เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 1167 ศาสตร์แห่งการปกครอง
บทที่ 1167 ศาสตร์แห่งการปกครอง
“ข้า?” ซูอันรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่นางไว้วางใจ “แต่การบ่มเพาะในปัจจุบันของข้าไม่ได้ต่ำกว่าระดับเจ็ด ข้าไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับอนุญาตให้ตามเข้าไปได้”
ปี่หลิงหลงกัดริมฝีปาก “นั่นคือปัญหา แต่เจ้าอยู่ในระดับเจ็ดและไม่ได้เหนือไปกว่านั้น ข้าจะพยายามหาทางดู”
ซูอันคิดกับตัวเอง อืม… ข้าอยู่เหนือระดับเจ็ดมาก ทุกอย่างคงเป็นไปไม่ได้…
ปี่หลิงหลงเงยหน้าขึ้นและจ้องมองเขาด้วยดวงตาที่สวยงาม “เจ้าเต็มใจจะช่วยข้าไหม?”
ซูอันยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยเอง”
ปี่หลิงหลงยิ้มหวานเมื่อได้รับคำตอบยืนยันจากเขา ความกังวลและความเศร้าหมองหายไป รอยยิ้มของนางสว่างไสวไปทั้งห้อง ถ้าไม่ใช่เพราะซูอันคุ้นเคยกับสาวงามอยู่แล้ว เขาอาจจะตะลึงไปชั่วขณะ
ปี่หลิงหลงหน้าแดงเมื่อเห็นเขาจ้องกลับมา แต่นางไม่ได้ตำหนิเขา บรรยากาศแปลก ๆ เกิดขึ้นในห้อง
ทันใดนั้น นางกำนัลหรงโม่ก็เคาะประตู “องค์หญิงรัชทายาทเพคะ ฝ่าบาททรงเรียกซู… ท่านซู”
ในที่สุดปี่หลิงหลงก็ฟื้นจากอาการเหม่อลอยและหันหน้าหนีอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัยของหรงโม่ “ฝ่าบาทกำลังเรียกเจ้า รีบไปเถอะ”
“พะย่ะค่ะ” ซูอันลุกขึ้น
“ว่าแต่ ทำไมฝ่าบาทถึงเรียกเจ้าล่ะ?” ปี่หลิงหลงถามด้วยความอยากรู้
“อาจเป็นเพราะกระหม่อมเป็นแค่คนที่น่าคบหา?” ซูอันหัวเราะเบา ๆ แล้วออกจากประตูไป
หรงโม่เดินมาด้านข้างของปี่หลิงหลงและพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ “ผู้ชายคนนั้นไร้ยางอายจริง ๆ เพคะ”
ปี่หลิงหลงไม่ตอบและเริ่มคิดกับตัวเองแทน ด้วยความเข้าใจของนางที่มีต่อจักรพรรดิ ไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะต้องเรียกหาเจ้าหน้าที่อย่างซูอันบ่อย ๆ!
หรงโม่พูดต่อ “องค์หญิง ท่านจะเลือกให้เขาติดตามองค์รัชทายาทจริงเหรอเพคะ? หม่อมฉันไปด้วยได้นะเพคะ! การบ่มเพาะของหม่อมฉันไม่ได้ด้อยไปกว่าซูอันเลย”
“ไม่เหมือน”
“ต่างกันยังไงเพคะ”
“เช่น… เขาเป็นผู้ชาย?”
หรงโม่พูดไม่ออก
…
ในขณะเดียวกัน ซูอันมาถึงห้องหนังสือส่วนพระองค์ ขันทีเหวินมีท่าทางหนักใจ ดูเหมือนว่าอารมณ์ของจักรพรรดิจะไม่ค่อยดีนักในวันนี้
แน่นอนว่าจักรพรรดิเอ่ยด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยวทันทีที่ซูอันเดินเข้ามา “เจ้ายังทำงานที่จักรพรรดิองค์นี้มอบหมายให้ไม่เสร็จใช่หรือไม่?”
