เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 1142 สรุปแล้วเขาเป็นอัจฉริยะ
ซูอันจับมือของผู้มาใหม่และพูดว่า “พี่อิน!”
อินซือรีบโบกมือ “ข้าไม่กล้ารับหรอก ข้าไม่กล้า! ความรู้ของท่านซูเพียงพอแล้วที่จะเป็นอาจารย์ของข้า! ถ้าท่านเรียกข้าว่าพี่อิน ข้าคงรู้สึกผิดจริง ๆ ต่อไปขอให้ท่านเรียกข้าว่าอินน้อยเถอะนะ”
ปี่หลิงหลงพูดไม่ออก นางขยี้ตาโดยไม่รู้ตัว วันนี้นางนอนหันหัวผิดด้านหรือเปล่า? นี่คืออินซือผู้มีชื่อเสียงว่ารับมือยาก แต่เขากลับปฏิบัติต่อซูอันด้วยความเคารพ? ทั้งยังเรียกซูอันว่าอาจารย์อีกด้วย? หากไม่ใช่เพราะนางเคยพบกับอินซือมาก่อน นางอาจสงสัยว่าพวกเขากำลังจัดฉากตบตาครั้งใหญ่
จู่ ๆ ปี่หลิงหลงก็สังเกตเห็นเงาข้างตัวนาง เมื่อหันกลับมา นางพบว่าผู้เบิกเท็จมาอยู่ที่ขอบหน้าต่างแล้วเช่นกัน ท่าทางเหมือนกำลังดูสิ่งที่เกิดขึ้นข้างนอก จู่ ๆ นางก็รู้สึกอยากจะหัวเราะ ผู้เบิกเท็จอาจกระวนกระวายเมื่อเห็นศิษย์สายตรงของตัวเองเรียกคนอื่นว่าอาจารย์
อินซือกล่าวต่อว่า “ท่านซู ข้าได้รับประโยชน์อย่างมากหลังจากฟังทฤษฎีควอนตัมของท่าน! ความสับสนมากมายในอดีตของข้ากระจ่างแจ้งแล้ว ตอนนี้ข้ามีความคิดมากมายอยากจะคุยกับท่าน…”
เจียงลั่วฝูสะดุ้งโหยง อาจารย์ของเจ้าอยู่ในกระท่อมไม้หลังนั้น ตอนนี้เจ้าจงใจยั่วเขางั้นเหรอ? นางรีบตัดบท “ ศิษย์น้อง ตอนนี้อาซูยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ”
“เขาจะเข้าพบอาจารย์หรือไม่? ไม่มีปัญหา ข้าจะรออยู่ตรงนี้” อินซือแสดงความเคารพบนใบหน้า “อาจารย์เท่านั้นที่มีคุณสมบัติทัดเทียมท่านซู”
ซูอัน องค์หญิงรัชทายาท และฉีเหยากวงพูดไม่ออก
เจียงลั่วฝูพูดอย่างรวดเร็วว่า “ท่านอาจารย์ไม่ต้องการพบเขา”
อินซือเปล่งเสียงประหลาดใจ “อาจารย์แก่จนเลอะเลือนแล้วเหรอ? ท่านซูเป็นอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยม! บางทีอาจารย์อาจจะสามารถได้รับความรู้แจ้งจากการพูดคุยกับท่านซูด้วยซ้ำ แม้แต่การบ่มเพาะของอาจารย์ก็อาจดีขึ้น…” ก่อนที่เขาจะพูดจบ เขาก็กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ลำแข้งที่มองไม่เห็นถีบร่างของเขาร่วงลงไปจากภูเขา
ปี่หลิงหลงอดไม่ได้ที่จะมองดูผู้เบิกเท็จ ชายชราคนนี้มักจะดูเย็นชาและไม่แยแส ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นแบบนี้!
