เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 1013 สายฟ้าที่เปลี่ยนทิศทาง
บทที่ 1013 สายฟ้าที่เปลี่ยนทิศทาง
“ไม่!” ฉู่โหยวเจากรีดร้อง แม้ว่านางจะกลัวจนตัวสั่นไปทั้งตัว แต่ยังไม่ยอมขยับถอยแม้แต่น้อย
นางไม่รู้ว่าตัวเองทำอย่างนี้เพราะพี่สาวคนโตหรือเพราะพี่เขยช่วยชีวิตนางมาหลายครั้งแล้ว นางรู้แต่เพียงว่าไม่อยากเสียใจไปตลอดชีวิต
จ้าวจื่อจ้องเขม็งไปที่ฉู่โหยวเจา “นายน้อยฉู่ อย่าบังคับข้าให้ต้องใช้กำลัง!”
ตระกูลฉู่แห่งเมืองจันทร์กระจ่างแข็งแกร่งก็จริง แต่พวกเขาปฏิเสธข้อเสนอของราชันลมปราณซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฝ่ายของราชันลมปราณเริ่มหมดความอดทนกับพวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ
เขาไม่ได้ให้โอกาสนางเพราะเห็นแก่ตระกูลฉู่ แต่เป็นเพราะตระกูลฉิน
อย่างไรก็ตาม หากฉู่โหยวเจายังคงปฏิเสธที่จะหลีกทาง ไม่มีทางที่แม่ทัพทั้งสองของตระกูลฉิน จะตำหนิเขาสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้
แรงกดดันของผู้บ่มเพาะอันดับแปดทำให้ร่างกายของฉู่โหยวเจาสั่นสะเทือนอย่างควบคุมไม่ได้ นางอยากให้ฉู่ชูเหยียนอยู่ที่นี่ ผู้ชายที่อยู่ข้างหน้าสามารถทุบนางตายได้ด้วยนิ้วเดียว นางจึงโหยหาพี่สาวคนโตอย่างจับใจ
อย่างไรก็ตาม นางตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่ามันไม่ได้แตกต่างแม้พี่สาวคนโตของนางจะอยู่ที่นี่ก็ตาม เพราะฉู่ชูเหยียนไม่ใช่ผู้บ่มเพาะระดับแปด!
แม้ในใจลึก ๆ จะเต็มไปด้วยความกลัว แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังคงกางแขนออกอย่างดื้อรั้นและไม่ยอมเคลื่อนไหว
“พี่ฉู่!” มู่หรงชิงเหอเริ่มตื่นตระหนก นางคิดว่าตัวเองควรจะทำให้ชายในดวงใจสลบและพาออกไปดีหรือไม่ แม้ว่าเขาจะตำหนินางในภายหลัง อย่างน้อยเขาก็ยังมีชีวิตอยู่!
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากด้านหลังทั้งสองคน “โหยวเจา นั่นคือความจริงใจทั้งหมดที่เจ้ามีต่อพี่เขยเหรอ?”
ฉู่โหยวเจาตัวสั่นและหันไปด้วยความไม่เชื่อ นางเห็นซูอันยืนอยู่ข้างหลังและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“พี่เขย!” ฉู่โหยวเจาอุทานอย่างเหลือเชื่อ นางยิ้มกว้างด้วยความปิติยินดี “ท่านเป็นอะไรมากไหม?”
ซูอันพยักหน้าเล็กน้อย “ไม่ต้องกังวล หมัดของเขาแค่แรงไปหน่อย แต่มันไม่ได้มากมายอะไร”
จ้าวจื่อที่กำลังยิ้มอย่างเย่อหยิ่งหรี่ตาลง “มันจะเป็นไปได้อย่างไร?”
