เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 1187 ความเป็นไปได้
บทที่ 1187 ความเป็นไปได้
“หืม?” สีหน้าของคนอื่น ๆ ดูแปลกไปมากเมื่อได้ยินการวิเคราะห์ขององค์หญิงรัชทายาท หลายคนที่นี่อยู่ในระดับหก นี่ไม่ได้หมายความว่าฆาตกรคือหนึ่งในพวกเขาเหรอ? ใคร ๆ ก็รู้ว่าคนที่ผ่านประตูมิติลับเข้ามาได้มีแต่กลุ่มของพวกเขาเท่านั้น
ปี่หลิงหลงรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของผู้คน นางพูดต่อว่า “ได้โปรดอย่าคิดอะไรฟุ้งซ่าน ฆาตกรอาจเป็นคนนอกหรือคนพื้นเมืองในมิติลับแห่งนี้”
“แต่ตามแหล่งข่าวของเรา ไม่มีชาวพื้นเมืองในมิติลับนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อท่านปี่และคนอื่น ๆ เฝ้าดูอยู่ ไม่น่าจะมีใครจากภายนอกเข้ามาได้” จ้าวซีแสดงด้านที่ละเอียดรอบคอบอย่างน่าประหลาดใจในขณะที่พูด
ปี่หลิงหลงกล่าวว่า “อย่าระแวงจนเกินไป เมื่อเราไม่มีหลักฐานก็ต้องพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้งภายในก่อนเป็นอันดับแรก”
เพ่ยโยวถามว่า “ถ้าอย่างนั้นเราควรส่งคนอื่นไปรายงานสถานการณ์ที่ประตูมิติไหม? ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง”
ปี่หลิงหลงมองเพ่ยโยวอย่างลึกซึ้ง จากนั้นนางก็หันไปมองซูอัน “ท่านซู เจ้าคิดยังไง?”
ซูอันรู้ว่านางกำลังบอกเป็นนัยอะไรบางอย่าง ปี่หลิงหลงสงสัยแรงจูงใจของตระกูลเพ่ยมาโดยตลอด นางได้พูดถึงความสงสัยที่มีต่อเพ่ยโยวหลายครั้งในคืนก่อนหน้านี้ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตอบว่า “อีกฝ่ายจงใจทิ้งศพของเหยื่อในสภาพที่น่าสยดสยองเช่นนี้เพื่อสร้างความตื่นตระหนกในหมู่พวกเรา ในสถานการณ์ตอนนี้ เรามีสองทางเลือก หนึ่งคือถอนตัวออกจากที่นี่พร้อมกันทั้งหมด ซึ่งจะแสดงถึงความล้มเหลว แต่เป็นทางเลือกที่ปลอดภัย หรือสองคือเราสามารถส่งคนกลับไปรายงานที่ประตูมิติอีกครั้ง อย่างหลังก็รังแต่จะทำให้แผนการของศัตรูยิ่งแสดงประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีก เพราะผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดสามารถบั่นทอนกำลังของเราได้เรื่อย ๆ”
ซูอันกล่าวว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เนื่องจากศัตรูเลือกใช้กลยุทธ์ข่มขู่ให้หวาดกลัวประเภทนี้เพื่อแบ่งแยกกองกำลังของเรา แสดงว่าพวกมันไม่แข็งแกร่งพอที่จะเผชิญหน้ากับเราโดยตรง จึงเป็นเหตุผลที่พวกมันทำอะไรแบบนี้ จากนี้ไปเราแค่ต้องระวังให้มากขึ้น”
ความวุ่นวายค่อย ๆ สงบลงเมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินการวิเคราะห์ของซูอัน หลังจากนั้น กลุ่มของพวกเขายังคงเดินหน้าต่อไป แต่จิตวิญญาณของพวกเขาไม่สูงส่งเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ทั้งหมดมีสีหน้าเคร่งเครียด โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในอีกสองสามวันถัดมา และทุกคนก็ค่อย ๆ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
อย่างไรก็ตาม ซูอันเริ่มจริงจังมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะทั้งกลุ่มได้เข้ามาในส่วนลึกของภูเขาแล้ว เข้าใกล้เขตอันตรายที่มีเครื่องหมายสีแดงบนแผนที่ของเจียงลั่วฝูมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาจึงเริ่มเปลี่ยนแผนการเดินทางเพื่อหลีกเลี่ยงพื้นที่สีแดงเหล่านั้นให้มากที่สุด
เนื่องจากต้องเดินทางอ้อมเพื่อหลบหลีกจุดอันตราย พวกเขาต้องใช้เวลาสองถึงสามวันเพื่อไปยังสถานที่ที่ปกติหากเดินเป็นเส้นตรงแล้วจะใช้เวลาครึ่งวัน นายน้อยเหล่านี้เคยประสบกับความตรากตรำเช่นนี้เมื่อใดกัน พวกเขาต่างก็บ่นพึมพำไปตามทาง มีไม่กี่คนที่ไปหารัชทายาทและปี่หลิงหลงเพื่อบอกกล่าวเรื่องซูอัน
จ้าวซีถามอย่างตรงไปตรงมาด้วยความไม่พอใจ “องค์หญิงรัชทายาท ซูอันทำแบบนี้ไม่มากเกินไปหรือพะย่ะค่ะ?”
