เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 1156 ยอมรับ
บทที่ 1156 ยอมรับ
ซูอันพูดไม่ออก เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเจ้าถึงโกรธข้าเพียงเพราะเห็นสาวสวย แต่เขาไม่รู้สึกอยากยุ่งกับเรื่องนั้น เขาพูดกับหญิงงามด้านข้างว่า “ต๋าจี่ ควบคุมเขาและค้นหาว่าใครอยู่เบื้องหลัง”
ต๋าจี่มีความสามารถสามอย่าง หนึ่งในนั้นคือ มายาจิ้งจอก ที่สามารถควบคุมเพศตรงข้ามได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ
ต๋าจี่พยักหน้า จากนั้นจึงเดินไปหาหม่าอันอย่างใจเย็น ริมฝีปากบางแย้มยิ้มอย่างงดงามเหนือจินตนาการ หม่าอันตกตะลึงทันที สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในหัวของเขาคือ ‘ข้ากำลังจะตาย ข้ากำลังจะตาย’ น้ำลายไหลออกมาจากปากของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ต๋าจี่พูดไม่ได้ ซูอันจึงต้องพูดแทน “ใครกันที่หนุนหลังเจ้าอยู่?”
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของหม่าอัน ต๋าจี่เป็นคนถาม เขาเริ่มเอ่ย “เจ้านายที่หนุนหลังข้าอยู่…”
“ใครคือเจ้านายของเจ้า?” ซูอันถามอย่างรวดเร็ว
“เจ้านายของข้าคือ…” หม่าอันพึมพำโดยไม่รู้ตัว แต่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันทีและตื่นจากอาการเลื่อนลอย “ซูอัน เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่ ? เจ้าใช้เวทมนตร์ได้เหรอ?”
ซูอันขมวดคิ้ว ทำไมอีกฝ่ายถึงได้สติขึ้นมาล่ะ?
เสียงของหมี่ลี่พูดว่า “เจ้าลืมไปหรือเปล่าว่ามีเงื่อนไขอื่นสำหรับมายาจิ้งจอก? เป้าหมายจะต้องมีระดับการบ่มเพาะที่ต่ำกว่าต๋าจี่”
ซูอันถอนหายใจ “แน่นอน ข้ารู้ แต่ข้าคิดว่าระดับการบ่มเพาะของพวกเขาใกล้เคียงกัน ทั้งคู่อยู่ในขั้นต้นของระดับที่หก แถมข้าได้ดูดการบ่มเพาะของเขาจนแห้งเหี่ยวไปแล้ว น่างงจริง ๆ ว่าทำขนาดนี้แล้วทำไมกลับยังไม่เพียงพอ”
“เนื่องจากข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับมายาจิ้งจอกคือระดับการบ่มเพาะของเป้าหมายต้องต่ำกว่า ดังนั้นเราจึงต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด การที่เจ้าดูดพลังของเขาออกไป นั่นไม่ส่งผลต่อระดับการบ่มเพาะที่แท้จริงของเขา จิตวิญญาณของเขายังได้รับอิทธิพลจากฐานการบ่มเพาะเดิม เจ้าดูดพลังของเขาไปก็จริง แต่จิตวิญญาณของเขายังคงอยู่ในระดับที่หก” หมี่หลี่อธิบาย
“แล้วข้าจะต้องทำยังไง?” ซูอันรู้สึกปวดหัว หม่าอันคนนี้เจ้าเล่ห์มากที่วางผนึกปลิดชีพไว้กับตัวเอง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถใช้การทรมานได้ และตอนนี้มายาจิ้งจอกของต๋าจี่ก็ใช้ไม่ได้เช่นกัน เขารู้สึกหมดหนทางจริง ๆ
หมี่ลี่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เจ้าเคยบอกว่ายาควบแน่นพลังชี่สามารถเพิ่มระดับทักษะของนางได้ไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่ลองดูล่ะ”
