เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 1177 ไม่กลัวฉู่ก็ต้องกลัวฉิน
บทที่ 1177 ไม่กลัวฉู่ก็ต้องกลัวฉิน
หลังจากได้ยินคำตวาดของฉู่โหยวเจา สีหน้าของกู่เหิงเปลี่ยนเป็นเย็นชา “นายน้อยฉู่ เราเคารพความคิดเห็นของเจ้าก็จริง แต่เจ้าจะถือตัวว่ามีตระกูลฉินคุ้มหัวแล้วกล้าทำตัวไร้มารยาทเช่นนี้กับพวกเราไม่ได้ เจ้าคิดว่าเราสองคนกลัวเจ้าเหรอ? ที่นี่คืออาณาเขตขององค์รัชทายาท ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าสองคนจะมาสร้างปัญหา”
ทันทีที่กู่เหิงพูดจบ ผู้คุ้มกันของตระกูลปี่ก้าวมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ปี่หลิงหลงขมวดคิ้ว นางรู้สึกค่อนข้างหนักใจ ตามเหตุผลปกติ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลฉินหรือตระกูลมู่หรงต่างก็เป็นตระกูลผู้สนับสนุนหลักของฝ่ายราชันลมปราณ ในขณะเดียวกัน นางเองย่อมอยากช่วยพี่น้องตระกูลกู่ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มขององค์รัชทายาทอยู่แล้ว ติดแต่ว่าพวกเขากำลังพูดถึงซูอัน นี่ทำให้นางลำบากใจอย่างยิ่ง
“เกิดอะไรขึ้น?” ทันใดนั้นก็มีชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา พวกเขาต่างพากันมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเห็นความวุ่นวาย
ปี่หลิงหลงไม่สามารถอยู่เฉยได้อีกต่อไป นางยิ้มอย่างเป็นทางการให้พวกเขา
คนเหล่านี้มาจากคฤหาสน์อ๋องเหลียง ตระกูลหลิว ตระกูลเมิ่ง และตระกูลเพ่ยเช่นเดียวกับคนของตระกูลอื่น ๆ พวกเขาคือผู้ที่จะเข้าร่วมภารกิจกับองค์รัชทายาทในครั้งนี้
คนเหล่านั้นต่างโค้งคำนับ “ถวายพระพรองค์รัชทายาท องค์หญิงรัชทายาท!”
เขามีลักษณะที่ค่อนข้างกักขฬะ ประกอบกับความจริงที่ว่า จ้าวซีเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ด้วยจึงไม่รู้สึกวิตกกังวลมากเท่ากับคนอื่น ๆ เขาถามว่า “องค์หญิงเพิ่งมาถึงเหรอ? เรารอมานานแล้ว”
ก่อนที่ปี่หลิงหลงจะมีเวลาตอบกลับ กู่ซิงก็พูดทันทีว่า “องค์หญิงรัชทายาทกำลังรอท่านซู พวกเราไปเยี่ยมถึงที่บ้านของเขา แต่เราก็ยังไม่เจอตัว”
“ซูอัน?” จ้าวซีหัวเราะลั่น “ไอ้คนที่ทุบตีจ้าวจื่อสารเลวนั่นจนทำได้แค่นอนง่อยอยู่บนเตียงตลอดเวลา? ฮ่า ๆ! เขาอยู่ที่ไหน? ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของเขาเท่านั้น แต่ไม่เคยเจอกันเลย”
ฝ่ายของอ๋องเหลียงสนิทสนมกับฝ่ายจักรพรรดิและไม่ถูกกับราชันลมปราณ นอกจากนี้จ้าวซีพึ่งพาความสามารถของตัวเองและค่อนข้างหยิ่งยโส ดังนั้นเขาจึงเบื่อหน่ายกับจ้าวจื่อมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถเอาชนะจ้าวจื่อได้ เมื่อได้ยินว่าทายาทของราชันลมปราณถูกซูอันทุบตีอย่างน่าสังเวช เขาก็คำรามด้วยเสียงหัวเราะและจัดงานฉลองครั้งใหญ่ในคืนนั้น
กู่ซิงไม่กล้าที่จะว่าร้ายซูอันอีกเมื่อสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ดีของอีกฝ่ายที่มีต่อซูอัน เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นศัตรูกันโดยไม่จำเป็น
จึงเป็นกู่เหิงที่พูดว่า “เราตามหาท่านซูมาหลายชั่วยามแล้ว แต่ก็ยังไม่เจอเลย”
“เป็นไปได้ไหมว่ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น?” จ้าวซีขมวดคิ้ว “แต่นั่นไม่ควรเป็น ด้วยการบ่มเพาะของซูอัน ใครจะโค่นเขาลงได้ง่ายขนาดนั้น?”
