เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 1214 ผู้พิทักษ์แห่งจวนราชันลมปราณ
บทที่ 1214 ผู้พิทักษ์แห่งจวนราชันลมปราณ
ใบหน้าของปี่หลิงหลงซีดลง แต่นางยังคงเชิดหน้าขึ้นสูง “เจ้าคิดว่าตัวเองชนะแล้วเหรอ? เราสามารถฆ่าสัตว์อสูรระดับเก้าได้แล้ว ถ้าสู้กันใครแพ้ใครชนะยังยากที่จะบอก ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าทำผิดพลาดครั้งใหญ่ ถ้าสู้กันจริง ๆ เราอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า แต่การปล่อยคนให้หนีหนึ่งหรือสองคนก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป เมื่อเราออกจากมิติลับได้ แผนการของราชันลมปราณจะถูกเปิดโปง ฝ่าบาทจะทรงมีเหตุผลอันชอบธรรมเพียงพอที่จะจัดการเขา พวกเจ้าก็จะไม่รอดเช่นกัน”
“แล้วทำไมไม่ละทิ้งความมืดและแสวงหาแสงสว่างล่ะ หากเจ้ายอมจำนนต่อเรา ข้าจะไม่เพียงแค่ปล่อยให้อดีตผ่านไปเท่านั้น แต่ยังถือว่าเจ้าเป็นผู้มีส่วนร่วมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการโค่นล้มราชันลมปราณ ไม่ว่าจะเป็นเวลา อำนาจ ความมั่งคั่ง หรือทรัพยากรการบ่มเพาะ ทุกอย่างจะเป็นของเจ้า นั่นจะต้องดีกว่าการเป็นผู้ติดตามของจวนราชันลมปราณแล้วพินาศไปพร้อมกับเขาใช่ไหม?”
เว่ยผิงหยางรู้สึกประหลาดใจ “ข้าต้องยอมรับว่าคำพูดขององค์หญิงรัชทายาท ค่อนข้างเย้ายวนใจ แม้แต่ข้าก็ยังรู้สึกหวั่นไหวนิดหน่อย”
ปี่หลิงหลงไม่ได้รู้สึกยินดีที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้เลย เพราะคำพูดของเขาบ่งบอกเป็นนัยว่าเขายังคงปฏิเสธข้อเสนอของนาง
“ถ้าข้าปล่อยเจ้าไปจริง ๆ การฆ่าเจ้าและองค์รัชทายาทก็จะหมดความหมาย อย่างไรก็ตาม ในเมื่อราชันลมปราณวางแผนแบบนี้ เขาจะไม่เตรียมการอย่างอื่นได้ยังไง?” เว่ยผิงหยางถอนหายใจ “องค์หญิงรัชทายาท เจ้าพูดเรื่องพวกนี้เพราะต้องการหยุดพักให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าได้ฟื้นตัวสักหน่อยใช่ไหม? แต่เนื่องจากข้ารู้ทันเจ้าแล้ว คิดไหม? ว่าทำไมข้าถึงยังคุยกับเจ้าต่อล่ะ?”