“ใช่! ปากของเขาพูดอยู่เสมอว่าที่นี่อันตราย แต่ระหว่างทางเราเจออันตรายอะไรไหม? ก็ไม่…” กู่ซิงถือโอกาสใส่ไฟ
“เมื่อไรจะพบอสรพิษหยกจันทราถ้าเรายังเดินอ้อมอยู่แบบนี้? เราจะสามารถทำภารกิจนี้ให้สำเร็จได้เมื่อไร?” เมิ่งผานบ่นพึมพำ
“เฮ้อ ข้าคิดถึงเตียงนุ่ม ๆ ที่บ้านแล้ว… หลังของข้าเริ่มแข็งจากการนอนบนพื้นวันแล้ววันเล่า” หลิวเซียนกล่าวขณะนวดไหล่ตนเอง
“พอแล้ว! ทุกคนต้องเชื่อใจท่านซู เป็นเพราะเขานำทางเราจึงไม่พบอันตรายอะไรเลยแบบนี้” ปี่หลิงหลงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาใจทุกคน
อย่างไรก็ตาม จู่ ๆ สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป เมื่อกองสอดแนมที่พวกเขาส่งไปหายตัวไปอย่างลึกลับ!
“หาย?” ปี่หลิงหลงตกใจมากเมื่อได้ยินคำนี้ “หายไป หมายความว่าไง?”
“พะย่ะค่ะ” เผี่ยวตวนเตียวตอบ “ผ่านไปนานแล้ว กองสอดแนมที่ออกไปสำรวจบริเวณโดยรอบไม่กลับมา เราไม่สามารถติดต่อพวกเขาได้ และไม่พบศพของใครเลยเช่นกัน”
ปี่หลิงหลงและซูอันแลกเปลี่ยนสายตากัน ต่างเห็นความจริงจังในดวงตาของกันและกัน
ทางกลุ่มส่งกองสอดแนมออกไปสำรวจ แต่ไม่พบเบาะแสที่เป็นประโยชน์ การค้นหาอสรพิษหยกจันทรามีความสำคัญสูงสุด พวกเขาจึงได้แต่พักเรื่องนี้ไว้ก่อน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เค้าลางแห่งเรื่องร้ายปรากฏขึ้นในใจของทุกคน
ปี่หลิงหลงสั่งให้ทุกคนเคลื่อนย้ายจากจุดนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการซุ่มโจมตี ถึงอย่างนั้นกองสอดแนมก็หายไปทุกครั้งในสองสามวันถัดมา บางครั้งก็สองวันและบางครั้งก็สามวัน
นายน้อยของตระกูลต่าง ๆ พากันตื่นตระหนก ไม่กี่วันต่อมา ในที่สุดพวกเขาก็ทนไม่ได้อีกต่อไปและรวมตัวกันเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ตอนนี้เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นศัตรู!” หลิวเซียนรู้สึกราวกับกำลังจะเป็นบ้า แต่ก่อนเคยมีสาวใช้ที่น่ารักคอยรับใช้อยู่ทุกวัน ไปเยือนหอคณิกาเพลิดเพลินกับการร้องเล่นเต้นรำ ทำไมเขาถึงต้องฟังผู้อาวุโสในตระกูลและมาที่นี่เพื่อพิสูจน์ตัวเอง?