เสียงแหลมเล็กคล้ายหญิงสาวเย้ยหยันขึ้น “หัวของเจ้ามีแต่กล้ามเนื้อแทนที่จะเป็นสมอง เจ้าคิดว่าคนที่อายุน้อยอย่างซูอันจะสามารถเอาชนะจ้าวจื่อที่มีการบ่มเพาะระดับแปดได้จริง ๆ เหรอ และยิ่งกว่านั้นยังประมืออย่างสูสีกับหานเฟิงชิวซึ่งอยู่ขั้นสูงสุดของระดับเก้า? ข่าวกรองของคฤหาสน์ของเราค้นพบแล้วว่ามีผู้บ่มเพาะลึกลับซ่อนตัวอยู่ในที่เกิดเหตุ ดังนั้นความพ่ายแพ้ของจ้าวจื่อจึงเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น”
คนที่พูดคือชายผมมันเงาทาแป้งจนขาวนวล ลักษณะดูเป็นผู้หญิง ดวงตารูปสามเหลี่ยมของเขาดูทรยศเหมือนงูพิษ ริมฝีปากรูปกระจับแดงยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก
“เมิ่งผาน เจ้ามักจะขัดคอข้าเสมอ อย่าบอกนะว่าชอบข้า?” จ้าวซีคำรามด้วยเสียงหัวเราะ
ผู้ชายที่คล้ายผู้หญิงคือตัวแทนของตระกูลเมิ่งในครั้งนี้ เมิ่งผานจับปากของตัวเองทำท่าอยากจะอาเจียนเมื่อได้ยินสิ่งที่จ้าวซีพูด “บรื๋อ! ส่องกระจกก่อนพูดได้ไหม! ถึงข้าจะชอบผู้ชาย แต่คิดว่าข้าจะชอบเจ้าไหม? ถ้าข้าจะชอบใครสักคนก็คงเป็นคนที่เหมือนนายน้อยฉู่ที่มีผิวอ่อนนุ่มและริมฝีปากสีแดง”
“อา…” ฉู่โหยวเจารู้สึกขนลุกทั่วร่างเมื่อถูกเมิ่งผานพูดจาโลมเลีย มู่หรงชิงเหอดึงฉู่โหยวเจาไปไว้ข้างหลัง ทั้งคู่มีแววตาดูถูกเหยียดหยาม
“กลับกันเถอะพี่ฉู่” มู่หรงชิงเหอกลัวจริง ๆ ว่าเมิ่งผานอาจจะมายุ่งกับคนรักของนาง มีข่าวลือว่าเมิ่งผานชอบผู้ชายไปทั่ว นางไม่กล้าประมาทคนอย่างเขาแน่นอน
เดิมทีฉู่โหยวเจาต้องการที่จะทวงความเป็นธรรมให้พี่เขยของนาง แต่สายตาของเมิ่งผานกลับทำให้ไม่สบายใจ นอกจากนี้คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนสนิทของรัชทายาท ดังนั้นนางและคนเหล่านี้จึงไม่ลงรอยกัน นางตัดสินใจติดตามมู่หรงชิงเหอไป
เมิ่งผานเลียริมฝีปากขณะที่มองดูฉู่โหยวเจาจากไป “ผู้ชายคนนั้นน่ารักเหมือนหญิงสาว ช่างเป็นภาพที่ชื่นตาชื่นใจเสียจริง”
มีคนใกล้ ๆ พูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ ว่า “เขาคือผู้สืบทอดแต่เพียงผู้เดียวของอ๋องฉู่ ระวังให้ดีเถอะ อ๋องฉู่อาจตามมากระชากหนังหัวเจ้า”
คนที่พูดเป็นชายในวัยสามสิบ หนวดเคราที่รกครึ้มกอปรกับรอยยิ้มบนใบหน้าทำให้ดูเป็นคนไร้ระเบียบ เขาเป็นลูกชายของหลิวเหย่า มีนามว่า หลิวเซียน ซึ่งปี่หลิงหลงบอกซูอันว่าเป็นคนนิสัยเสียที่ไร้ค่า
ถัดจากหลิวเซียนคือคนที่ดูเหมือนจะอายุไล่เลี่ยกัน เขามีริมฝีปากที่บางและดวงตาที่หรี่แคบ หนวดเคราถูกโกนอย่างสวยงามและเป็นระเบียบ ในขณะที่ผมได้รับการหวีอย่างพิถีพิถัน ตรงกันข้ามกับความขี้เล่นของหลิวเซียน สีหน้าที่จริงจังทำให้เขาดูเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ เขาคือ เกาอิ้ง หลานชายของหลิวเหย่า