ในที่สุด สีหน้าของปี่หลิงหลงก็เปลี่ยนไป อย่าบอกนะว่า…
“แน่นอน เราแอบต้อนสัตว์อสูรเหล่านั้นไปยังทางที่เจ้าจะต้องผ่าน” เว่ยผิงหยางดูค่อนข้างภูมิใจในสิ่งที่เขาได้ทำ “เราต้องการให้สัตว์อสูรพวกนั้นจัดการพวกเจ้าให้หมดสิ้น แต่ข้าไม่คิดว่ากลุ่มของพวกเจ้าจะมีฝีมือและร่วมกันต่อสู้อย่างไม่กลัวตาย ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้าแทรกแซงเป็นการส่วนตัว”
จิตใจของคนในกลุ่มจมลงสู่ก้นบึ้งเมื่อพวกได้ยินคำพูดของเว่ยผิงหยาง พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะเอาชนะกลุ่มคนตรงหน้าเหล่านี้ ตัดสินจากสิ่งที่ผู้พิทักษ์เว่ยพูด ยังมีคนมากกว่านี้อีก…
ทันใดนั้น ร่างหนึ่งได้พุ่งออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงกรีดร้อง บรรดาตัวแทนของตระกูลเมิ่งตกอยู่ในความโกลาหล เพราะคนที่วิ่งหนีคือนายน้อยเมิ่งผาน! ตอนนี้พวกเขาติดกับดักอย่างสมบูรณ์ กำลังพลของแต่ละตระกูลควรติดตามนายน้อยของพวกเขา แต่รัชทายาทและองค์หญิงยังอยู่ที่นี่ ถ้าเมิ่งผานวิ่งหนี แล้วยังขืนตามไป นั่นจะไม่ทำให้พวกเขากลายเป็นทหารหนีทัพเหรอ?
“ไอ้เมิ่ง เจ้ามีความละอายใจบ้างไหม!?” จ้าวซีตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว ชี้ไปที่เมิ่งผานและก่นด่า
พวกเขาเสียเปรียบอยู่แล้ว และเมิ่งผานก็เป็นหนึ่งในสมาชิกที่แข็งแกร่งที่สุดของกลุ่ม แต่ตอนนี้กำลังวิ่งหนีอยู่? น่าเสียดายที่พวกเขาต้องจดจ่ออยู่กับเว่ยผิงหยาง และไม่กล้าที่จะไล่ตามเมิ่งผานไป ไม่อย่างนั้นกระบวนรบของพวกเขาจะไม่เป็นระเบียบและทุกอย่างจะพังทลาย พวกเขาได้แต่หวังว่าคนของเว่ยผิงหยางจะหยุดเมิ่งผานได้ ไม่ว่าจะดีขึ้นหรือแย่ลง มันอาจทำให้คนของศัตรูบางคนหมดแรง
ปี่หลิงหลงรู้สึกท้อแท้ แต่นางไม่ได้อารมณ์เสียขนาดนั้น เพราะในตอนนี้ การที่เมิ่งผานอยู่กับพวกเขาหรือไม่ก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างมากนัก ตรงกันข้าม ถ้าเมิ่งผานสามารถหลบหนีได้จริง ๆ และเพ็ดทูลเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ต่อฝ่าบาท นั่นก็คุ้มค่าแล้ว
นี่เป็นเหตุผลที่นางมองอย่างคาดหวังไปยังทิศทางที่เมิ่งผานกำลังวิ่งจากไป ต้องยอมรับว่าสำหรับผู้บ่มเพาะระดับหกเมิ่งผานค่อนข้างรวดเร็ว เขาสามารถออกจากวงล้อม ‘คนป่า’ ได้ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ
แต่สิ่งที่แปลกคือ ไม่มีคนของเว่ยผิงหยางพยายามหยุดเมิ่งผาน ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาดูเหมือนจะไม่เห็นเมิ่งผานและมุ่งความสนใจไปที่คนที่เหลืออยู่เท่านั้น
