เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 1114 ความจริงปรากฏ
บทที่ 1,114 ความจริงปรากฏ
ครั้นได้ยินคำพูดนี้ ซูอันถอนหายใจด้วยความโล่งอกแทน “ข้าคงกลัวมากกว่านี้ถ้าเจ้าไม่ดูอ่อนแอและเขินอายแบบนี้ตลอด”
อวิ๋นอวี้ชิงมองเขาอย่างขัดใจ “รู้ไหมว่าข้าดีกับเจ้าแค่ไหน? อย่าบอกนะว่าไม่รู้สึกอะไรเลย?”
ซูอันหัวเราะเบา ๆ และกอดร่างที่อ่อนนุ่มของนาง “ข้ารู้หรอกว่าเจ้าอ่อนโยนแค่ไหน”
อวิ๋นอวี้ชิงหน้าแดง นางพูดอย่างสนุกสนานว่า “เจ้าน่าจะรู้คำตอบสำหรับคำถามที่เจ้าถามก่อนหน้านี้หลังจากฟังเรื่องทั้งหมดแล้วใช่ไหม?”
ซูอันถอนหายใจและถามว่า “เขาเป็นหนึ่งในผู้บงการงั้นเหรอ?”
อวิ๋นอวี้ชิงพยักหน้า “ข้าเชื่อว่าเป็นเพราะ… สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเราในเมืองแผ่นฟ้าแดนเหนือ จ้าวเหยียนบ้าคลั่งด้วยความหึงหวงจึงหาทางฆ่าเจ้าให้ได้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้เป็นคนวางแผนการโจมตีทั้งหมด ข้ามีคำขอที่เห็นแก่ตัวอย่างข้อหนึ่ง ข้าหวังว่าเจ้าจะปล่อยเขาไปในวันนี้ เพราะเขาผูกพันกับอนาคตของเผ่าปีศาจเรา สำหรับรายละเอียดมันเป็นความลับที่เกี่ยวข้องกับคนในเผ่า ต้องขอโทษที่ข้าบอกเจ้าไม่ได้”
ซูอันอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “เจ้าเป็นคนจับเขา ดังนั้นข้าจะปล่อยให้เจ้าตัดสินใจเองว่าจะจัดการกับเขายังไง ข้าจะฆ่าเขาทำไม?”
อ๋องอู๋เป็นผู้บ่มเพาะระดับปรมาจารย์ ในขณะที่อวิ๋นอวี้ชิงเป็นปรมาจารย์ด้านอักขระลึกลับที่มีทักษะของเผ่าปีศาจทุกประเภท หากทั้งสองร่วมมือกันเล่นงานเขาจริง ๆ วันนี้เขาอาจจะต้องทนทุกข์ทรมานไม่น้อย
อวิ๋นอวี้ชิงยิ้มและพูดว่า “อาซู เจ้าดีที่สุด”
เมื่อซูอันเห็นรอยยิ้มที่ไร้เดียงสานั้น และนึกถึงรูปลักษณ์ที่บอบบางและเอียงอายตามปกติของนาง เขาพบว่ามันยากที่จะเชื่อมโยงนางกับหญิงผู้โหดเหี้ยมที่เขาเคยเห็นเมื่อครู่ เฮ้อ ผู้หญิงยิ่งสวย ยิ่งโกหกเก่งจริง ๆ ด้วย
“ข้ารู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ต้องทำให้เจ้าเสียความรู้สึก ข้าเองก็สะเทือนใจมากเพราะข้าได้ยินว่าเจ้าเต็มใจทิ้งโลกทั้งใบเพื่อข้า ดังนั้นข้าจึงอดไม่ได้ที่จะบอกเขาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรา ข้าไม่อยากให้เจ้าคิดว่าข้าเป็นผู้หญิงรักสนุก… แน่นอน ข้ารู้ว่า ตอนนี้ไม่ว่าข้าจะพูดอะไรก็ไม่มีความหมาย แต่เวลาจะพิสูจน์ทุกอย่างเอง” อวิ๋นอวี้ชิงพูดด้วยอารมณ์เศร้าโศก
ซูอันผ่านเรื่องราวมามากมายและเรียนรู้ที่จะไม่เชื่อทุกสิ่งที่ผู้หญิงบอก เขามีความเชื่อของตัวเองและไม่โต้เถียงกับนางในเรื่องนี้ เขาถามว่า “ว่าแต่ใครกันแน่ที่สมรู้ร่วมคิดกับอ๋องอู๋?”