ซูอันไม่รู้สึกอยากตอบ เขาตบหม่าอันด้วยฝ่ามือจนกระเด็น วางแผนที่จะจัดการกับอีกฝ่ายหลังจากหลอมยา อย่างไรก็ตาม เขาตระหนักถึงปัญหาอื่นได้อย่างรวดเร็ว “แต่พี่หญิงใหญ่ แม้แต่เสิ่นซวีจื่อก็ไม่รู้วิธีใช้งานมัน…”
เขาหยิบเตาหลอมสีเขียวขนาดเล็กออกมา พูดตามตรง แม้ว่าสีจะดูเจิดจ้าไปหน่อย แต่มันก็ดูดีทีเดียว
“เสิ่นซวีจื่อไม่สามารถใช้มันได้เพราะเขาไม่รู้วิธี” ร่างในชุดสีแดงของหมี่ลี่ปรากฏขึ้น นางหยิบเตาหลอมสีเขียวจากซูอันและลูบไล้ด้วยนิ้วเรียวเล็กของนาง ไม่นานนัก นางก็พูดพร้อมกับถอนหายใจ “แต่น่าเสียดายที่มันไม่สมบูรณ์ แต่ก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน ไม่อย่างนั้นเตาหลอมที่สมบูรณ์จะไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถควบคุมได้ด้วยกำลังปัจจุบัน”
ซูอันรู้สึกหัวเสียเล็กน้อย กระบี่ไท่เอ๋อร์ของเขาถูกผนึก และตอนนี้เตาใบนี้ก็ชำรุดเช่นกัน โชคของเขาดีหรือไม่ดีกันแน่
แน่นอนว่ามีเรื่องเร่งด่วนกว่านั้นอยู่ในมือ เขากล่าวว่า “จริง ๆ แล้วข้าเคยลองมาก่อนแล้ว เจ้านี่ดูไม่เหมือนเตาหลอมยาจริง ๆ”
“อย่างเจ้าจะไปรู้อะไร?” หมี่ลี่ไม่พอใจ “กระถางมังกรทั้งเก้าเป็นสัญลักษณ์ของผู้มีอำนาจ และพวกมันยังถูกใช้ในการเตรียมอาหารด้วย เจ้าลืมประสบการณ์ในมิติลับซากเมืองอินซวีแล้วหรือไง?”
“ที่ท่านพูดมันก็จริง” ซูอันพยักหน้า ในสมัยโบราณ เตาหลอมยาเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้ในการปรุงอาหาร เพียงแต่การใช้งานแต่ละเตามีกฎที่เข้มงวดสำหรับขนาดและจำนวน ซึ่งขึ้นอยู่กับสถานะของคนผู้นั้น
“แม้ว่าจะดำรงตำแหน่งจักรพรรดิซางมาหลายปี ข้าก็ไม่เคยลองกระถางมังกรทั้งเก้าเลย” ซูอันรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เตาหลอมเก้าใบหายไปในสมัยราชวงศ์ฉิน ดังนั้นมันจึงมีอยู่ในมิติลับซากเมืองอินซวีของราชวงศ์ซางอย่างแน่นอน น่าเสียดาย สิ่งเดียวที่เขาคิดในตอนนั้นคือจะผ่านการทดสอบไปได้อย่างไร ไม่เคยคิดเรื่องสมบัติวิเศษมาก่อน
หมี่ลี่ส่ายศีรษะ “กระถางมังกรทั้งเก้านั้นทรงพลังเกินไป ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จักรพรรดิซาง อู่เกิงจะจำลองทั้งหมดขึ้นมาใหม่ได้ แม้ว่าพวกมันจะมีอยู่ในมิติลับนั้น กระถางมังกรทั้งเก้าก็คงไม่ต่างจากเตาหลอมทั่วไป”
“เข้าใจแล้ว” ซูอันคิดกับตัวเองว่า ไม่น่าแปลกใจเลยที่ข้าไม่เคยสังเกตเห็นการมีอยู่ของเตาหลอมเก้าใบที่ทรงพลังขนาดนั้น แม้ว่าข้าจะถูกขังอยู่ในมิติลับซากเมืองอินซวีเป็นเวลานาน
หมี่ลี่ตรวจสอบเตาหลอมสีเขียวขนาดเล็กในมือ “เก้ากระถางมังกรได้รับการขัดเกลาโดยพระเจ้าอวี่แห่งราชวงศ์เซี่ย ข้าเชื่อว่ามันควรจะทำงานผ่านทักษะของราชวงศ์เซี่ย แต่ในเวลาต่อมาราชวงศ์ซางและราชวงศ์โจวได้ครอบครองกระถางมังกรทั้งเก้า ดังนั้นตามเหตุผลปกติ ทักษะของทั้งสองราชวงศ์ก็ควรจะเปิดใช้งานมันได้เช่นกัน ใช้วิชาเทพยุทธ์กลืนสวรรค์หรือวิชาวัฏจักรหงส์อมตะและใส่พลังชี่ของเจ้าบรรจุลงไป
