เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 1133 เกษตรผสมผสาน
บทที่ 1133 เกษตรผสมผสาน
“เป็นศิษย์น้องแปด” ชาวนาชราโยนจอบทิ้งแล้วเอาผ้าขนหนูที่พาดไหล่อยู่เช็ดเหงื่อ เขาส่งยิ้มที่เรียบง่ายและจริงใจให้นาง
“ศิษย์พี่เจ็ดกำลังวิจัยพืชผลใหม่หรือเปล่า?” เจียงลั่วฝูมองไปที่พืชผลสีเขียวชอุ่มรอบตัวด้วยความอยากรู้อยากเห็น “กุ้ยช่ายพวกนั้นเหรอ?”
ดวงตาของซูอันเบิกกว้าง เขาเริ่มตั้งคำถามกับชีวิต เจ้าเรียกพวกนั้นว่ากุ้ยช่ายเหรอ?
ชาวนาพูดเสียงเบาว่า “นั่นคือต้นข้าวสาลี…”
“อา?” เจียงลั่วฝูหน้าแดง นางรู้สึกอยากจะมุดรูหนีความอับอายในตอนนี้จริง ๆ นางเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ ชีวิตประจำวันจึงห่างไกลจากเรือกสวนไร่นา จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนางถึงแยกแยะความแตกต่างระหว่างพืชผลต่าง ๆ ได้ยาก
ชาวนาชรายิ้ม “ศิษย์น้องแปดไม่ต้องสนใจหรอก เป็นเรื่องที่เข้าใจได้หากเจ้าไม่รู้จักพืชเหล่านี้”
เจียงลั่วฝูรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง พยายามอย่างดีที่สุดที่จะถามอย่างใจเย็นว่า “ศิษย์พี่เจ็ดกำลังค้นคว้าอะไรอยู่?”
ซูอันรู้สึกประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่านางไม่รู้เรื่องพวกนี้มากนัก แต่นางก็ยังคุยกับเขาอย่างกระตือรือร้น มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับท่าทีของนางที่มีต่ออินซือ
ชาวนาชราชี้ไปที่ต้นกล้าสีเขียวใกล้ ๆ แล้วพูดว่า “ข้าวสาลีมักจะใช้ทรัพยากรในดินมาก หลังจากปลูกแล้วที่ดินจะต้องพักเป็นเวลาหนึ่งถึงสองปีก่อนที่จะปลูกข้าวสาลีได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ผลผลิตของมันต่ำเกินไป นอกจากนี้หากเราทดน้ำอยู่เสมอก็จะทำให้ดินพังทลายได้ง่าย นี่เป็นเหตุผลที่ข้าพยายามหาวิธีแก้ปัญหาที่ทดแทนได้ ข้าพบว่านาข้าวไม่จำเป็นต้องพักและไถพรวน และสามารถเก็บเกี่ยวได้สองถึงสามครั้งต่อปี”
เจียงลั่วฝูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นเป็นข่าวดี ทำไมศิษย์พี่เจ็ดถึงขมวดคิ้วเช่นนี้ล่ะ?”
ชาวนาชราถอนหายใจ “หลังจากนั้นไม่นาน ข้าก็ค้นพบปัญหาใหญ่ ต้าโจวรุ่งเรืองในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดังนั้นจำนวนประชากรจึงเพิ่มมากขึ้น ผลผลิตของนาข้าวถึงขีดจำกัดแล้ว หากเราไม่หาหนทางใหม่ ผืนนาเหล่านี้จะไม่สามารถตอบสนองต่ออัตราการเพิ่มของประชากรได้ ภายในเวลาไม่ถึงยี่สิบปีจะเกิดการขาดแคลนอาหารครั้งใหญ่อย่างแน่นอน”
เดิมทีซูอันเพียงแค่มองไปรอบ ๆ ส่ง ๆ แต่เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมชายคนนี้ ในขณะนั้นเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเจียงลั่วฝูจึงปฏิบัติต่อชาวนาชราคนนี้แตกต่างไปจากอินซืออย่างสิ้นเชิง
การสนทนาทางปัญญาของอินซืออาจเป็นที่นิยมในหมู่ขุนนาง แต่ก็ไม่มีประโยชน์เลยสำหรับคนทั่วไป ตรงกันข้ามกับชาวนาชราผู้นี้ที่คิดเพื่อประชาชนทั้งอาณาจักรไม่ว่าจะเป็นโลกไหนก็ตามผู้ที่อุทิศตนเพื่อคนทั่วไปสมควรได้รับความเคารพ
ชาวนาชรากล่าวว่า “ยังมีอีกปัญหาหนึ่งเกี่ยวกับนาข้าวคือ พืชผลจะเป็นโรคง่ายเกินไป ผิดพลาดเพียงครั้งเดียว การปลูกก็จะล้มเหลวและจะเก็บเกี่ยวพืชผลจากพื้นที่นั้นไม่ได้แม้แต่เมล็ดเดียว ในกรณีนี้ ความพยายามตลอดทั้งปีที่ผ่านมาของผู้ปลูกเหมือนสลายหายไปในอากาศ”
เจียงลั่วฝูขมวดคิ้ว อยากจะพูดคำปลอบใจ แต่นั่นไม่ใช่ธรรมชาติของตัวเองจริง ๆ นางไม่รู้จะพูดอะไร
จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งพูดขึ้น “แล้วทำไมท่านไม่ลองการทำเกษตรแบบผสมผสานดูล่ะ?”
ชาวนาชราเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจมองไปที่ซูอัน “พูดกับข้าเหรอ?”
เจียงลั่วฝูช่วยแนะนำซูอัน “เขาเป็นสหายของข้า ซูอัน”
“อ๋อ เป็นเพื่อนของศิษย์น้องแปด ยินดีที่ได้พบเจ้า” ชาวนาชรายิ้มอย่างจริงใจ
เมื่อพิจารณาจากปฏิกิริยาของชาวนาชรา ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายไม่เคยได้ยินชื่อซูอันมาก่อนเลย ซูอันไม่เพียงไม่รู้สึกถึงร่องรอยของความไม่พอใจ แต่เขายังเคารพชายคนนี้มากยิ่งขึ้น เป็นเพราะชาวนาทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการช่วยเหลือประชาชนโดยไม่สนใจเรื่องภายนอกและไม่รู้เกี่ยวกับความวุ่นวายในราชสำนัก
“อาซู นี่คือศิษย์พี่เจ็ดของข้า หวางซู่หยาง” เจียงลั่วฝูบอกซูอันผ่านกระแสพลังชี่ว่า “เขาเป็นผู้อาวุโสที่มีคุณธรรมและมีเกียรติ เจ้าไม่สามารถหลอกเขาได้เหมือนที่เจ้าทำกับอินซือ” นางกังวลว่าซูอันอาจหลอกหวางซู่หยางจึงเตือนเขาล่วงหน้า
ซูอันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะในใจในขณะที่ถามกลับว่า “ข้าเป็นคนแบบนั้นสำหรับท่านหรือเปล่า?” ในเวลาเดียวกัน เขาตอบชาวนาชราว่า “ที่แท้คือผู้อาวุโสหวาง เป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
หวางซู่หยางยิ้ม เห็นได้ชัดว่าไม่สนใจคำเยินยอของซูอันมากนัก เขาถามว่า “สหายน้อยคนนี้หมายความว่ายังไง? การทำเกษตรแบบผสมผสาน?”
ซูอันกล่าวว่า “ผู้อาวุโสหวาง ท่านกล่าวว่านาข้าวมีสองปัญหาหลัก ประการแรกคือ เพดานผลผลิต ส่วนประการที่สองคือ การขาดความทนทานต่อโรคพืช”
“ถูกต้อง นี่เป็นปัญหาที่ทำให้ข้าหนักใจมาหลายปีแล้ว ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ข้าก็สามารถปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ ได้เล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก”
ซูอันกล่าวว่า “พูดตามตรง การแก้ปัญหานี้อาจเป็นเรื่องยาก หากท่านคิดว่ามันยาก แต่ก็กลายเป็นเรื่องง่ายเช่นกันหากท่านเปลี่ยนมุมมอง”
“โอ้? ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามหน่อยได้ไหมว่าสหายน้อยคนนี้คิดอะไรอยู่?” แม้ว่าคำพูดของหวางซู่หยางจะฟังดูสุภาพ แต่เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเมื่อเห็นใบหน้าอ่อนวัยของซูอัน รวมถึงเล็บมือที่สะอาดสะอ้าน เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้ไม่เคยใช้ชีวิตแบบชาวนามาก่อน ไม่ว่าเขาจะมองอย่างไร คนคนนี้ก็ไม่น่าจะเป็นคนที่รู้อะไรลึกซึ้งเกี่ยวกับการทำเกษตรกรรม
“อาซู!” เจียงลั่วฝูปราม นางไม่เชื่อว่าเขารู้เรื่องนี้เช่นกัน
ซูอันพูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสหวางต้องเดินทางไปทั่วทุกทิศในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเพื่อค้นหาเมล็ดพันธุ์ ท่านเคยพบพืชป่าบ้างไหม?”