“ฮะ? เกิดอะไรขึ้นกับสิบเอ็ด?” เสียงของคนอื่นดังขึ้น
ชาวนาชราหน้าเคร่งขรึมและนักวิชาการผู้สง่างามมาถึงพร้อมกันโดยถือก้อนเนื้อกลมอยู่ระหว่างกลาง จะเป็นใครได้อีกนอกจากอินซือ? เขากำลังจะตอบ แต่ไม่สามารถพูดอะไรได้ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร
นักวิชาการผู้สง่างามลูบเคราแพะแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าเขาโดนอาจารย์ทำโทษอีกแล้ว”
เมื่อชาวนาชราเห็นสภาพของอินซือ คิ้วที่ขมวดของเขาก็คลายลงเล็กน้อย “ในที่สุด ข้าก็ไม่ต้องฟังคำพูดพล่ามของสิบเอ็ดอีกต่อไป”
องค์หญิงรัชทายาทตกตะลึงเมื่อเห็นทั้งสอง คนเหล่านี้ต้องเป็นศิษย์สายตรงคนที่ห้า เฮยไป๋จื่อ และศิษย์สายตรงคนที่เจ็ด หวางซู่หยาง ศิษย์สายตรงเพียงคนเดียวก็ยากที่จะพบเห็นแล้ว แต่ทำไมพวกเขาทั้งสองมารวมตัวกันที่นี่? วันนี้มีเหตุการณ์สำคัญอะไรหรือไม่?
ทันใดนั้น ดวงตาของหวางซู่หยางและเฮยไป๋จื่อก็สว่างขึ้นขณะที่เห็นซูอัน ทั้งสองรีบจ้ำมาหาอย่างตื่นเต้นและพูดว่า “ท่านซู ในที่สุดเราก็พบท่านอีกครั้ง”
ปี่หลิงหลงพูดไม่ออก เกิดอะไรขึ้น? ข้าฝันไปหรือเปล่า?
ในที่สุดฉีเหยากวงก็ทนไม่ได้อีกต่อไป “วันนี้พวกท่านเป็นบ้าอะไรกัน? อนาคตของเขามีแต่ดอกท้อ ไม่ใช่ดอกเบญจมาศ*[1]!” จากการคาดการณ์ของนาง ซูอันอาจเข้าไปพัวพันกับผู้หญิงจำนวนมากตลอดชีวิต นางไม่เห็นผู้หญิงเลย แต่กลับเห็นแต่ผู้ชายกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้าหาเขาด้วยความหลงใหล
ซูอันมองไปที่สาวน้อยตัวเล็กอย่างประหลาดใจ เจ้าพูดขนาดนี้เลยเหรอ? นอกจากนี้ ในโลกแห่งการบ่มเพาะ ดอกเบญจมาศยังมีความหมายว่ารูทวารด้วยเหมือนกันเหรอ?
เฮยไป่จื่อไม่สนใจนางและจับมือของซูอัน “ท่านซู ข้าลองเล่นอีกสิบรอบกับศิษย์ ในที่สุดข้าก็รู้ว่าข้าแพ้เพราะอะไร! มา มาเล่นอีกรอบกันเถอะ! ครั้งนี้ข้าไม่แพ้ง่าย ๆแน่นอน”
องค์หญิงรัชทายาทเริ่มตั้งคำถามกับชีวิต หากความทรงจำของนางไม่เลอะเลือน เฮยไป๋จื่อก็เป็นเซียนหมากล้อมไม่ใช่เหรอ? ไม่เคยได้ยินว่ามีใครในเมืองหลวงที่เอาชนะเขาในสังเวียนกระดานหมากล้อมได้ ผู้ชายคนนี้หยิ่งผยองในตัวเองอย่างยิ่ง! แต่ฟังจากที่พูดเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าเขาจะพ่ายแพ้ให้กับซูอัน?
ฉีเหยากวงก็แสดงความประหลาดใจเช่นกัน นางมองซูอันด้วยความอยากรู้อยากเห็นและถามในสิ่งที่องค์หญิงรัชทายาทอยากรู้เช่นกัน “เจ้าชนะเฮยไป๋จื่อ?”
ซูอันพูดอย่างถ่อมตัวว่า “มันเป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้น”
เฮยไป๋จื่อพูดด้วยความชื่นชมว่า “ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลย หลังจากที่ทบทวนเกมระหว่างเราแล้ว ข้าจึงได้รู้ว่ามีกับดักร้ายกาจนับสิบซ่อนอยู่ในทุกตาหมาก ไม่ว่าข้าจะพยายามตอบโต้อย่างไร มันก็มีแต่จะกดดันให้ข้าเข้าใกล้ความพ่ายแพ้มากขึ้นทุกที กลยุทธ์การวางหมากระดับนั้นทำให้ข้าประหลาดใจยิ่งนัก”
ปี่หลิงหลงหน้าแดงเมื่อได้ยินว่าจริง ๆ แล้วเกมห้าแถวที่ซูอันสอนรัชทายาทนั้นไม่ได้หยาบและเรียบง่ายเกินไป ตอนนั้นนางอยากจะดุด่าเขาว่าสอนเกมโง่เขลาให้กับรัชทายาท ใครจะคิดว่าทักษะของซูอันจะยอดเยี่ยมขนาดนี้!? แม้แต่เฮยไป๋จื่อก็รู้สึกด้อยกว่า?