“กระหม่อมขอถามหน่อยได้ไหมพะย่ะค่ะว่าฝ่าบาทหมายถึงงานใด?” ซูอันหัวเราะเยาะอยู่ข้างในใจ เขาได้เห็นแผนการทางการเมืองของอีกฝ่ายแล้ว พวกมันอาจใช้ได้ผลกับคนอื่น ๆในโลกนี้ แต่สำหรับคนอย่างเขาที่เข้าใจแนวคิดเรื่องการใช้อำนาจจักรพรรดิ เมื่อเขาตระหนักว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น มันก็ไม่ได้มีผลอะไรกับจิตใจมากนัก
“งานที่เจ้าได้รับมอบหมายให้หาทางออกให้กับรัชทายาท ตอนนี้หัวข้อการทดสอบของรัชทายาทได้รับการตัดสินแล้ว เจ้าเข้าใจความผิดของตัวเองหรือไม่?”
จักรพรรดิมองซูอันด้วยสายตาที่เฉียบคม แรงกดดันที่ทรงพลังพุ่งลงมาราวกับกำลังตัดสินความผิดของเขา
ซูอันรู้สึกทรมาน แต่ไม่ได้แสดงออกมาทางใบหน้าเลย เขากล่าวว่า “การทดสอบขององค์รัชทายาทเกี่ยวข้องกับราชันลมปราณ ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าหน้าที่ระดับเดียวกับกระหม่อมจะเข้าไปเกี่ยวข้องได้ อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงที่ว่ากระหม่อมไม่สามารถมีส่วนบรรเทาภาระของฝ่าบาทได้ เป็นสิ่งที่ทำให้กระหม่อมอับอายและผิดหวังอย่างมาก ได้โปรดลงโทษด้วยพะย่ะค่ะ”
เขาซึ่งคุ้นเคยกับศาสตร์แห่งการปกครอง เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิจะไม่ลงโทษเขาจริง ๆ แต่กำลังใช้โอกาสนี้กดดันให้เขาทำงานให้สำเร็จ นี่เป็นเหตุผลที่เขายอมเล่นไปตามบทด้วย
จักรพรรดิเชื่อสนิทใจว่าซูอันกำลังอยู่กลางฝ่ามือของตัวเอง แต่แท้จริงแล้วกลับถูกจูงจมูกเหมือนถูกสนตะพาย ความรู้สึกแบบนี้ดีมากจริง ๆ
จ้าวฮั่นตกตะลึง ไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะเชื่อฟังได้ขนาดนี้ เขาเตรียมคำวิจารณ์ไว้มากมาย แต่ตอนนี้มันไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ในที่สุดจึงรวบรวมความคิดและพูดว่า “ในเมื่อเจ้ารู้อยู่แล้วว่าตัวเองทำผิด ข้าก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผลเช่นกัน ข้าจะให้โอกาสเจ้าในการชดเชยความผิดพลาดครั้งนี้”
ซูอันเยาะเย้ยอยู่ในใจ แต่ภายนอกดูมีความสุขมาก “โปรดบอกกระหม่อมมาเถิดพะย่ะค่ะ! กระหม่อมจะบุกน้ำลุยไฟทำให้สำเร็จ แม้แต่ความตายก็รั้งกระหม่อมไว้ไม่ได้!”
