เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 1193 เจ้าจะนั่งดูไปอีกนานแค่ไหน?
บทที่ 1193 เจ้าจะนั่งดูไปอีกนานแค่ไหน?
กู่ซิงไม่พอใจ “เจ้าไม่มั่นใจเกินไปหน่อยเหรอ? หากนายน้อยคนอื่นอยู่ที่นี่ เราอาจทำอะไรไม่ถูก แต่น่าเสียดายที่เจ้าระวังตัวมากเกินไปจึงมาเพียงลำพัง แม้ว่าจะมีเพ่ยโยวคอยช่วยเหลือ แต่พวกเราพี่น้องก็ยังไม่กลัวพวกเจ้า”
“ข้าคนเดียวก็พอแล้ว!” ทันทีที่เกาอิ้งพูดจบ เสียงร้องอันทรงพลังของกระบี่ดังกึกก้อง ร่างของเขาหายไปจากที่เดิม
พี่น้องตระกูลกู่ตกใจและยกอาวุธขึ้นมาตั้งท่าป้องกันโดยสัญชาตญาณ ประกายไฟลอยออกมาจากแรงเสียดทานระหว่างอาวุธ ทั้งสองเซถลาถอยหลังไป แต่ยังคงปิดกั้นการโจมตี
เกาอิ้งรู้สึกประหลาดใจ “ไม่คิดว่าเจ้าทั้งสองจะปิดบังการบ่มเพาะของตัวเอง”
กู่เหิงพูดอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่ามีเพียงนายน้อยของตระกูลหลักอย่างเจ้าเท่านั้นที่บ่มเพาะอย่างพากเพียร? พวกเราตระกูลสาขาสามารถลงแรงให้หนักขึ้นตั้งแต่แรกเกิดเพื่อให้มีโอกาสเอาชนะเจ้าทุกคนที่เกิดมาพร้อมกับภูเขาทรัพยากร”
ปี่หลิงหลงพูดอย่างเย็นชา “อย่าคิดว่าการลงแรงหนักจะเป็นเรื่องดีเสมอไป เมื่อพยายามมากขึ้น คนไร้ยางอายและน่ารังเกียจเช่นเจ้าสองคนสามารถเป็นอันตรายต่อสังคมได้มากขึ้น”
ตัวตนสุภาพที่กู่เหิงสร้างขึ้นพังทลายลงอย่างสิ้นเชิงหลังจากถูกคนที่รักวิพากษ์วิจารณ์ด้วยถ้อยคำรุนแรง “ใครเป็นคนตัดสินว่าอะไรดีอะไรชั่ว? ทำไมความพยายามของเราจึงเป็นอันตรายต่อสังคม? ในความคิดของข้ามีเพียงผู้ชนะเท่านั้นที่เป็นผู้ตัดสินกฎ เมื่อเราช่วยราชันลมปราณขึ้นสู่บัลลังก์ เราจะกลายเป็นชนชั้นปกครองโดยชอบธรรม และทุกสิ่งที่เราทำจะถูกราชสำนักมองว่าชอบธรรม…”
กู่เหิงได้เตรียมตัวไว้แล้ว เมื่อเห็นการโจมตี เขาก็ยกดาบขึ้นเพื่อสกัดกั้นการโจมตี กู่ซิงที่อยู่ข้าง ๆ เปิดฉากตอบโต้ด้วยเช่นกัน
เพ่ยโยวเริ่มเคลื่อนไหว แม้ว่าเกาอิ้งจะมั่นใจ แต่ก็ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้อีกฝ่ายเผชิญหน้ากับสองคนผู้คิดคดตามลำพัง หากเกิดเหตุร้ายขึ้น พวกเขาจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในทันที
ทั้งสี่คนเริ่มต่อสู้กัน การบ่มเพาะของเกาอิ้งนั้นสูงกว่าพี่น้องทั้งสอง แต่ทำอะไรไม่ได้มากนักเมื่อเทียบกับการทำงานเป็นทีมที่ยอดเยี่ยมของพี่น้องตระกูลกู่
ทว่าในเวลาต่อมา เพ่ยโยวก็ตะคอกอย่างเย็นชา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการยั้งมืออีกต่อไป กระบี่ของเขาปะทุด้วยประกายแสง บาดแผลมากมายปรากฏขึ้นบนร่างของพี่น้องตระกูลกู่เกือบจะในทันที แม้ว่าบาดแผลจะไม่ร้ายแรงนัก แต่ผลแพ้ชนะก็ถูกตัดสินไปล่วงหน้าแล้ว
“วิ่ง!” กู่เหิงตะโกนอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็พยายามเร่งฝีเท้าออกไป ด้านนอก พวกเขายังมีลูกน้องอยู่ และบรรดาผู้ที่ภักดีต่อฝ่ายรัชทายาทก็หมดสติไปแล้ว ถ้ารวมตัวกับลูกน้องได้ก็สามารถพลิกสถานการณ์ได้