“ย่อมเคย” หวางซู่หยางเกือบจะคิดว่าซูอันมีคำแนะนำที่กระจ่างแจ้ง แต่เมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “แต่พืชผลป่าเหล่านั้นแห้งเหี่ยว ไม่สามารถนำมาเป็นอาหารหรือปลูกได้”
ซูอันโต้กลับว่า “ผลเสียของพืชผลป่าคือการไม่มีเนื้อสัตว์ ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้เป็นอาหารได้ อย่างไรก็ตาม พวกมันมีข้อได้เปรียบ นั่นคือเมื่อเติบโตในป่า พลังของพวกมันจะแข็งแกร่งมาก พวกมันมีความทนทานต่อโรคต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทนทานต่ออุณหภูมิสูงได้ดีกว่าข้าวสาลี”
“หืม…?” หวางซู่หยางรู้สึกราวกับมีประกายไฟจุดติดขึ้นในความคิด แต่เขายังไม่สามารถเข้าใจมันได้ทั้งหมด
ซูอันกล่าวต่อว่า “ข้อดีของพืชป่าคือจุดอ่อนของพืชที่ปลูก ในขณะเดียวกัน ข้อเสียของพวกมันกลายเป็นข้อดีของอีกฝ่ายหนึ่ง ถ้าเราสามารถผสมพืชทั้งสองชนิดนี้ได้ มันจะไม่สมดุลซึ่งกันและกันเหรอ?”
ดวงตาของหวางซู่หยางเบิกกว้างทันที เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างมากในขณะที่อุทานว่า “วิเศษมาก วิเศษมาก! ทำไมข้าไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน? ทำไมข้าไม่! ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ผู้คนรอดแล้ว ทุกคนรอดแล้ว…”
เจียงลั่วฝูผงะด้วยความตกใจเมื่อเห็นศิษย์พี่เจ็ดของนางที่มักจะเงียบและเศร้าหมอง จู่ ๆ ก็มีชีวิตชีวาเหมือนเด็ก นางรีบถามซูอันว่า “เขาเป็นอะไรหรือเปล่า?”
ซูอันพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าเขาแค่ตื่นเต้น”
การทำเกษตรแบบผสมผสานเกิดขึ้นได้จากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์หลายชั่วอายุคนในโลกเก่าของซูอัน ในฐานะคนที่อุทิศตนให้กับการทำเกษตรกรรม หวางซู่หยางจะไม่เห็นคุณค่าของมันได้อย่างไร?
หากเป็นคนอื่น ซูอันอาจจะลังเลเล็กน้อยและวางแผนในการใช้ข้อมูลนี้เพื่อประโยชน์ของตัวเอง แต่ในตอนนี้เขามีปฏิสัมพันธ์กับหวางซู่หยางเพียงไม่นาน เขาก็เข้าใจแล้วว่าคนผู้นี้มีชีวิตอยู่เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง การมอบเทคโนโลยีใหม่ให้กับคนอย่างนี้คือทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้คนในโลกนี้
นอกจากนี้ เขารู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับแนวคิดนี้ สำหรับวิธีที่จะนำไปปฏิบัติได้จริง… อืม… ถ้าเขาเจ๋งจริง เขาคงไม่เสียเวลาไปกับการโต้เถียงกับคนแปลกหน้าในโลกออนไลน์ทุกวันหรอก
ในที่สุด หวางซู่หยางก็กลับมาสนใจเหตุการณ์ตรงหน้า เขาคว้ามือของซูอันอย่างตื่นเต้น “สหายน้อย ไม่สิ… ท่านซู! โปรดรับสามคำนับจากข้า”
ซูอันกระโดดด้วยความตกใจ “ผู้อาวุโสอย่าเลย!”