เมิ่งผานมีความสุขมาก เขาจงใจเลือกช่วงเวลานี้เพราะรู้ว่าคนของจวนราชันลมปราณจะต้องจัดการกับรัชทายาทและองค์หญิงรัชทายาทก่อน ผู้ที่มาช่วยรัชทายาทล้วนแต่เป็นกำลังพลที่เก่งที่สุดของตระกูลต่าง ๆ แม้ว่าจะเพิ่งลงต่อสู้ในสนามใหญ่ แต่ทั้งกลุ่มก็ยังคงรักษาความแข็งแกร่งไว้ได้ นอกจากนี้ กับคนที่เก่งกาจอย่างซูอันที่สังหารอสรพิษหยกจันทราระดับเก้าได้แล้ว แม้ว่าเว่ยผิงหยางจะอยู่ในระดับปรมาจารย์ มันไม่ง่ายเลยที่จะเอาชนะซูอันได้
นั่นเป็นเหตุผลที่เมิ่งผานคิดว่าคงไม่มีใครมีเวลามายุ่งกับเขา สำหรับการหลบหนีของเขาจะส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของกลุ่มหรือไม่ นั่นไม่ใช่เรื่องของเขา
ฮึ่ม! อย่างน้อยที่สุดคนของของตระกูลเมิ่งก็คอยช่วยเหลืออยู่ เขายังคงปลอบใจตัวเองต่อไปและเริ่มคิดว่าจะอธิบายเรื่องต่าง ๆ ต่อจักรพรรดิอย่างไรที่หนีรอดออกมาคนเดียว
ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็แทบถลนออกมาจากเบ้า สองมือกุมลำคอ ขาทั้งสองเตะจากด้านหนึ่งไปอีกด้านอย่างทุรนทุราย ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบคอไว้
เว่ยผิงหยางเผยรอยยิ้มที่ผ่อนคลายและพูดว่า “ในที่สุดเจ้าก็มาถึงซะที”
เสียงพูดเนิบช้าตอบกลับ “ถ้าข้าไม่มา เจ้าคงปล่อยให้พยานหนีไปแล้ว”
ร่างสูงเดินออกมาจากป่าอย่างช้า ๆ เขาสวมชุดคลุมสีขาวไว้เครายาวสลวย เต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ห่างเหินและน่าเกรงขาม
ร่างกายทั้งหมดของปี่หลิงหลงสั่นสะท้าน เสียงของนางมีความสิ้นหวังเล็กน้อยขณะที่โพล่งออกมาว่า “ลู่เซียว!”
คนที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาคือหัวหน้าผู้พิทักษ์ของจวนราชันลมปราณ ผู้ซึ่งมีข่าวลือว่าถึงขั้นกลางของระดับปรมาจารย์ ลู่เซียว!
บุคคลอีกสองคนปรากฏตัวขึ้นจากทิศทางอื่น หนึ่งในนั้นมีรอยแดงขนาดใหญ่บนใบหน้าดูน่ากลัวและน่าเกลียด ด้วยลักษณะที่โดดเด่นเช่นนี้ เขาจึงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้พิทักษ์คนที่ห้าของจวนราชันลมปราณนามว่า มู่ผิง ผู้บ่มเพาะขั้นกลางของระดับเก้า ส่วนอีกคนหนึ่งมีศีรษะโตและมีสีหน้าซุกซน นี่คือผู้พิทักษ์คนที่สามของจวนราชันลมปราณ เหอหลี่ ซึ่งอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเก้า
ปี่หลิงหลงหัวเราะด้วยความขมขื่น “สี่ในห้าผู้พิทักษ์ของจวนราชันลมปราณ ถูกส่งมาพร้อมกัน? ดูเหมือนว่าราชันลมปราณจะคาดหวังกับเราไว้สูงจริง ๆ”
ไม่ใช่แค่ผู้พิทักษ์ที่ทรงพลังทั้งสี่เท่านั้น มีกลุ่มคนฝ่ายปฏิปักษ์ที่แข็งแกร่งมากมายที่นี่เช่นกัน ในความเป็นจริง กำลังคนดังกล่าวร่วมกับผู้พิทักษ์คนใดคนหนึ่งก็เพียงพอแล้วที่จะกวาดล้างกลุ่มของรัชทายาทให้หมดสิ้น นับประสาอะไรกับผู้บ่มเพาะที่ทรงพลังสี่คนนี้!