ซูอันพยักหน้า “กระหม่อมได้ยินมาบ้างในวังตะวันออก”
“องค์หญิงรัชทายาทบอกเจ้าแล้วใช่ไหม?” จักรพรรดิพูดด้วยรอยยิ้มคลุมเครือ
ซูอันตัวสั่น เขาตอบอย่างรวดเร็วว่า “องค์หญิงรัชทายาททรงกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงปรารถนาให้พวกเราทุกคนรวบรวมสติปัญญา เพื่อดูว่าพอจะมีทางแก้ไขหรือไม่พะย่ะค่ะ”
ดูเหมือนผู้ชายคนนี้จะยังหวั่นใจที่ข้ากับลูกสะใภ้จะสนิทสนมกันเกินไป ในตอนนั้นซูอันเกือบจะสูญเสียแขนเพียงเพราะอุ้มนาง ดังนั้นเขาจึงต้องแสดงความบริสุทธิ์ของตัวเองทันที
โชคดีที่จักรพรรดิไม่ถามเขาในเรื่องนั้นอีก แถมยังกล่าวชมว่า “หลิงหลง เด็กคนนั้นมีความรับผิดชอบและขยันหมั่นเพียร สิ่งที่นางกังวลไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผล แม้ข้าไม่อยากจะเชื่อว่าจ้าวจิ่งจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้”
ซูอันรู้สึกได้อย่างดีว่าจักรพรรดิไม่ได้เรียกอีกฝ่ายว่าราชันลมปราณเหมือนเมื่อก่อน แต่เรียกชื่อจ้าวจิ่งโดยตรง ดูเหมือนว่าจักรพรรดิมองราชันลมปราณเป็นภัยมากกว่าเดิม
จักรพรรดิพูดต่อ “ข้ารู้สึกไม่สบายใจเลยจริง ๆ ข้าจึงวางแผนที่จะส่งคนไปติดตามรัชทายาทและคอยเฝ้าระวังอยู่ข้าง ๆ เหตุผลประการแรกคือ เพื่อความปลอดภัยของรัชทายาท ส่วนประการที่สองคือ เพื่อป้องกันเรื่องร้ายจากฝ่ายราชันลมปราณ ในฐานะทูตยุทธ์เสื้อแพรทองและผู้แทนองค์รัชทายาทแห่งวังตะวันออก เจ้าคือผู้ที่เหมาะสมที่สุด”
ซูอันรู้สึกปวดหัวอย่างมาก ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมจักรพรรดิถึงไว้วางใจเขามากขนาดนี้ ท้ายที่สุดครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในศึกใหญ่ครั้งแรกระหว่างฝ่ายจักรพรรดิและฝ่ายของราชันลมปราณ ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ได้ ทำไมจักรพรรดิถึงไว้ใจให้คนอย่างเขาให้มารับผิดชอบเรื่องนี้กัน?
เขาพูดอย่างรวดเร็วว่า “กระหม่อมรู้ว่าตัวเองไร้ค่าเพียงใด ชีวิตของกระหม่อมไม่มีนัยสำคัญ แต่จะหากผิดพลาดไปย่อมหมายถึงชีวิตขององค์รัชทายาทที่ไม่มีสิ่งใดทดแทนได้ ผู้ที่เหมาะสมที่สุดไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้บัญชาการจูเซี่ยฉือซินพะย่ะค่ะ การบ่มเพาะของเขานั้นลึกซึ้งและจงรักภักดีต่อฝ่าบาทอย่างยิ่ง…”
จักรพรรดิตัดบทก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบประโยค “หืม คิดว่าข้าไม่อยากส่งเขางั้นเหรอ? แต่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าจะไม่มีใครที่อยู่เหนือระดับเจ็ดจะเข้าสู่มิติลับได้ และทุกคนรู้กันทั่วไปว่าจูเซี่ยฉือซินเป็นปรมาจารย์อยู่แล้ว ฝ่ายของจ้าวจิ่งจะยินยอมให้เขาเข้าไปในมิติลับได้อย่างไร?”
ซูอันมีรอยยิ้มที่ขมขื่นขณะที่พูดว่า “แต่ระดับการบ่มเพาะของกระหม่อมก็เกินระดับนั้นเช่นกัน…”
ดวงตาของจักรพรรดิหรี่ลง “พูดตามตรง เจ้าเพิ่มความแข็งแกร่งเร็วไปหน่อย สมัยมาเมืองหลวงใหม่ ๆ การบ่มเพาะของเจ้าอยู่เพียงระดับที่หกหรือเจ็ดเองนี่ นานแค่ไหนแล้วที่เจ้ามาถึงจุดนี้ได้? แต่นี่ไม่สมเหตุสมผลเลยเพราะข้าได้อ่านวิชาวัฏจักรหงส์อมตะที่เจ้ามอบให้แล้ว การบ่มเพาะของเจ้าควรช้ากว่าผู้บ่มเพาะทั่วไปด้วยซ้ำ”
………………..