เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 1144 ยอมเป็นวัวเป็นม้าให้ท่าน
บทที่ 1144 ยอมเป็นวัวเป็นม้าให้ท่าน
ขณะที่องค์หญิงรัชทายาทกำลังงุนงง หวางซู่หยางก็กล่าวว่า “ไม่เป็นไร ระดับท่านซูนั้นจะให้มาสอนนักศึกษาก็เป็นการสิ้นเปลือง เราสามารถแจ้งสถาบันว่าอย่ากำหนดหลักสูตรใด ๆ ให้ท่านซูรับผิดชอบ”
เจียงลั่วฝูเริ่มลังเลเล็กน้อย “แต่ถ้าเขาไม่สอนเลยสักวิชา มันจะไม่มีปัญหาเหรอ? คงจะมีข่าวลือเสียหายแน่ ๆ”
“นั่นไม่ใช่ปัญหา แม้ว่าท่านซูจะไม่สอนนักศึกษา แต่เราจะให้เขาเป็นอาจารย์ของเราไม่ได้เหรอ? ส่วนการสอนพวกเรานั้น เราไม่กำหนดเวลา แล้วแต่ท่านซูสะดวกเลย สำหรับรูปแบบของบทเรียน อาจจะเป็นการเล่นหมากล้อมไปสอนไปเป็นการผ่อนคลายไปในตัว ท่านซูก็จะไม่เหนื่อยเกินไปเช่นกัน” เฮยไป๋จื่อกล่าว ในความเห็นของเขา การให้ซูอันสอนนักศึกษาเป็นการเสียเปล่าโดยสิ้นเชิง พวกเขาควรจะเอาเวลาเหล่านั้นมาเล่นหมากล้อมเพิ่มสักสองสามเกม
ในที่สุด อินซือก็เป็นอิสระจากผนึกเงียบงัน เขากระโดดออกมาทันทีและตะโกนว่า “เจ้าไร้ยางอาย! จะให้ท่านซูสอนผ่านการเล่นหมากล้อมได้ยังไง? เขาควรจะคุยเรื่องตรรกะกับข้าต่อหน้านักศึกษาคนอื่น ๆ! ไม่เพียงแต่เราจะได้ประโยชน์เท่านั้น แม้แต่นักศึกษายังได้รับข้อมูลเชิงลึกด้วย!”
หวางซู่หยางอารมณ์เสีย “พวกเจ้าเอาแต่พูดพล่ามเรื่องไร้สาระ! ท่านซูควรจะพูดถึงกระบวนการผสมพืชข้ามสายพันธุ์มากกว่า นี่เป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ที่จะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของผู้คนนับล้าน!”
“พวกเราผู้บ่มเพาะไม่ได้พยายามที่จะเป็นนักบวช ตกลงไหม? ทำไมเราต้องสนใจเรื่องการทำความดี” เฮยไป๋จื่อโวยวาย “นอกจากนี้ ท่านซูได้ให้ความช่วยเหลือแก่เจ้ามามากแล้ว เจ้ายังจะต้องการให้เขาสอนเจ้าเพิ่มอีกเหรอ? แบบนี้เจ้ากล้าเรียกตัวเองว่าเกษตรกรได้ยังไง? ภูมิปัญญาของท่านซูเป็นของทุกคน ไม่ใช่ของเจ้าคนเดียว ศิษย์น้องเล็กเจ้าคิดว่ายังไง?”
“แน่นอน แน่นอน” ฉีเหยากวงพยักหน้า นางเปลี่ยนหัวข้อทันทีที่เฮยไป๋จื่อผ่อนคลาย “ภูมิปัญญาของท่านซูเป็นของมนุษยชาติทั้งหมด และอนาคตของมนุษยชาติอยู่ในจักรวาล นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าคิดว่าเขาควรจะดูดาวกับข้าทุกวันและพูดคุยเกี่ยวกับโหราศาสตร์”
“เจ้าเด็กแสบ เสียแรงที่ข้าปรนเปรอเจ้ามาหลายปี! ข้าจะตีเจ้าให้ก้นลาย!” เฮยไป๋จื่อโวยวาย
“ฮึ่ม เข้ามาสิ! ท่านคิดว่าข้ากลัวท่านหรือไง? ท่านไม่สามารถเอาชนะข้าด้วยตัวหมาก อะไรทำให้คิดว่าท่านสามารถเอาชนะข้าได้ในการต่อสู้” ฉีเหยากวงโต้กลับ
…
เมื่อเห็นเหล่าศิษย์สายตรงโต้เถียงกัน องค์หญิงรัชทายาทอ้าปากค้าง ผู้คนเหล่านี้คือตัวตนที่ไม่แยแสต่อสิ่งใดที่แวดวงเมืองหลวงพูดถึงหรือไม่? นี่คือคณาจารย์ของสถาบันหลวงที่น่าภาคภูมิใจ?