องค์หญิงรัชทายาทมาจากตระกูลที่มีชื่อเสียง แตกต่างจากลูกสาวขุนนางหัวสมัยใหม่ นางชอบผู้ชายที่เก่งกาจตามค่านิยมดั้งเดิม โดยเฉพาะนายน้อยผู้อ่อนโยน มีการศึกษาดี และประสบความสำเร็จคือสิ่งที่นางชอบมากที่สุด
ซูอันเป็นไปตามมาตรฐานของนางในแง่ของรูปลักษณ์ภายนอก แต่เขามักจะมีความไร้ระเบียบและเสเพลเหมือนกุ๊ยข้างถนนที่นางไม่เคยชอบ ปี่หลิงหลงไม่คาดคิดว่าเขาจะมีพรสวรรค์เช่นนี้! ในบรรดาศิลปะทั้งสี่อย่างพิณ หมากล้อม คัดลายมือ และวาดภาพ หมากล้อมเป็นสิ่งที่ยากที่สุด ถ้าซูอันเชี่ยวชาญในสิ่งที่ยากที่สุดในสี่อย่างแล้ว สามอย่างที่เหลือจะจัดว่าเป็นอะไรได้?
ทันใดนั้น นางก็จำได้ว่าเคยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาตรวจสอบภูมิหลังของซูอัน ดูเหมือนเขาจะเป็นที่รู้จักในเมืองจันทร์กระจ่างด้านการแต่งเพลงและบทกวี แต่ตอนนั้นนางไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก ในใจคิดว่าเขาแค่ใช้มันเพื่อเกี้ยวหญิงคณิกา และไม่มีทักษะที่แท้จริงใด ๆ เป็นชิ้นเป็นอัน
แต่ตอนนี้ จู่ ๆ นางก็รู้ว่าซูอันเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าเขาจงใจเลือกที่จะไม่แสดงด้านนั้นออกมา แสร้งทำตัวไร้สาระอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น?
ในตอนเริ่มต้น ซูอันถูกพามายังเมืองหลวงตามรับสั่งของจักรพรรดิ เพราะความเชื่อว่าเขาได้รับชีวิตนิรันดร์จากวิชาวัฏจักรหงส์อมตะ จากนั้นเขาก็ถูกฝ่ายของราชันลมปราณโจมตี มีชีวิตอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งของขั้วอำนาจทั้งสองในเมืองหลวง ชีวิตอาจถูกบดขยี้หากพลาดแม้แต่นิดเดียว เขาคงตั้งใจปิดบังความสามารถเพื่อปกป้องตัวเอง
นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารเมื่อนึกถึงเรื่องนั้น จากข้อมูลที่ได้รับ นางจำได้ว่าซูอันเป็นเด็กกำพร้า และลุงซึ่งเป็นครอบครัวคนเดียวที่เหลืออยู่ก็เสียชีวิตเช่นกัน จากนั้นเขาก็ถูกหยามหมิ่นทุกรูปแบบเมื่อแต่งเข้าตระกูลฉู่
จนในที่สุด ซูอันก็มีที่ยืนอันมั่นคงในตระกูลฉู่ จู่ ๆ เรื่องของวิชาวัฏจักรหงส์อมตะก็โผล่ขึ้นมา ตระกูลฉู่ได้ละทิ้งเขาอย่างไร้ความปรานี ตอนนี้ชายผู้น่าสงสารคนนี้อยู่คนเดียวในเมืองหลวงโดยไม่มีใครให้พึ่งพานอกจากตัวเอง เขาช่างน่าสงสารเหลือเกิน
ต่อไปข้าต้องดีกับเขาเท่าที่ทำได้… ภาพของรัชทายาทปรากฏขึ้นในความคิดของนาง หึ เมื่อเทียบกับซูอันแล้ว รัชทายาทนั้นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง! เขาเป็นขยะที่รู้แต่วิธีส่งอาหารเข้าปากไปจนวันตาย
*[1] ดอกเบญจมาศ มีความหมายเปรียบเปรยถึง รูทวาร