เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 1021 ข้าบอกเมื่อไหร่ว่าจะปล่อยมันไป?
บทที่ 1021 ข้าบอกเมื่อไหร่ว่าจะปล่อยมันไป?
หานเฟิงชิวรู้สึกร้อนที่แก้ม เขากล่าวเสริมอย่างรวดเร็วว่า “ทั้งหมดเป็นเพราะข้อจำกัดเกี่ยวกับการบินรอบเมืองหลวง ไม่อย่างนั้นข้าจะจับมันได้ไม่ว่ามันจะเร็วแค่ไหน จริง ๆ ข้าเกือบจับมันได้แล้ว แต่ลุงฟู่คนขับรถม้าของฮูหยินอวี้เข้ามาแทรกแซง ข้าทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าพานายน้อยกลับมาที่นี่”
“ฮูหยินอวี้?” ลมหายใจของราชันลมปราณถี่กระชั้นขึ้น “เจ้ากำลังพูดถึงอวี้เหยียนลั่วงั้นเหรอ?”
“ใช่ ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากนาง” หานเฟิงชิวตอบ
จ้าวจื่อเห็นแววว้าวุ่นในดวงตาของบิดาชั่วขณะ และรู้ว่าเขาควรจะโกรธเคืองแทนมารดา อย่างไรก็ตาม เขารู้ว่าอวี้เหยียนลั่วได้ทำให้เมืองหลวงทั้งหมดตกอยู่ในความระส่ำระสายมาก่อน ในฐานะที่เป็นผู้ชาย เขาเห็นอกเห็นใจพ่อของเขาด้วยใจจริง
“นางกลับเมืองหลวงมาแล้วจริง ๆ เหรอ?” ราชันลมปราณรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เขาเริ่มเดินไปรอบ ๆ ห้อง ในที่สุดจึงหยุดที่หน้าต่างและมองออกไปไกล ๆ ไฟในดวงตาของเขาค่อย ๆ ลุกโชน “น่าเสียดายยิ่งนัก ถ้าเป็นเมื่อสิบปีที่แล้ว ข้าคงทิ้งเรื่องอื่น ๆ แล้วรีบไปพบกับนาง แต่ตอนนี้ข้าไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว”
คงจะดีหากผู้ปกครองใส่ใจเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ใหญ่กว่าเรื่องผู้หญิงมากขึ้น หานเฟิงชิวคิดในใจอย่างประชดประชัน
ราชันลมปราณหันกลับมา “ทำไมอวี้เหยียนลั่วถึงช่วยซูอัน?”
หานเฟิงชิวส่ายหัว เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
จ้าวจื่อพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “บางทีอาจเป็นเพราะซูอันช่วยชีวิตพวกนาง…”
เขาบอกบิดาเกี่ยวกับม้าที่ตกใจ
ราชันลมปราณพยักหน้า “แผนของเจ้าค่อนข้างดี และเจ้าใช้กฎหมายกำกับในทุกการเคลื่อนไหวโดยไม่ปล่อยให้คำสอนของข้าสูญเปล่า”
จ้าวจื่อมีความสุขมาก “ขอบคุณท่านพ่อ!”
เขาไม่ใช่ลูกชายคนเดียวของราชันลมปราณ ดังนั้นจ้าวจื่อจึงอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการเพิ่มช่องว่างระหว่างตัวเองกับทายาทคนอื่น เพื่อป้องกันไม่ให้คนเหล่านั้นมีโอกาสฝันถึงสิ่งที่ไกลเกินเอื้อม
ข้อได้เปรียบของเขามาจากไหน? เห็นได้ชัดว่ามันมาจากการที่บิดาสนใจเขา
“ข้ากลัวว่ามันจะชัดเจนเกินไป” จ้าวจื่ออธิบาย “ตระกูลหลิว ตระกูลเมิ่ง และตระกูลปี่ภายในราชสำนักจะทำให้เกิดความยุ่งยากอย่างแน่นอน ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจกำหนดเป้าหมายเป็นรถม้าที่ผ่านมาแทน รถม้าคันนั้นดูธรรมดามาก เราไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะเป็นรถม้าของอวี้เหยียนลั่ว”
“ฮึ่ม ความประมาทเล็กน้อยสามารถทำลายทุกสิ่งได้” ราชันลมปราณกล่าวตำหนิ “หากพวกราชสำนักสงสัยขึ้นมาล่ะ? เจ้าตระหนี่ไม่ยอมจัดรถม้า เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย จำไว้ว่าเจ้าต้องมีความชัดเจนเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เจ้าสามารถแบกรับได้ และความเสี่ยงใดที่เจ้าไม่สามารถรับได้”
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของท่านพ่อ!” จ้าวจื่อลุกขึ้นโค้งคำนับ น่าเสียดายที่ความเจ็บปวดที่หัวเข่าทำให้เหงื่อไหลลงบนใบหน้าทันที
“เข่าเจ้าหักเหรอ?” ตอนนี้ราชันลมปราณเริ่มตรวจสอบอาการบาดเจ็บของลูกชาย สีหน้าของเขามืดลง
“ข้าเป็นเด็กไร้ความสามารถ ทำให้ท่านพ่อผิดหวัง” จ้าวจื่อรู้ว่าบิดาเกลียดการแก้ตัวมากที่สุด เป็นการดีกว่าที่จะถ่อมตัวและยอมรับในความผิดของตัวเอง
แน่นอนว่าราชันลมปราณมีสีหน้าอ่อนลงเมื่อได้ยิน เขาเอื้อมมือไปลูบหัวเข่าของลูกชายเบา ๆ แสงสีขาวสองดวงปรากฏขึ้นในฝ่ามือของเขา
คิ้วของจ้าวจื่อขมวดเข้าหากันด้วยความเจ็บปวด แต่ในชั่วขณะสีหน้าของเขาก็ค่อย ๆ คลายลง “ขอบคุณท่านพ่อ!”
