เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 1190 ดึกแล้ว
บทที่ 1190 ดึกแล้ว
“ไอ้สารเลวนั่นซ่อนความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตัวเองไว้! มันคิดไม่ซื่อแต่แรกแน่ ๆ!” จ้าวซีก่นด่าขณะพยายามวิ่งตาม แต่ความหวังที่จะวิ่งทันนั้นริบหรี่เต็มที
“อย่าตามไป ส่วนลึกของภูเขาเต็มไปด้วยอันตราย คงจะไม่ดีแน่หากเขานำเราเข้าไปในเขตของสัตว์ร้ายตัวอื่น” ปี่หลิงหลงออกคำสั่ง “จับกุมคนของตระกูลเพ่ยไว้ก่อน”
กลุ่มคนของตระกูลเพ่ยตื่นตระหนกในขณะที่เผชิญหน้ากับตระกูลอื่น ๆ ทำท่าทางราวกับกำลังจะสู้ตาย
โชคดีที่ปี่หลิงหลงกล่าวว่า “ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าไม่รู้เรื่องเพ่ยโยว ตราบใดที่เจ้าลดอาวุธลง ข้ารับประกันความปลอดภัยในนามของข้า เมื่อเราออกจากมิติลับนี้ ศาลจะเป็นผู้พิจารณาคดีพวกเจ้า”
กลุ่มคนของตระกูลเพ่ยมองหน้ากันด้วยความตกใจ ในที่สุดพวกเขาก็เลิกต่อต้านเพราะความเคารพที่มีต่อองค์หญิงรัชทายาท หลังจากที่นายน้อยเพ่ยหนีไปแล้ว พวกเขาก็ไร้ผู้นำ หากต้องต่อสู้กันจริง ๆ คงตายอย่างไม่ต้องสงสัย ทำได้เพียงลากคนอื่นลงไปสู่ปรโลกด้วยกันให้มากที่สุดเท่านั้น ในเมื่อองค์หญิงรัชทายาทได้ให้คำสัญญาแล้ว พวกเขาจึงต้องการรักษาชีวิตของตนไว้เช่นกัน
หลังจากที่คนของตระกูลเพ่ยถูกจับกุม นายน้อยคนอื่น ๆ ก็ไปที่กระโจมขององค์หญิงรัชทายาทเพื่อหารือว่าจะทำอย่างไรต่อไป
“มีแต่หายนะครั้งแล้วครั้งเล่า” หลิวเซียนโบกพัดที่ขาดรุ่งริ่งในมือของตัวเองพลางถอนหายใจหนัก ๆ
กู่เหิงถามว่า “เราจะหาท่านซูเจออีกครั้งได้ยังไง? ท่านซูสามารถหลีกเลี่ยงรังของสัตว์ร้ายเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำ ดูท่าแล้วน่าจะคุ้นเคยกับภูเขาลูกนี้ เขาน่าจะมีทางออกให้พวกเราได้”
เมื่อได้ยินคำพูดของกู่เหิง คนอื่น ๆ ก็มองเขาพร้อมกับเลิกคิ้ว แม้แต่ปี่หลิงหลงก็ยังมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ
ใบหน้าของกู่เหิงร้อนขึ้น “ก่อนหน้านี้ข้าค่อนข้างไม่พอใจท่านซู และอิจฉาที่เขาได้รับความไว้วางใจจากองค์หญิงรัชทายาท แต่ตอนนี้ข้ารู้ว่าท่านซูเป็นผู้มีความสามารถจริง ๆ และการเดินทางครั้งนี้เกี่ยวข้องกับการทดสอบขององค์รัชทายาท ข้าจะปล่อยให้ความคับแค้นใจส่วนตัวส่งผลกระทบต่อภาพรวมได้ยังไง?”
ปี่หลิงหลงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “พี่กู่ ขอบคุณ!”
ร่างกายทั้งหมดของกู่เหิงดูเหมือนจะอ่อนยวบลงเมื่อได้ยินนางเรียกเขาว่า ‘พี่กู่’ นางเคยเรียกขานเขาเช่นนี้ตอนที่พวกเขายังเด็กเท่านั้น
“เราไม่กล้ารับคำขอบคุณที่ได้ทำหน้าที่ช่วยเหลือองค์หญิงรัชทายาท” กู่ซิงพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาไม่สามารถปล่อยให้พี่ใหญ่ดึงความสนใจไปทั้งหมดได้
ทั้งกลุ่มคุยกันนานขึ้น มันอันตรายเกินไปที่จะเคลื่อนไหวในเวลากลางคืนบนภูเขา พวกเขาจะส่งคนไปตามหาซูอันเมื่อท้องฟ้าสว่างอีกครั้ง
จากนั้นทุกคนได้แยกย้ายกันกลับไปที่กระโจมเพื่อพักผ่อน หลังจากการสู้รบครั้งใหญ่หลายวันติดต่อกัน พวกเขาทั้งหมดได้รับบาดเจ็บ เสียงกรนดังสะท้อนไปทั่วบริเวณอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าปี่หลิงหลงจะเหนื่อย แต่ด้วยความกังวลเกี่ยวกับผลของการทดสอบ นางจึงนอนไม่หลับ
“เราเอง” พี่น้องกู่ทั้งสองพูดพร้อมกัน
“มีเรื่องอะไรที่จำเป็นที่ต้องพูดคุยกันตอนนี้หรือเปล่า?” ปี่หลิงหลงขมวดคิ้ว
“เรามีเรื่องจะรายงานองค์หญิงรัชทายาทพะย่ะค่ะ” กู่เหิงกล่าว
ปี่หลิงหลงกระชับคอเสื้อของนางและพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ตอนนี้ดึกมากแล้ว ค่อยว่ากันพรุ่งนี้”
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของทุกคน หากเราจะพูดถึงเรื่องนี้ในวันพรุ่งนี้ก็จะสายไปแล้ว” กู่ซิงกล่าว
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ปี่หลิงหลงก็หยิบเสื้อคลุมด้านข้างขึ้นมาสวม “เข้ามาได้”
พี่น้องตระกูลกู่เข้ามาอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้ามาข้างในทั้งสองก็มองไปรอบ ๆ ทันที และตระหนักว่าปี่หลิงหลงเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ในนี้
“องค์รัชทายาทไม่บรรทมที่นี่เหรอ?” กู่ซิงทำเสียงตกใจ
การที่ปี่หลิงหลงและรัชทายาทนอนแยกกันเป็นความลับที่มีเพียงไม่กี่คนในวังตะวันออกเท่านั้นที่รู้ เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นรู้ความลับ นางมักจะแกล้งทำเป็นนอนในกระโจมเดียวกันกับรัชทายาท
ปี่หลิงหลงไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้ต่อและถามกลับว่า “เจ้าต้องการบอกอะไรข้าล่ะ?”