อวิ๋นอวี้ชิงไม่ได้ปิดบังและพูดตรง ๆ ว่า “ข้าเชื่อว่าเจ้าเดาความจริงได้แล้ว มันคือตระกูลซือนั่นเอง เพราะซือคุนลูกชายสุดที่รักของพวกเขาเสียชีวิตด้วยน้ำมือของเจ้าและองค์หญิงรัชทายาท ถ้าเป็นเพียงเจ้านั่นก็คงเป็นเรื่องหนึ่ง เพราะมีวิธีการมากเกินพอสำหรับตระกูลซือที่จะจัดการกับเจ้าด้วยอำนาจของพวกเขา อย่างไรก็ตาม องค์หญิงรัชทายาทก็เป็นหนึ่งใน ‘ฆาตกร’ เช่นกัน นั่นทำให้พวกเขาจัดการอะไร ๆ ได้ลำบากขึ้น”
“หากรัชทายาทได้เป็นจักรพรรดิ นางก็จะได้เป็นจักรพรรดินี ตระกูลซือย่อมหมดหวังที่จะแก้แค้น อันที่จริงนั่นไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด แต่พวกเขาไม่รู้ว่าองค์หญิงรัชทายาทมีความคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากองค์หญิงรัชทายาทเชื่อว่าตระกูลซือเจ็บแค้นเพราะการเสียชีวิตของซือคุน ในอนาคต ตระกูลซือจะต้องล่มสลายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากที่ทุกคนรู้สถานการณ์ของรัชทายาท ผู้ที่ตัดสินใจทั้งหมดคือองค์หญิงรัชทายาท การทำให้นางขุ่นเคืองย่อมไม่มีผลดีต่อตระกูลซือเลย”
“ตระกูลซือไม่สามารถฝากความหวังไว้กับสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะกำจัดองค์หญิงรัชทายาทเพื่อล้างแค้น เช่นเดียวกับจัดการความกังวลในอนาคตของตระกูลซือ”
ซูอันประหลาดใจ “แต่เมื่อเรื่องนี้ถูกเปิดเผย มันจะทำให้ตระกูลซือขึ้นเขียงแทน!”
อวิ๋นอวี้ชิงตอบอย่างใจเย็น “แต่การทำเช่นนี้ สถานการณ์ย่อมอยู่ในมือของพวกเขา ดีกว่านั่งรอชะตากรรมอย่างเดียว โดยรวมแล้วความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดของพวกเขาในครั้งนี้ก็คือการที่กำหนดเป้าหมายว่าเป็นเจ้า สิ่งที่แต่เดิมควรจะเป็นเรื่องแน่นอนกลับเกิดเรื่องผิดคาดขึ้นมา เจ้าหนีมาได้ในที่สุด”
ซูอันไม่พอใจ “ข้าเป็นเหยื่อ ตกลงไหม? คืนนั้นข้าเกือบจะโดนพวกมันจัดการไปแล้ว”
อวิ๋นอวี้ชิงแสดงสีหน้ารู้สึกผิด “อาซู ข้าขอโทษ ข้าไม่คิดมาก่อนว่าชายที่องค์หญิงรัชทายาทพัวพันกับเรื่องอื้อฉาวด้วยคือเจ้า ไม่เช่นนั้นข้าจะต้องโต้แย้งอย่างแน่นอน”
ซูอันจับมือนางไว้ “ถ้าเจ้าไม่ปรากฏตัว ข้าคงคิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าเป็นคนทำเรื่องทั้งหมดนี้ เจ้าเปิดเผยตัวเองเพราะเห็นแก่ข้า แล้วข้าจะเมินผู้มีพระคุณและสงสัยเจ้าได้ยังไง?”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของอวิ๋นอวี้ชิงอย่างรวดเร็ว
ซูอันอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ว่าแต่ซินรุ่ยเป็นหนึ่งในคนของเจ้าหรือเปล่า?”
อวิ๋นอวี้ชิงส่ายหัว “ไม่ใช่”
ซูอันเริ่มคิดกับตัวเอง จากนั้นเขาพูดต่อว่า “มีบางอย่างที่ข้าคิดไม่ออก มีเพียงอ๋องอู๋และตระกูลซือเท่านั้นที่มีส่วนร่วมในแผนการนี้งั้นเหรอ? มีขั้วอำนาจอื่นอีกไหม?”