ลู่เซียวยิ้ม “ราชันลมปราณไม่เคยต่อสู้ในสมรภูมิที่ไม่มีความมั่นใจ เดิมทีตาแก่ผู้นี้คิดว่าเขาพูดเกินจริงไปเสียหน่อย แต่หลังจากได้เห็นการสั่งการที่กล้าหาญขององค์หญิงรัชทายาท ข้าต้องยกย่องการมองการณ์ไกลของราชันลมปราณอีกครั้ง”
………………..
บทที่ 1215 ไม้เด็ดของจักรพรรดิ
………………..
บทที่ 1215 ไม้เด็ดของจักรพรรดิ
ปี่หลิงหลงยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าเป็นแค่เด็กรุ่นหลัง ไม่สมควรได้รับคำชมเชยจากปรมาจารย์ที่ทรงพลังเช่นเจ้า”
ในขณะเดียวกัน นางก็ส่งเสียงผ่านกระแสพลังชี่ไปยังซูอัน “อาซู เจ้าหาโอกาสหนีไปทูลเรื่องที่เกิดขึ้นต่อฝ่าบาท เจ้าเป็นคนเดียวที่มีโอกาสทำได้สำเร็จ”
ซูอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าจะพาเจ้าไปด้วย!” เขาไม่สามารถปกป้องคนอื่นได้ นอกจากนี้ยังมีโอกาสหนีรอดไปไม่มาก แม้ว่าเขาจะพาปี่หลิงหลงไปด้วยเพียงคนเดียวก็ตาม มีผู้บ่มเพาะระดับปรมาจารย์สองคน ระดับเก้าสองคน และกำลังคนฝั่งตรงข้ามทั้งหมด ถ้าหมี่ลี่ช่วยเขา มันอาจจะยังมีโอกาส แต่นางไม่ได้สนใจเขาเลย แม้แต่ตอนนี้ที่เขาพยายามจะขอความช่วยเหลือ
ปี่หลิงหลงส่ายหน้า “รัชทายาทอยู่ที่นี่ และคนของข้าทั้งหมดก็อยู่ที่นี่ ข้าจะหนีเอาตัวรอดคนเดียวได้ยังไง?”
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังเกิดขึ้น เมิ่งผานที่กระเสือกกระสนถูกบดขยี้เป็นก้อนแล้วเหวี่ยงขึ้นไปในอากาศ แล้วตกลงมาที่เท้าของปี่หลิงหลง
ลู่เซียวพูดอย่างเฉยเมยว่า “ข้าเกลียดคนขี้ขลาดเหล่านี้มาโดยตลอด ขอส่งเขาคืนให้องค์หญิงรัชทายาทด้วยความเคารพ”
ซูอันตัวสั่น มือของลู่เซียวไพล่อยู่ด้านหลังตลอดเวลา แต่เมิ่งผานที่อยู่ขั้นกลางของระดับหกกลับถูกมือที่มองไม่เห็นคว้าไว้ จนไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่น้อยที่จะต่อต้าน
การฆ่าผู้บ่มเพาะระดับหกนั้นง่ายสำหรับลู่เซียวมากกว่าการเชือดไก่ เขาไม่ต้องใช้มือด้วยซ้ำ นี่เป็นพลังของผู้บ่มเพาะระดับปรมาจารย์ใช่หรือไม่?
ปี่หลิงหลงพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าเป็นคนสั่งให้นายน้อยเมิ่งหลบหนีไปรายงานต่อฝ่าบาท เขาจะเป็นคนขี้ขลาดได้ยังไง? ตรงกันข้าม เจ้าฆ่าเจ้าหน้าที่ผู้ภักดี นี่เป็นอาชญากรรมที่สมควรฆ่าล้างตระกูล”
นางรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดโดยเจตนาเพื่อลดขวัญกำลังใจของตัวแทนตระกูลเมิ่ง ท้ายที่สุดถ้าแม้แต่เจ้านายของพวกเขายังขี้ขลาด แล้วพวกเขาควรจะต่อสู้เพื่ออะไรในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา? นี่เป็นเหตุผลที่นางรีบบอกปัดข้อกล่าวหาของเมิ่งผานและทำให้หัวใจของพวกเขามั่นคงขึ้นในทันที
แน่นอนว่ากลุ่มคนตระกูลเมิ่งที่ท้อแท้นั้นเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ในทันที ดวงตาของพวกเขาลุกโชนด้วยความโกรธขณะที่จ้องมองลู่เซียว คนผู้นี้ได้สังหารและใส่ร้ายนายน้อยของตระกูลเมิ่ง!