ซูอันพยักหน้า วิชาเทพยุทธ์กลืนสวรรค์นั้นทรงพลังดุดันเกินไป ดังนั้นเขาจึงใช้วิชาวัฏจักรหงส์อมตะในการโคจรแทน เมื่อพลังชี่ของเขาไหลเข้าไป เตาหลอมสีเขียวขนาดเล็กก็ปล่อยแสงเจิดจ้าออกมา
เดิมทีเตาหลอมขนาดเล็กเต็มไปด้วยรอยนูนมากมาย นอกจากสีที่สะดุดตาแล้ว อย่างอื่นก็ดูปกติดี ตอนนี้หลังจากที่รังสีของแสงพุ่งออกมาจากมัน ราวกับว่ามีเส้นแสงที่มองเห็นได้จาง ๆ รอยนูนบนเตาหลอมขนาดเล็กดูเหมือนจะกลายเป็นภาพบางอย่าง ดูเป็นภาพของภูเขาและแม่น้ำ รวมถึงสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่รู้จัก
หมี่ลี่รู้สึกประทับใจ “ใช่เลย ใช่เลย! ตามบันทึกโบราณ กระถางมังกรทั้งเก้านั้นประดับประดาไปด้วยภาพสลักของภูเขาและแม่น้ำของเก้าเมือง รวมถึงของวิเศษทุกชนิด!” นางไม่เคยเห็นกระถางมังกรทั้งเก้าด้วยตาตัวเองเลย แม้จะเป็นถึงจักรพรรดินีแห่งราชวงศ์ฉินผู้ยิ่งใหญ่ก็ตาม ใครจะคิดว่าจะได้เห็นพวกมันด้วยตาตัวเองที่นี่?
เตาหลอมสีเขียวขนาดเล็กลอยอยู่กลางอากาศ เป็นประกายและโปร่งแสง ไม่มีความคล้ายคลึงกับรูปลักษณ์ก่อนหน้านี้อีกต่อไป ถ้าเสิ่นซวีจื่อได้เห็นมันในสภาพนี้ เขาคงไม่เต็มใจที่จะยกมันให้ซูอัน
ซูอันรู้สึกถึงกลิ่นอายโบราณและยิ่งใหญ่รอบตัว เขาต้องเผชิญกับฉากมากมายที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ราวกับว่าแผ่นฟิล์มสไลด์พุ่งผ่านสมองด้วยความเร็วร้อยเท่า ในขณะนั้น ซูอันรู้สึกราวกับว่าหัวกำลังจะระเบิด ไม่สามารถแยกแยะฉากใด ๆ ได้เลย
“ตั้งสติให้ดี รวบรวมพลังชี่ไปที่แกนกลางของเจ้า!” เสียงของหมี่ลี่พูดอย่างคลุมเครือในหูของเขา
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง แต่ก็ยังรู้สึกราวกับผ่านไปเพียงชั่วพริบตา ในที่สุดซูอันก็ลืมตาขึ้น เขารู้สึกราวกับศีรษะกำลังจะแตกออก ก้มลงมองเห็นเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ขาดรุ่งริ่ง และมีเลือดหยดเล็ก ๆ ตามผิวหนังราวกับเส้นเลือดทั้งหมดระเบิดออก เขาร้องว่า “เกิดอะไรขึ้น!?”
หมี่ลี่พูดพร้อมกับถอนหายใจ “ข้าเชื่อว่าการบ่มเพาะของเจ้ายังต่ำเกินไป และเตาหลอมใบนี้ก็ทรงพลังเกินไป การเปิดใช้งานเตาหลอมอย่างรุนแรงจะทำให้เกิดการดีดกลับที่ทรงพลัง โชคดีที่ร่างของเจ้าถูกหล่อหลอมโดยวิชาปฐมบทแรกเริ่ม ดังนั้นมันจึงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ไม่อย่างนั้นเจ้าอาจตายไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเจ้าได้รับการยอมรับจากเตาหลอมสำเร็จแล้ว โชคร้ายของเจ้าคือพรอย่างแท้จริง”
ซูอันตกตะลึง เขามองเตาหลอมสีเขียวนั้น รู้สึกเหมือนเขากับมันเชื่อมโยงถึงกัน “มันยอมรับข้า?” เขาถามด้วยความตกใจและดีใจ
หมี่ลี่ไม่พอใจ “ใส่เสื้อผ้าก่อน หยุดห้อยไอ้นั่นไปมาได้แล้ว” ในเวลาเดียวกัน นางมองต๋าจี่ที่หันไปทางอื่นและกล่าวว่า “แปลก? ผู้หญิงคนนี้ไม่มีเจตจำนง แต่ทำไมนางทำหน้าทำตาดูเขินอายอย่างนี้?”