อวิ๋นอวี้ชิงมองเขาอย่างว่างเปล่าครู่หนึ่ง หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ถอนหายใจและพูดว่า “อาซู เจ้าฉลาดจริง ๆ อย่างที่เจ้าว่า แท้จริงแล้วมีอีกฝ่ายหนึ่ง ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ข้าไม่สามารถบอกเจ้าได้ว่าเขาเป็นใครด้วยเหตุผลหลายประการ เจ้ารู้ว่าข้าแบกรับชะตากรรมของผู้คนมากมาย ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถขายคนอื่นอย่างเห็นแก่ตัวด้วยเหตุผลส่วนตัวได้”
ซูอันหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “อย่ากังวลเลย ถ้าบอกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร มันดีแล้วที่เจ้าบอกข้าตรง ๆ แทนที่จะพยายามหลอกข้า นอกจากนี้คำพูดของเจ้ายังยืนยันความสงสัยบางอย่างของข้า ดังนั้นข้าควรจะขอบคุณเจ้ามากกว่า”
อวิ๋นอวี้ชิงมองเขาด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน “อาซู เจ้าเข้าใจผู้อื่นได้ดีเสมอ”
ซูอันหัวเราะเบา ๆ ขณะที่เขาโอบนางเข้าสู่อ้อมกอด “ที่จริงแล้วข้าถอดเสื้อผ้าได้ดีกว่านะ”
“เจ้ามันบ้า…” อวิ๋นอวี้ชิงแสร้งทำหน้ามุ่ย แก้มของนางแดงก่ำ
…
หลังจากเวลาผ่านไป ซูอันตรวจสอบอ๋องอู๋ที่กำลังหลับสนิท เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล “เจ้าวางแผนจะทำอะไรต่อจากนี้? เจ้ากลายเป็นศัตรูกับเขาแล้ว เมื่อเขาตื่นขึ้น ข้าไม่คิดว่าเขาจะปล่อยเจ้าไป”
อวิ๋นอวี้ชิงยิ้ม “อย่ากังวลไป หลังจากได้รับความทุกข์ทรมานจากเนตรปีศาจของข้า เขาจะลืมทุกอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้น”
ซูอันประหลาดใจ “ทักษะเนตรปีศาจของเจ้าช่างเหลือเชื่อจริง ๆ… ได้โปรดอย่าใช้มันกับข้านะ”
อวิ๋นอวี้ชิงพูดอย่างอารมณ์เสีย “จำไม่ได้หรือว่าข้าใช้มันต่อเจ้าแล้วในเมืองแผ่นฟ้าแดนเหนือ และผลลัพธ์กลับกลายเป็นข้าที่ต้องเสียเปรียบ”
ซูอันยิ้มเมื่อนึกถึงวิธีที่พวกเขาพบกันครั้งแรก
จากนั้น อวิ๋นอวี้ชิงกล่าวว่า “ใช่แล้ว คนที่พยายามลอบสังหารเจ้าถูกกองกำลังป้องกันเมืองพบตัวเข้า ข้าเชื่อว่าเจ้าน่าจะสามารถไขคดีของเจ้าได้ในไม่ช้า จ้าวเหยียนและข้าจะออกจากเมืองหลวงโดยเร็วที่สุดเพื่อไม่ให้เราถูกลากเข้าไปเกี่ยวด้วย จากกันครั้งนี้ไม่รู้เมื่อไรจะได้เจอกันอีก”
ซูอันค่อย ๆ ลูบไล้ผมบริเวณขมับของนาง “เราจะพบกันใหม่ แม้ห่างกันไกลแค่ไหน หากโชคชะตาได้กำหนดไว้แล้ว ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะโชคชะตาหรอกหรือที่เราได้พบกันอีกครั้ง?”
“แล้วเราจะได้พบกันอีกถ้าโชคชะตาเป็นใจ?” ดวงตาของอวิ๋นอวี้ชิงสว่างขึ้น ขณะที่พึมพำคำเหล่านั้นกับตัวเอง นางมองซูอันอย่างชื่นชม “อาซู ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมีทักษะการพูดจาสำบัดสำนวนเช่นนี้”
ซูอันรับบทเป็นนักลอกเลียนแบบนักกวีอย่างไร้ยางอาย เขาโอบนางไว้ในอ้อมกอดแล้วถามว่า “ตอนนี้เจ้าชอบข้ามากขึ้นบ้างไหม?”
“เจ้ามันไร้ยางอาย…”