ผู้เบิกเท็จไม่สามารถทนดูต่อไปได้เช่นกัน เขากระแอมและพูดว่า “พวกเจ้าทุกคนออกไปให้พ้นสายตาข้า หยุดส่งเสียงดังรบกวนการพักผ่อนของข้าเสียที!”
เหล่าศิษย์ไม่กล้าที่จะเถียงอะไรกันต่อไปเมื่อพวกเขารู้สึกถึงความโกรธของอาจารย์ ทุกคนคำนับไปทางบ้านไม้ด้วยความเคารพ จากนั้นก็พากันจากไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง
พวกเขากระซิบกระซาบกันตลอดทาง
“อาจารย์ไม่เคยโกรธเลยไม่ใช่เหรอ?”
“ทำไมเขาต้องโกรธด้วยล่ะ?”
ในที่สุด เจียงลั่วฝูก็อดกลั้นตัวเองไม่อยู่และพูดว่า “ฮึ่ม พวกเจ้าทุกคนเรียกเขาว่าท่านซูกันไม่หยุดปาก แถมเกือบจะคำนับเขาเป็นอาจารย์แล้ว! พวกเจ้าคิดว่าอาจารย์ที่แท้จริงของเจ้าควรรู้สึกยังไง?”
“อาจารย์เคยสอนเราว่าในทุก ๆ กลุ่มสามคน อาจมีสักคนหนึ่งในนั้นเป็นอาจารย์ของเราได้ ถ้าเรายกย่องท่านซูแล้วจะเป็นอะไรไปล่ะ?” หวางซู่หยางถามอย่างจริงจัง
“ความฉลาดทางอารมณ์ของท่านลดลงเท่ากับศิษย์น้องเล็กได้ยังไง? พวกท่านเชื่ออย่างนั้นจริง ๆ ในสถานการณ์แบบนี้เหรอ?” เจียงลั่วฝูไม่อยากเชื่อ
ฉีเหยากวงไม่มีความสุข “ศิษย์พี่แปด! ท่านจะดุพวกเขาก็ได้ แต่ทำไมถึงต้องเอาชื่อข้าเข้าไปรวมด้วย”
ศิษย์สายตรงคนอื่น ๆ มองหน้ากันด้วยความตกใจ ทั้งหมดรู้สึกผิดเมื่อรู้ว่าพวกเขาได้ล่วงเกินอาจารย์ของตนโดยไม่ได้ตั้งใจ
เจียงลั่วฝูใช้โอกาสนี้ลากซูอันออกไปด้านข้าง “ข้ายังมีธุระบางอย่างที่ต้องจัดการกับเขา เราขอตัวก่อน” คนอื่น ๆ กำลังกังวลและไม่อาจบังคับให้ทั้งสองอยู่ต่อ
ซูอันถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เราจะไปไหนกันต่อ?”
“เจ้าไม่ได้บอกว่าเจ้าต้องการทำเตาหลอมยาด้วยตัวเองเหรอ? ข้าจะพาเจ้าไปหาศิษย์พี่สี่” เจียงลั่วฝูตอบ
ซูอันตกตะลึง “ท่านไม่ได้บอกว่ามีธุระเหรอ?”
เจียงลั่วฝูกลอกตา “เจ้าคิดว่าเราจะหนีมาจากพวกเขาได้ไหมถ้าข้าไม่พูดแบบนั้น?”
ซูอันยิ้ม “ไม่นึกเลยว่าพี่สาวคนสวยจะมีสองหน้าแบบนี้”
เจียงลั่วฝูยิ้ม “นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้าไม่ควรทำให้ข้าขุ่นเคือง ข้าค่อนข้างเป็นคนใจแคบนะรู้ไหม?”
ซูอันถามด้วยความสงสัย “แล้วพี่สาวคนสวยจะใจแคบยังไง?”
เจียงลั่วฝูยิ้ม “เจ้าลืมความสามารถพิเศษของข้าไปแล้วเหรอ? ข้าเชี่ยวชาญกฎหมาย ข้ารู้วิธีการลงโทษทั้งหมดหนึ่งหมื่นสามพันหกร้อยแปดสิบสองวิธีตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ถ้าเจ้าต้องการ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะพาเจ้าลิ้มลองดูสักที”
แต่ซูอันไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย “เนื่องจากพี่สาวคนสวยเป็นนักกฎหมาย แน่นอนว่าท่านจะไม่ทำผิดกฎหมาย ตราบใดที่ข้าไม่ทำผิดกฎหมาย ข้าไม่คิดว่าท่านจะลงโทษข้าด้วยเรื่องเล็กน้อยแบบนี้”
“หืม?” เจียงลั่วฝูตกตะลึง “ข้าประเมินเจ้าต่ำเกินไปจริง ๆ ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญเมื่อเจ้าปราบคนอื่นได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้าจะเข้าใจความรู้สาขาต่าง ๆ ทั้งหมดแล้ว แปลกจัง… คนคนเดียวสามารถเรียนรู้อะไรได้จำกัด อายุยังน้อย เจ้ารู้มากขนาดนี้ได้ยังไง?”