เกาอิ้งอ่านความคิดของพวกเขาได้อย่างชัดเจน “อยากวิ่งเหรอ?” เขาตัดมันทิ้งทันที กระบี่ในมือของเขาขยายใหญ่และปรากฏเงากระบี่สีดำขึ้นในเส้นทางของทั้งสองราวกับว่ากำลังรอเหยื่อ
แต่ทันใดนั้นก็มีบางอย่างเกิดขึ้น จู่ ๆ ได้มีฝ่ามือพุ่งเข้ามาจากด้านนอกกระแทกเข้าที่หลังของเกาอิ้ง เลือดเต็มคำกระอักออกมาจากปาก ใบหน้าของเขาซีดเผือด ร่างกระแทกกับพื้นเหมือนกระสอบที่แตก เขาพยายามยืนขึ้น แต่ก็ทำไม่ได้ แม้จะพยายามหลายครั้งแล้วก็ตาม
เพ่ยโยวตื่นตัวในทันที เขารีบถอยกลับ แต่ก็สายเกินไป ร่างนั้นพุ่งเข้าหาเขาราวกับสายฟ้าแลบ ความเร็วของมันมากกว่าเขาหลายเท่า ฝ่ามือกระแทกเข้าที่หน้าอกของเขา เพ่ยโยวใช้ทักษะกระบี่ที่ทรงพลังที่สุดเพื่อป้องกันตัวเอง การป้องกันของเขาไร้รอยต่อ ตราบเท่าที่เขาได้พักหายใจเพียงชั่วครู่ เขาจะมีโอกาสเพิ่มระยะห่างได้
น่าเสียดายที่ฝ่ามือของศัตรูฉีกแนวป้องกันของเขาอย่างง่ายดาย เสียงเปราะดังขึ้น จากนั้นกระบี่ล้ำค่าของเพ่ยโยวก็หักออกเป็นหลายชิ้น ฝ่ามือนั้นกดที่หน้าอกของเขาเบา ๆ หน้าอกของเพ่ยโยวยุบลงอย่างชัดเจน เลือดไหลออกจากปากขณะที่เขานอนอยู่บนพื้นและหอบหายใจอย่างยากลำบาก ยากที่จะบอกว่าต่อไปจะรอดหรือไม่
เดิมทีฝ่ายขององค์หญิงรัชทายาทได้เปรียบ แต่สถานการณ์กลับพลิกผันในทันใด
ตอนนี้ปี่หลิงหลงเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นใคร รูปลักษณ์ของบุคคลนี้ดูธรรมดามาก เขาสวมเครื่องแบบธรรมดาที่สุด แต่นางก็ไม่กล้าที่จะดูถูกอีกฝ่าย ทั้งคลื่นพลังรุนแรงที่กระเพื่อมออกมาจากร่างกาย และท่าทางที่น่าเกรงขามประกาศอย่างชัดเจนว่า นี่คือผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งกว่าคนอื่น
“ขั้นสูงสุดของระดับแปด!” เกาอิ้งตกใจ เขารู้สึกสิ้นหวังทันที
“เจ้าเป็นใครกันแน่” สีหน้าของปี่หลิงหลงมืดครึ้มขณะที่นางจ้องตรงไปที่เขา คนผู้นี้ไม่ใช่คนของตระกูลปี่อย่างแน่นอน
เกาอิ้งและเพ่ยโยวก็จ้องมองบุคคลปริศนาเช่นกัน แม้ว่าพวกเขากำลังจะตาย พวกเขาก็อยากจะรู้ความจริง
คนผู้นั้นหัวเราะเบา ๆ และถอดหน้ากากออก “เป็นไปตามคาดหมายขององค์หญิงรัชทายาท เจ้ายังคงสงบสติอารมณ์ได้แม้ในสถานการณ์แบบนี้”
“ซือถง!” ทุกคนรับรู้แล้วว่าคนผู้นี้เป็นใคร นี่คือผู้ที่มีการบ่มเพาะสูงสุดในหมู่รุ่นน้องของตระกูลซือ ก่อนหน้านี้ถูกปลดออกจากตำแหน่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพจรยุทธ์หลังจากเรื่องที่ตระกูลซือใส่ร้ายซูอันและองค์หญิงรัชทายาทถูกเปิดโปง
“ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้!?” ปี่หลิงหลงร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก ท้ายที่สุดในตอนนี้ คนผู้นี้ควรจะอยู่ในคุกหลวง!
“ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณราชันลมปราณที่ให้โอกาสข้าอีกครั้ง! ไม่อย่างนั้นข้าจะแก้แค้นแทนตระกูลซือได้ยังไง?” ใบหน้าของซือถงบิดเบี้ยว “นังองค์หญิงแพศยาร่านราคะ เดิมทีตระกูลซือของเราเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์ เป็นตระกูลอันดับหนึ่งในเมืองหลวง ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าที่ทำให้น้องหกของข้าตาย เราจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแบกรับความอาฆาตแค้นต่อวังตะวันออก หลังจากประสบกับความล้มเหลวในการลอบสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า ที่ฝ่าบาทจะยังไม่จัดการกับตระกูลซือของเราอย่างสมบูรณ์ นั่นเป็นเพียงเพราะป้ายทองเว้นโทษตาย แต่พวกเราทุกคนเข้าใจว่าฝ่าบาทจะไม่ไว้ชีวิตตระกูลซือตลอดไปแน่นอน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้า!”
ปี่หลิงหลงตอบอย่างเย็นชา “ช่างเป็นข้อกล่าวหาที่หลอกลวงกระทั่งตัวเอง! เป็นตระกูลซือของเจ้าที่พยายามวางแผนใส่ร้ายข้า แต่ตอนนี้มันเป็นความผิดของข้าเหรอ? พวกเจ้าล้วนแต่ได้รับผลจากการกระทำของตัวเองเท่านั้น”
“เฮอะ! ดูสิว่าปากเล็ก ๆ นี้ฉลาดพูดแค่ไหน ข้าจะถอดเสื้อผ้าของเจ้าออกแล้วยัดของของข้าเข้าไป มาดูกันว่าเจ้าจะยังทำตัวหยิ่งผยองได้อีกไหม” เสียงของซือถงเย็นชา
พี่น้องตระกูลกู่ตื่นตระหนกทันที “ท่านซือ ราชันลมปราณตกลงแล้วว่าหลิงหลงจะเป็นของเรา!”
ซือถงตะคอก “เป็นความผิดของพวกเจ้าที่ไม่สามารถจัดการกับนางได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องกังวล เมื่อข้าระบายความคับแค้นใจกับนางเสร็จแล้ว ข้าจะคืนนางให้เจ้าสองคน”
“เจ้า…!” พี่น้องตระกูลกู่คับแค้นใจอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อซือถงจ้องมองมา พวกเขาก็รู้สึกเย็นวาบที่สันหลังทันทีและไม่กล้าพูดอะไรอีกเพราะกลัวการบ่มเพาะของอีกฝ่าย
“น่ารังเกียจ!” ปี่หลิงหลงหน้าแดง นายน้อยเหล่านี้ปกติล้วนใสสะอาดและสูงส่ง แต่ภายใต้หน้ากากนั้น พวกเขาล้วนชั่วร้ายและต่ำตม
ดวงตาของซือถงหรี่แคบลง “มันแปลกจริง ๆ เจ้าดูไม่กลัวอะไรเลย ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน?”
ปี่หลิงหลงสูดหายใจเข้าลึก ๆ และตะโกนว่า “คนแซ่ซู เจ้าจะนั่งดูละครเรื่องนี้ไปอีกนานแค่ไหน!?”
………………..