เขาแน่ใจว่าหมัดของเขาทำให้กระดูกอกของคู่ต่อสู้แตกได้ ผู้ชายคนนี้จะกลับมายืนได้อย่างไร? ไม่เพียงแค่นั้นคลื่นพลังของซูอันกลับดูหนาแน่นกว่าเมื่อก่อน
ซูอันไม่สนใจเขา และพูดกับฉู่โหยวเจาว่า “โหยวเจาออกไปก่อน ข้ามีบางอย่างจะตกลงกับชายผู้นี้”
เขาต้องยอมรับว่าน้องสาวคนเล็กของตระกูลฉู่นี้ถึงแม้จะดูเหมือนเด็กเหลือขอ แต่ภายใต้เปลือกนอกที่แข็งกระด้างของนาง ภายในนั้นอ่อนโยนมาก ดูเหมือนว่าการช่วยชีวิตนางไว้จะไม่สูญเปล่า
“เข้าใจแล้ว!” เมื่อเห็นว่าเขาสบายดี ฉู่โหยวเจาจึงถอยออกไปด้านข้าง
มู่หรงชิงเหอพูดไม่ออก ท่านไม่กระดิกตัวเลยเมื่อข้าพยายามโน้มน้าวใจท่าน แต่เพียงคำพูดจากพี่เขยของท่าน ทำไมทุกอย่างถึงดูง่ายดายนัก?
ซูอันมองไปที่ขุนนางหนุ่ม “ถึงเวลาที่เราต้องสะสางกันแล้ว”
“ทำไมเจ้าถึงยังดูเป็นปกติอยู่?” ก่อนหน้านี้จ้าวจื่อไม่ได้ตื่นตระหนกเลย ทุกอย่างยังดูเหมือนอยู่ภายใต้การควบคุม อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกถึงความวิตกกังวลครั้งแรก สิ่งที่ไม่รู้เป็นที่มาของความกลัวที่ยิ่งใหญ่เสมอ
ซูอันหัวเราะ “เจ้าต้องโทษตัวเอง หมัดของเจ้าแค่ทำให้ข้าจั๊กจี้เท่านั้น”
จ้าวจื่อเกือบสำลัก หมัดของเขาสามารถทลายกำแพงเมืองลงมาได้ แต่ผู้ชายคนนี้กลับบอกว่ามันทำให้จั๊กจี้เท่านั้น! “ฮึ่ม ข้าไม่รู้ว่าเจ้าใช้วิธีใดในการฟื้นตัวได้เร็วขนาดนี้ แต่เรามาดูกันว่าเจ้าจะฟื้นตัวไปได้ถึงเมื่อไร!”
ทันทีที่คำพูดออกจากปาก เขาก็พุ่งตรงไปที่ซูอันอย่างรวดเร็ว
อย่างไรเสีย สำหรับซูอันแล้วความสามารถในการฟื้นฟูอันทรงพลังของวิชาปฐมบทแรกเริ่มนั้นเข้ากันได้ดีกับวิชาวัฏจักรหงส์อมตะที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเขา ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะบ่มเพาะทั้งวิชาปฐมบทแรกเริ่มและวิชาวัฏจักรหงส์อมตะไปด้วยกัน
แต่น้องภรรยาของเขากำลังเฝ้าดูอยู่ และคนอื่นก็เช่นกัน มันคงดูแย่มากถ้าเขาถูกทุบตีมากเกินไป
‘ช่างเถอะ ชื่อเสียงของข้าสำคัญที่สุด’
ซูอันไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองขายหน้าต่อทุกคนได้จริง ๆ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจจบเรื่องอย่างรวดเร็ว
จ้าวจื่อตกตะลึงเมื่อพบว่าพลังและความเร็วของคู่ต่อสู้เพิ่มขึ้นหลายเท่า อันที่จริงก็พอ ๆ กันกับตัวเขาแล้ว เพิ่มทักษะการเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดเข้าไป ทายาทของราชันลมปราณก็พบว่าตัวเองเสียเปรียบอย่างรวดเร็ว
จ้าวจื่ออยู่ในขั้นเริ่มต้นของระดับแปดเท่านั้น ในขณะที่ซูอันอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับเจ็ดแล้ว นอกจากนี้การบ่มเพาะของซูอันไม่สามารถเทียบได้กับผู้บ่มเพาะทั่วไป เนื่องจากเขาแข็งแกร่งกว่าคนอื่น ๆ ที่มีการบ่มเพาะในระดับเดียวกันมาก
ในแง่ของการบ่มเพาะ ทายาทของราชันลมปราณถือว่าอ่อนแอกว่า
แน่นอนว่าทายาทหนุ่มไม่รู้เรื่องนี้ ยิ่งการต่อสู้ดำเนินไปนานเท่าไร เขายิ่งกังวลมากขึ้นเท่านั้น เมื่อร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล ในที่สุดเขาก็รู้สึกกลัวอย่างแท้จริง เขาพยายามเข้าประชิดตัวซูอันแล้วปลดปล่อยพลังครั้งสุดท้าย
“อัสนีสวรรค์เบิกฟ้า!”