ซูอันตื่นตระหนก แต่ภายนอกยังดูผ่อนคลาย “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าจำสิ่งที่อ่านได้เสมอ และข้าก็อ่านทุกอย่าง นั่นเป็นเหตุผลที่ข้ามีความรู้แต่ละอย่างนิด ๆ หน่อย ๆ แต่ก็แค่นั้น ข้าไม่เหมือนพวกท่านที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ”
เจียงลั่วฝูยิ้มและพูดว่า “อย่างน้อยเจ้าก็ถ่อมตัว เอ๊ะหรือว่าเจ้ากลัวเราจะอิจฉาหรือเปล่า? แม้ว่าพูดตามตรงแล้ว พรสวรรค์ระดับเลิศล้ำของเจ้าช่างน่าอิจฉาจริง ๆ”
“ผู้เบิกเท็จรู้เกี่ยวกับพรสวรรค์ของข้าไหม?” เขาสงสัยว่าผู้เบิกเท็จมองเขาในแง่ดีหรือไม่
เจียงลั่วฝูส่ายศีรษะ “เรื่องนี้สำคัญเกินไป ข้าจะพูดเรื่องนี้กับคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของได้ยังไง? เรื่องนี้อาจทำให้เจ้าเป็นอันตรายถึงชีวิตเอาง่าย ๆ เลยนะ”
ซูอันรู้สึกอบอุ่นในใจ “พี่สาวคนสวย ท่านดีกับข้ามากเหลือเกิน แต่ข้ากลับไม่สามารถทำอะไรตอบแทนให้ท่านได้เลย เอาเป็นว่าให้ข้าทำงานให้ท่านอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเหมือนวัวเหมือนม้าเพื่อท่านดีไหม?”
เจียงลั่วฝูยิ้มและตอบว่า “ข้าไม่ใช่เกษตรกร ข้าจะต้องการวัวหรือม้าไปทำอะไร?”
ซูอันถอนหายใจด้วยความเศร้า ข้าเต็มใจทำงานให้เจ้าเหมือนวัว และสิ่งที่เจ้าต้องทำคือป้อนหญ้าให้ข้า แต่เจ้าไม่เต็มใจทำอย่างนั้นเหรอ?
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างและผลักเจียงลั่วฝูไปข้างหลัง “ระวัง!” ทันทีที่เขาพูด ร่างยักษ์ตกลงมาจากที่เขายืนอยู่เมื่อครู่ ฝุ่นตลบอบอวลไปทั่วทุกหนทุกแห่ง แม้แต่พื้นก็สั่นสะเทือน
ซูอันมองไปที่ร่างยักษ์ตรงหน้าอย่างระแวดระวัง มันสูงประมาณหนึ่งจั้งและมีผิวสีแทน ตอนแรกเขาคิดว่ามันคือสัตว์อสูร แต่ก็ไม่รู้สึกถึงสัญญาณชีวิตใด ๆ จากมัน ทว่าภายนอกดูค่อนข้างคล้ายกับมนุษย์ ต่างกันที่ขนาดของมันใหญ่กว่าหลายเท่า
“นี่คือ… หุ่นยนต์?” ซูอันค่อนข้างตกใจ
เจียงลั่วฝูหยุดเขาและพูดว่า “เจ้าไม่ต้องกลัว นี่คือหุ่นกลของศิษย์พี่สี่ มันอาจจะถือว่าเจ้าเป็นผู้บุกรุกเพราะมันจำเจ้าไม่ได้” นางหยิบตราออกมาและโบกมันต่อหน้าหุ่นกล แล้วพูดว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อพบศิษย์พี่สี่”
เมื่อดวงตาสีแดงของหุ่นกลมองผ่านตราของนาง เสียงแข็งและแหบแห้งก็ดังขึ้น “ยืนยันตัวตนแล้ว โปรดดำเนินการต่อไป”
หุ่นกลขยับตัวไปด้านข้างหลังจากพูดจบ และค่อย ๆ นั่งลง แสงสีแดงในดวงตาของมันจางหายไป จากนั้นมันก็ยังคงนิ่งเหมือนรูปปั้นราวกับว่าไม่เคยมีท่าทีคุกคามใด ๆ มาก่อน
ซูอันหันกลับไปมองหลายครั้ง เขาค่อนข้างจะตื่นเต้น นี่คือกันดั้ม*[1]! ในขณะนั้นเขารู้สึกราวกับว่าได้กลับไปสู่โลกก่อนหน้านี้
*[1] กันดั้ม (Gundam) เป็นซีรีส์แอนิเมชันเกี่ยวกับหุ่นยนต์ต่อสู้ขนาดยักษ์ของญี่ปุ่น
……….