หานเฟิงชิวถอนหายใจด้วยความชื่นชม ตามที่คาดไว้ การบ่มเพาะของเจ้านายของเขานั้นลึกซึ้ง และสามารถรักษาอาการบาดเจ็บสาหัสได้อย่างง่ายดาย
“ข้าได้ป้องกันความเสียหายไม่ให้มีผลถาวรเท่านั้น เจ้ายังต้องให้หมอรักษา และใช้เวลาสองสามเดือนในการฟื้นฟูร่างกายให้สมบูรณ์” เสียงของราชันลมปราณเย็นชา “จงเก็บความผิดพลาดไปคิดและอย่าทำให้ตัวเองอับอายอีกต่อไป”
จ้าวจื่อดูเหมือนจะไม่พอใจเล็กน้อย แต่เขาไม่กล้าตอบโต้ “เข้าใจแล้ว!”
ความเกลียดชังของเขาต่อซูอันนั้นถึงขีดสุดแล้ว เมื่อเขาฟื้นกำลังขึ้นมาได้เมื่อไร เขาจะสับศพของมันเป็นหมื่นชิ้น!
—
ท่านยั่วยุจ้าวจื่อสำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น +999… +999… +999…
—
“เล่ามาว่าการต่อสู้ของเจ้ากับซูอันเป็นอย่างไรบ้าง” ราชันลมปราณจัดเสื้อผ้าให้เรียบและนั่งลง
เขารู้สึกงุนงงกับความแข็งแกร่งของซูอัน เป็นเพราะวิชาวัฏจักรหงส์อมตะหรือไม่? ถ้าใช่ แล้วฝ่าบาทได้ทรงบ่มเพาะมันไปหรือยัง…?
จ้าวจื่ออดทนต่อความเจ็บปวดและพยายามลุกขึ้นนั่ง จากนั้นจึงเล่าให้บิดาฟัง
ราชันลมปราณฟังและวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้น “ทักษะการเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดของซูอันน่าจะเป็นวิชาร่างก้าวทานตะวันของขันทีมี่ ซูอันอาจถูกกำหนดให้เป็นทายาทของเขา และดูเหมือนว่าเขาจะส่งต่อมันให้กับซูอันในขณะที่อยู่ในเมืองจันทร์กระจ่าง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวิชาร่างก้าวทานตะวันจะมีจุดแข็ง แต่ก็ไม่ควรแสดงประสิทธิภาพออกมาได้ในระดับนี้”
หานเฟิงชิวพูด “ราชันของข้า เมื่อพูดถึงมัน ข้าก็รู้สึกเช่นกันว่าทักษะการเคลื่อนไหวของเด็กนั่นคล้ายกับวิชาร่างก้าวทานตะวัน อย่างไรก็ตาม มีบางอย่างที่แตกต่างออกไป แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจว่าต่างกันตรงไหนก็ตาม”
ราชันลมปราณพยักหน้า เขาหันกลับมามองลูกชาย น้ำเสียงของเขาดูไม่พอใจเล็กน้อย “ถึงแม้ซูอันจะมีทักษะการเคลื่อนไหวแปลก ๆ แต่เจ้ามีการบ่มเพาะถึงระดับแปด จะถูกทุบตีจนมีสภาพอย่างก่อนหน้านี้ได้อย่างไร?”