ร่างกายของจ้าวจื่อค่อย ๆ ลอยขึ้นไปในอากาศ เขากางแขนออก ร่างกายปกคลุมไปด้วยแสงสีม่วง
สายฟ้าเส้นหนาพุ่งออกไปทุกทิศทุกทางโดยมีร่างกายของเขาเป็นศูนย์กลาง พื้นที่ทั้งหมดกลายเป็นทะเลสายฟ้า
จ้าวจื่อกัดฟันและพูดว่า “ใครจะสนว่าทักษะการเคลื่อนไหวของเจ้าจะน่าประทับใจแค่ไหน? ในทะเลแห่งสายฟ้านี้ไม่มีที่ไหนให้เจ้าหลบ! ตอนนี้เจ้าจะต้องชดใช้ราคาที่ทำให้ข้าโกรธ!”
ใบหน้าของฉู่โหยวเจาซีดขาวอย่างสมบูรณ์
ผู้หญิงในรถม้าสูญเสียความสงบ “รีบไปช่วยเขา!” นางร้องออกมา
คนขับชราฟันหลอมีสีหน้าเคร่งขรึม เขาเริ่มลุกขึ้นแต่หยุดกระทันหัน “ข้าคงไม่ต้องยุ่งแล้ว”
…
ภายในทะเลสายฟ้าซูอันถอนหายใจและพูดว่า “เจ้ารู้ไหมว่าสิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดในชีวิตนี้คืออะไร? ฟ้าผ่า!”
สิ่งแรกที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อข้ามมายังโลกนี้คือการถูกฟ้าผ่า เขาไม่ต้องการสัมผัสความรู้สึกนั้นอีกเลย
“เจ้าเกลียดมัน แต่มันเป็นสายฟ้าที่กำลังจะลงโทษเจ้าและเจ้าไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ ฮ่า ๆ เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?” ทายาทของราชันลมปราณสามารถระบายความโกรธของเขาได้ในที่สุด ชายคนนี้พูดจาทิ่มแทงเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงเวลาที่มันต้องชดใช้ราคาสำหรับการล่วงเกินเขา “ข้าจะให้โอกาสครั้งสุดท้าย ถ้าเจ้าคุกเข่าลงร้อยครั้ง ข้าอาจไว้ชีวิตเจ้า”
เป็นเวลานานแล้วที่เขาถูกกดดันให้จนมุมแบบนี้ เขาต้องทำให้คู่ต่อสู้อับอายขายหน้าเพื่อระงับความโกรธของตัวเอง
ทายาทของราชันลมปราณคำรามด้วยความโกรธ “ในเมื่อรนหาที่ตายนัก ข้าจะให้เจ้าสมใจ!
“อัสนีสวรรค์ พิพากษา!”
เขายกมือขึ้นสู่ท้องฟ้า เมฆฝนฟ้าคะนองดังกึกก้องอยู่เบื้องบน ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงความกดดันที่น่าสะพรึงกลัว
ด้วยเสียงฟ้าคำราม ใบหน้าที่ชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นภายในเมฆฝนแห่งสายฟ้า
ทันใดนั้น ลูกบอลน้ำขนาดมหึมาได้ปรากฏขึ้นกระทบร่างของทายาทหนุ่มที่ลอยอยู่กลางอากาศ
สายฟ้าที่พุ่งเข้าหาซูอันเปลี่ยนทิศทางไปหาเขาในทันที
“บัดซบ…” ทายาทของราชันลมปราณมีเวลาสบถเพียงครั้งเดียวก่อนที่เขาจะตกลงมาจากกลางอากาศ