคนท่าทางอ่อนแอผู้หนึ่ง และนายทหารแทบทุกคนในกองทัพเป่ยไห่ก็ล้วนแต่อ่อนแอมากเกินไปทั้งสิ้น
องค์จักรพรรดิและนายทหารผู้ติดตามต่างก็สงสัยใจเป็นอย่างยิ่งว่าคุณชายหลินทำได้อย่างไรถึงโน้มน้าวใจให้คนป่าเหล่านี้มาเป็นพันธมิตรกับพวกเขาได้ นอกจากยอมเป็นพันธมิตรแล้ว เผ่าจันทราขาวยังช่วยกำจัดเผ่ากิ้งก่าวายุและเผ่าคนแคระเขียวให้ด้วย มิหนำซ้ำ สายตาที่ชาวเผ่าจ้องมองหลินเป่ยเฉินก็เต็มไปด้วยความเคารพเทิดทูนไม่ต่างจากสายตาที่ใช้จ้องมองหัวหน้าเผ่า
การลงนามผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“ในที่สุดภารกิจก็เสร็จสิ้นแล้ว”
องค์จักรพรรดิกลับมาสงบจิตใจได้อีกครั้งและพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
พวกเขาสามารถทำภารกิจเสร็จได้ตามกำหนดเวลา
ส่วนการประเมินหลังจากนี้ ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นกังวลอีกแล้ว ชัยชนะของจักรวรรดิเป่ยไห่อยู่แค่เอื้อมมือเท่านั้น
จักรวรรดิเป่ยไห่ต้องผ่านการประเมินอย่างแน่นอน
ดังนั้น องค์จักรพรรดิจึงสั่งให้กองทัพเป่ยไห่จัดงานเลี้ยงรับรองแขกผู้เป็นพันธมิตรใหม่
ทุกคนดื่มสุรารับประทานอาหารกันอย่างอิ่มหนำ
เซียวปิงต้องสวมบทบาทพ่อครัวใหญ่ ทำอาหารจนเหงื่อโทรมกายอีกครั้ง
และนี่เป็นครั้งแรกที่ชาวเผ่าจันทราขาวได้ลิ้มรสสุรา พวกเขาดื่มกินร้องเพลงเต้นระบำกันด้วยความเมามายและมีความสุข
แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่เข้าใจภาษาของกันและกัน แต่การกระทำและสีหน้าก็สามารถบรรยายได้ดีกว่าคำพูดหลายเท่า
อีกอย่าง พวกเขายังมีหลินเป่ยเฉินคอยทำหน้าที่ล่ามแปลภาษา
“หลินเป่ยเฉิน ครั้งนี้เจ้าช่วยข้าไว้อีกแล้ว”
เมื่อองค์จักรพรรดิร่ำสุราได้ที่ พระองค์ท่านก็เริ่มให้คำสัญญาด้วยความเมามาย “ข้ายังมีบุตรสาวที่ไม่ได้แต่งงานอีกเป็นจำนวนมาก แต่ละคนล้วนมีความงามไม่เป็นรองใครในใต้หล้า เจ้าสามารถเลือกได้เลยตามใจชอบ…”
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายแวววาวขึ้นมาในทันใด “เลือกกี่คนก็ได้ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
องค์จักรพรรดิ์แทบสำลักสุรา “เจ้าโลภมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
หลินเป่ยเฉินรีบหยิบกระดาษออกมาคำนวณราคา “ถ้าอย่างนั้น เรามาประเมินศิลาบูชาที่ท่านต้องจ่ายกระหม่อม…”
“ไม่เป็นไร”
องค์จักรพรรดิรีบโบกมือปฏิเสธ “เจ้าจะเลือกกี่คนก็ได้ตามสบาย”
หลินเป่ยเฉินครุ่นคิดอย่างมีความสุข หากเขานำองค์หญิงเหล่านั้นออกไปประมูล ก็น่าจะได้ศิลาบูชาหลายพันก้อนเลยทีเดียว
โดยเฉพาะอนาคตของจักรวรรดิเป่ยไห่ที่กำลังจะสดใสโชติช่วงชัชวาล และหากจักรวรรดิจี้กวงล่มสลาย องค์หญิงแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่ย่อมมีราคาสูงมากกว่าเดิมหลายเท่า
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งมีความสุขเท่านั้น
แต่นี่เขาใจทรามเกินไปหรือเปล่านะ?
เมื่อเวลานั้นมาถึง หลินเป่ยเฉินก็ตั้งใจจะให้องค์หญิงแต่ละคนได้มีสิทธิ์เลือก เขาเพียงต้องการค่าตัวของพวกนางเท่านั้น หากมีใครถามหาค่าสินสอดทองหมั้นจากเขา หลินเป่ยเฉินก็จะสังหารมันผู้นั้นทิ้งไปเสีย
นี่คืออนาคตอันแสนสดใสที่กำลังรอคอยเขาอยู่
ทันใดนั้น ไป๋เสี่ยวเซียวเดินเข้ามานั่งลงบนตักของหลินเป่ยเฉินท่ามกลางสายตาของทุกคน ก่อนที่นางจะโอบแขนรอบลำคอของเขา และป้อนสุราจากในปากของนางเข้าสู่ปากของเขา!
เมื่อเห็นเช่นนี้ นายทหารแห่งกองทัพเป่ยไห่ล้วนตกตะลึงพรึงเพริด