ใบหน้าของจ้าวจื่อร้อนขึ้น เขาพูดอย่างรวดเร็วว่า “ข้าได้เปรียบตลอดการต่อสู้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม เนื่องจากทักษะการเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดของซูอัน ข้าจึงเบื่อที่จะเล่นซ่อนหา เลยใช้อัสนีสวรรค์เบิกฟ้าดักเขาไว้ในทะเลสายฟ้า”
“แล้ว?” ราชันลมปราณไม่ขยับเขยื้อน สภาพที่น่าสังเวชของลูกชายบอกเขาว่ามันเป็นทางเลือกที่ผิด
เสียงของจ้าวจื่อเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและขุ่นเคือง “จู่ ๆ ลูกบอลน้ำขนาดยักษ์ก็ปรากฏขึ้นและทำให้ข้าเปียก ดังนั้นเมฆสายฟ้าทั้งหมดจึงโจมตีข้าแทน! เมื่อข้าเป็นอัมพาตอย่างสมบูรณ์ ไอ้สารเลวซูอัน… มัน…”
อารมณ์ของจ้าวจื่อยิ่งแย่ลงไปอีกเมื่อคิดว่าตัวเองถูกเหยียบอย่างไร ดวงตาของเขาเริ่มมีน้ำคลอ
ราชันลมปราณจ้องมองอย่างสงบ เมื่อเห็นว่าลูกชายไม่ได้ร้องไห้ออกมา เขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เจ้าใช้ชีวิตง่ายเกินไปจนถึงตอนนี้ นี่เป็นบทเรียนที่ดีสำหรับเจ้า”
จ้าวจื่อไม่กล้าโต้กลับ เขาตอบเพียงว่า “ข้าเข้าใจแล้ว!”
หานเฟิงชิวรีบพูด “นี่หมายความว่ามีผู้บ่มเพาะธาตุน้ำซ่อนตัวอยู่ใกล้ ๆ ถือโอกาสโจมตีนายน้อยในช่วงเวลาสำคัญ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ นายน้อยคงเอาชนะซูอันได้”
“ผู้บ่มเพาะธาตุน้ำ?” ในที่สุดราชันลมปราณก็เห็นด้วยกับเหตุผลนี้ เห็นได้ชัดว่าซูอันได้ปลุกธาตุน้ำแข็ง ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ธาตุน้ำ จะต้องมีผู้บ่มเพาะธาตุน้ำซ่อนอยู่ ปัญหาคือคนผู้นั้นเป็นใคร?
เขาเริ่มคิดถึงรายชื่อผู้บ่มเพาะด้านธาตุน้ำทั้งหมดในเมืองหลวง ผู้ที่กล้าต่อกรกับจ้าวจื่อจะต้องอยู่เหนือระดับของหานเฟิงชิว คิ้วของเขาขมวดขึง
“เมื่อข้าหายดีแล้ว ข้าจะถลกหนังซูอันทั้งเป็น!” จ้าวจื่อกล่าวอย่างอาฆาต
หลังจากฟังการวิเคราะห์ของบิดาและหานเฟิงชิวแล้ว เขาก็ตระหนักเช่นกันว่ามีผู้ใช้ธาตุน้ำช่วยชีวิตซูอันเอาไว้ หากต่อสู้กันอย่างยุติธรรมซูอันย่อมไม่ใช่คู่มือของเขาอย่างแน่นอน
ราชันลมปราณคำราม “เจ้ายังนำความอับอายมาสู่ตัวเองไม่พองั้นเหรอ? เจ้าควรให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูร่างกาย เมื่อฟื้นตัวแล้ว เจ้าจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปไหน อย่าลืมว่าตัวเจ้าเองที่สาบานเรื่องไร้สาระเอาไว้!”
จ้าวจื่อเริ่มตื่นตระหนก “คงไม่เป็นไร ตราบใดที่ข้าไม่พึ่งพาการสนับสนุนจากตระกูลของเรา ครั้งหน้าข้าจะเตรียมตัวให้มากกว่านี้! ข้าสามารถแก้แค้นซูอันได้ด้วยตัวเอง”
ราชันลมปราณดูผิดหวัง “เจ้าคิดว่าการกระทำของเจ้าจะสะท้อนถึงตัวเองเท่านั้นเหรอ? พ่อของเจ้ากำลังเผชิญกับช่วงเวลาสำคัญ สายตาของราชสำนักต่างจับจ้องมาที่ข้า ข้ารักษาชื่อเสียงที่สะอาดไร้มลทินมาโดยตลอด เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่มีเหตุผลอะไรมาโจมตี ถ้าเจ้าสร้างความวุ่นวายขึ้นมา ไม่เท่ากับส่งอาวุธให้พวกเขาเล็งมาที่ฝ่ายเราเหรอ?”
ตอนนี้จ้าวจื่อเข้าใจความกังวลของบิดาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขายังรู้สึกไม่พอใจ “เราจะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ ได้อย่างไร? มันหักขาข้าทั้งสองข้าง! ถ้าเราไม่เอาเรื่อง ตระกูลของเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน การทำให้ข้าอับอายไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ท่านพ่อจะถูกลากลงมาด้วย!”
ราชันลมปราณเย้ยหยัน “อย่าพยายามใช้อุบายกับข้า ข้าบอกเมื่อไรกันว่าจะปล่อยซูอันไปง่าย ๆ?”