กู่เหิงถามว่า “องค์หญิงรัชทายาททรงรู้สึกว่าผู้ร้ายตัวจริงคือ เพ่ยโยวงั้นหรือพะย่ะค่ะ?”
“ทำไมจู่ ๆ ถึงถามแบบนี้ล่ะ?” คิ้วที่สวยงามของปี่หลิงหลงขมวดมุ่น
กู่ซิงกล่าวว่า “ให้ข้าอธิบาย เมื่อพี่น้องของเรากลับไปคุยกันเรื่องนี้ เรารู้สึกว่าสถานการณ์ทั้งหมดนี้แปลกเกินไป ซูอันถูกไล่ล่าและหลักฐานทั้งหมดก็ชี้ไปที่เขาในตอนนั้น เราลงเอยด้วยการทำผิดต่อเขา ซึ่งหมายความว่าวันนี้เราอาจทำผิดพลาดเช่นเดียวกันกับเพ่ยโยว ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาเป็นคนร้าย แต่จริง ๆ แล้วอาจเป็นคนอื่นก็ได้”
เขาแอบสำรวจปี่หลิงหลงในขณะที่พูด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนางใน ‘ห้องชั้นใน’ แม้ว่านางจะสวมเสื้อคลุม แต่ก็ยังมองเห็นชุดตัวในได้อย่างเลือนราง ดูราวกับไม่มีเวลาแม้แต่จะผลัดผ้า เสื้อผ้าของนางได้รับความเสียหายในระหว่างการต่อสู้ จึงมีบางส่วนที่เผยผิวขาวกระจ่างออกมาสู่สายตา
ปี่หลิงหลงลังเลและพูดว่า “แต่เพ่ยโยวมีแรงจูงใจและมีการกระทำที่น่าสงสัย…ทั้งยังจากไปด้วยการจำนนต่อหลักฐาน”
กู่เหิงถามว่า “แล้วซูอันไม่เป็นอย่างนี้เหมือนกันหรือพะย่ะค่ะ?”
ปี่หลิงหลงถามอย่างจริงจังว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าสองคนคิดว่าใครคือคนร้ายตัวจริงล่ะ”
“เมิ่งผาน?” ปี่หลิงหลงเริ่มคิดกับตัวเอง
กู่เหิงถือโอกาสนี้มองประเมินนางอย่างใกล้ชิด คิ้วที่ขมวดมุ่นของนางกระชากใจเขาจริง ๆ เฮ้อ หมูอ้วนอย่างรัชทายาทกำลังละเลยผู้หญิงที่มีเสน่ห์ล้นเหลือคนนี้จริง ๆ เหรอ? ไฟปรารถนาในดวงตาของเขาร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ปี่หลิงหลงดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางอย่าง ริมฝีปากสีแดงสดเผยอออกและพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าสองคนกลับไปก่อน ข้าจะทบทวนเรื่องนี้อีกที”
พี่น้องตระกูลกู่แลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถามอย่างรวดเร็วว่า “เราจะเรียกคนของเกาอิ้งและอ๋องเหลียงมากักตัวเมิ่งผานไว้ก่อนดีไหม?”
ปี่หลิงหลงตอบอย่างใจเย็นว่า “ข้ายังต้องคิดดูก่อน เจ้าสองคนกลับไปได้แล้ว มันดึกมากแล้ว”
พี่น้องตระกูลกู่ประสานเสียง “แต่สถานการณ์กำลังกดดัน เราควรลงมือเดี๋ยวนี้!”
เสียงของปี่หลิงหลงเย็นชา “เจ้าสองคนกำลังพยายามสอนข้าถึงวิธีการตัดสินใจหรือไม่? พูดตามตรง แม้ว่าเมิ่งผานจะสงสัย แต่เจ้าสองคนก็ไม่ได้ปราศจากความน่าสงสัยโดยสิ้นเชิงเช่นกัน เจ้าสองคนมีส่วนร่วมในการขับไล่ซูอันและเพ่ยโยวออกไป”
สีหน้าของกู่เหิงเปลี่ยนไป “องค์หญิงรัชทายาททรงสงสัยเราหรือพะย่ะค่ะ?”
ปี่หลิงหลงกล่าวว่า “ข้าไม่ได้สงสัยเจ้า แค่ว่ามันดึกแล้ว ไม่เหมาะสมที่เจ้าสองคนจะอยู่ที่นี่ ถ้ามีอะไรอีกไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้!”
กู่เหิงมีสีหน้าที่ขัดแย้งกัน เห็นได้ชัดว่ากำลังลังเลกับบางสิ่ง
………………..