นี่คือการพิสูจน์? เขาถึงกับต้องเรียกลูกพี่ลูกน้องให้ไปปลดทุกข์เป็นเพื่อน! เพราะทั้งปี่ฉางผู้ถูกสังหารก่อนและกองสอดแนมคนอื่นที่หายตัวไป หลายคนมีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่าเขา! ช่วยไม่ได้ที่หลิวเซียนมักจะเครียดมาก อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังรอถูกเชือดอยู่บนเขียง
“เป็นไปได้ไหมว่าเป็นฝีมือของสัตว์ร้าย?” เกาอิ้งพึมพำขณะที่วิเคราะห์สถานการณ์ “สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้แตกต่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับปี่ฉาง เป็นไปได้ไหมว่ากองสอดแนมที่หายไปจะถูกสัตว์ร้ายที่ซุ่มซ่อนอยู่จับไปกินเป็นอาหาร? อาจเป็นเพราะเราหาพวกเขาไม่เจอ?”
หลิวเซียนรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นเมื่อได้ยินการคาดเดาของเกาอิ้ง “ข้าสั่นสะท้านไปทุกครั้งที่คิดว่ากองสอดแนมพวกนั้นถูกสัตว์ร้ายกินและถูกขับถ่ายออกมาเป็นกองอุจจาระของพวกมัน”
กองสอดแนมที่เหลืออยู่ในบริเวณใกล้เคียงต่างก็จ้องมองมาที่หลิวเซียน บรรดาคนที่หายไปต่างเป็นพี่เป็นน้องเป็นสหาย แต่ชายคนนี้กลับพูดถึงพวกเขาแบบนั้น
เกาอิ้งก็พูดไม่ออกเช่นกัน ลูกพี่ลูกน้องของเขาล้ำเส้นไปแล้ว หลิวเซียนที่โง่เง่ามักจะพ่นทุกเรื่องที่อยากพูด แต่เนื่องจากสถานะที่เป็นญาติกับตระกูลหลิว เขาจึงพูดอะไรไม่ได้จริง ๆ
“ไม่มีทางเป็นสัตว์ร้าย” กู่เหิงวิเคราะห์ “ถ้าเป็นสัตว์ร้ายก็น่าจะมีร่องรอยของเลือดหรือกระดูกที่หลงเหลืออยู่หลังจากถูกกิน ไม่มีทางที่จะไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลยแบบนี้”
เพ่ยโยวพูดอย่างเย็นชา “นั่นคือเหตุผลที่ผู้โจมตีเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน และแน่นอนยิ่งกว่านั้นคือ มันต้องอยู่ในกลุ่มของเรานี่เอง! เราเป็นกลุ่มเดียวที่เข้ามาในมิติลับนี้ ดังนั้นมันจึงเป็นข้อสรุปที่ชัดเจน แม้ว่าจะไม่มีใครพูด แต่ข้าแน่ใจว่าพวกเจ้าทุกคนมีความคิดที่คล้ายกันอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เรากังวลเกี่ยวกับขวัญกำลังใจของทุกคน แต่ตอนนี้ไม่มีทางเลือกแล้ว”
ดวงตาของปี่หลิงหลงหรี่ลงขณะที่ตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นนายน้อยเพ่ยมีความคิดไหมว่าใครเป็นผู้กระทำความผิด?”
“ความจริงแล้ว มันค่อนข้างง่ายที่จะค้นหาว่าใครคือฆาตกรพะย่ะค่ะ” เพ่ยโยวจงใจหยุด สายตาของเขากวาดมองไปยังสิ่งของที่มีอยู่
คนอื่น ๆ ที่ตั้งใจฟังมาตลอด รอคอยประโยคต่อไปของเขา
จ้าวซีพูดอย่างกระวนกระวายใจ “จะพูดอะไรก็รีบพูด! ทำไมจู่ ๆ เจ้าถึงหยุดกลางคันเหมือนเมิ่งผาน”
เมิ่งผานคำรามอย่างเดือดดาล “เจ้ากำลังพยายามจะพูดอะไร!?”
จ้าวซีไม่พอใจ เขาหันกลับมาและไม่สนใจเมิ่งผานอีก