เมิ่งผานอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยเมื่อได้ยินสิ่งที่หลิวเซียนพูด “อ๋องฉู่? เขาเป็นเพียงดวงอาทิตย์ตกอีกดวงหนึ่งไม่ใช่เหรอ? ทำไมข้าต้องกลัวเขาด้วย”
ปู่ของเขาเป็นหัวหน้าผู้ตรวจการ ในขณะที่พ่อของเขาเป็นหัวหน้าสำนักเลขาธิการกลาง ในแง่ของสถานะ ครอบครัวของเขาอยู่เหนือตระกูลฉู่ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องกลัวอ๋องฉู่เลย
“แม้ว่าเจ้าจะไม่กลัวตระกูลฉู่ แต่เจ้าก็ควรจะกลัวตระกูลฉินใช่ไหม?” ปี่หลิงหลงกระแอมในลำคอ ท้ายที่สุด ฉู่โหยวเจาเป็นน้องภรรยาของซูอัน ดังนั้นนางจึงไม่ต้องการให้เกิดอะไรขึ้นกับเขา ไม่อย่างนั้นซูอันอาจจะขุ่นเคืองได้ไป แม้ว่าจะไม่พอใจที่ซูอันยังไม่ปรากฏตัวและกลับคำ แต่นางยังคงพยายามดูแลครอบครัวของเขา
เมิ่งผานหัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ยินคำว่า ‘ตระกูลฉิน’ แต่เขาไม่ได้พูดอะไร เขาอาจจะมองข้ามตระกูลฉู่ได้ แต่ตระกูลฉินไม่ใช่คนที่พวกเขากล้าที่จะล่วงเกินโดยไม่มีเหตุผลที่ดี
หลิวเซียนหัวเราะดังลั่นและพูดว่า “มาคุยเรื่องอื่นกันเถอะ! เมื่อครู่เราไม่ได้คุยกันเรื่องซูอันเหรอ?”
กู่ซิงพูดพร้อมกับหัวเราะว่า “เรากำลังพูดถึงว่า เป็นไปไม่ได้ที่ซูอันจะเอาชนะทายาทของราชันลมปราณ นับประสาอะไรกับการต่อสู้อย่างเท่าเทียมกับหานเฟิงชิวผู้บ่มเพาะระดับเก้า”
“ความจริงถูกเปิดเผยเมื่อไม่นานมานี้ไม่ใช่เหรอ? มีผู้บ่มเพาะลึกลับซ่อนอยู่ในบริเวณการต่อสู้” เด็กหนุ่มอีกคนที่เงียบมาตลอดพูดขึ้น เขามีสีหน้าเศร้าหมอง แต่เป็นคนที่เฉลียวฉลาด ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเพ่ยโยวจากตระกูลเพ่ย
รุ่นเยาว์เหล่านี้ล้วนมีความภาคภูมิใจในตัวเอง พวกเขาไม่เชื่อว่าจะมีใครสามารถเอาชนะคนที่มีระดับการบ่มเพาะสูงกว่าได้
“ฮ่า ๆ อย่างน้อยเราก็พูดได้ว่าท่านซูโชคดี ไม่น่าแปลกใจที่องค์หญิงรัชทายาทจะทรงห่วงใยมาก หากเราดึงซูอันมาเป็นพวกได้ โชคของตระกูลเราจะดีขึ้นอย่างแน่นอน” กู่เหิงกล่าว คำพูดทั้งหมดฟังดูชื่นชม แต่จริง ๆ แล้วเขากำลังระบายความเกลียดชังทั้งหมดไปที่ซูอัน
คนอื่น ๆ จึงได้รู้ว่าสาเหตุที่องค์หญิงรัชทายาทมาสายเพราะนางรอซูอันและพากันไม่พอใจ
“มีพวกเรามากมาย เราจำเป็นต้องพึ่งพาซูอันคนนั้นหรือไม่?”
“ย่อมไม่! องค์หญิงรัชทายาทโปรดอย่ากังวลพะย่ะค่ะ แค่พวกเราก็เพียงพอแล้วสำหรับการทดสอบครั้งนี้”
“ซูอันมีอะไรพิเศษถึงกับต้องให้องค์หญิงรัชทายาทต้องรอ? การมีเขาหรือไม่มีย่อมไม่ต่างกัน”
เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยทั้งหมด ปี่หลิงหลงรู้สึกรำคาญใจยิ่งนัก ในที่สุดนางก็ทนไม่ได้อีกต่อไปและร้องว่า “พอได้แล้ว!”
………………..