ลู่เซียวตกตะลึง แต่แล้วเขาก็หัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “องค์หญิงรัชทายาทฉลาดอย่างที่คาดไว้ น่าเสียดายที่เล่ห์เหลี่ยมทั้งหมดล้วนสิ้นความหมายหากไร้ความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง”
“ความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง?” ปี่หลิงหลงมีสีหน้าแปลก ๆ “ในเมื่อตัวตนที่โดดเด่นอย่างเจ้าเชื่อว่าตัวเองมีความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง เจ้ากล้าต่อสู้กับข้าอย่างยุติธรรมหรือไม่?”
ทุกคนจากจวนราชันลมปราณหัวเราะเมื่อได้ยินสิ่งที่ปี่หลิงหลงพูด นี่มันเรื่องตลกอะไรกันเนี่ย? ลู่เซียวเป็นผู้บ่มเพาะอันดับหนึ่งของจวนราชันลมปราณ! เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่เก่งที่สุดในเมืองหลวง
แม้ว่าการบ่มเพาะของปี่หลิงหลงจะไม่เลวร้ายสำหรับคนในช่วงอายุของนาง แต่นางก็ยังเด็กเกินไป ไม่ใช่คนในระดับเดียวกันกับลู่เซียวเลย พูดให้ตรงกว่านั้นคือ ศิษย์หมูหมากาไก่ของลู่เซียวก็เพียงพอแล้วที่จะกำจัดปี่หลิงหลง
ลู่เซียวหัวเราะ “ข้าเคยได้ยินมาว่าองค์หญิงรัชทายาทนั้นฉลาดและมีไหวพริบ วันนี้ข้าพบว่าเจ้าเล่าเรื่องตลกได้ดีกว่าด้วยซ้ำ”
รอยยิ้มของเขาจางหายไปในขณะที่พูดว่า “เจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะต่อสู้กับข้า” น้ำเสียงของเขาสงบปราศจากความโกรธ ราวกับกำลังพูดถึงสิ่งที่ไม่ง่ายไปกว่านี้
ทุกคนจากวังตะวันออกก็งุนงงเช่นกัน พวกเขาคิดไม่ออกว่าทำไมองค์หญิงรัชทายาทถึงเรียกร้องเช่นนี้ ท้ายที่สุดแล้วการบ่มเพาะของเมิ่งผานนั้นอยู่เหนือองค์หญิงรัชทายาท ลู่เซียวไม่ต้องใช้มือในการสังหารด้วยซ้ำ องค์หญิงรัชทายาทจะเอาชีวิตมาทิ้งง่าย ๆ แบบนี้เหรอ?
ซูอันมองปี่หลิงหลงพร้อมกับขมวดคิ้ว ทว่าเขาไม่ได้พูดอะไรเพราะรู้ว่านางไม่ใช่คนประเภทที่จะพูดโดยไม่คิด
ปี่หลิงหลงก้าวไปข้างหน้าและมองลู่เซียวอย่างเย็นชา “ข้าจะฟันเจ้าด้วยกระบี่เพียงครั้งเดียว ถ้าเจ้าสามารถอยู่รอดได้ก็ค่อยมาพูดถึงเรื่องคุณสมบัติกัน”
หลังจากที่พูด นางชี้ไปที่เครื่องหมายดอกไม้ระหว่างคิ้ว แสงสีทองประหลาดปะทุออกมาจากมัน จากนั้นร่างของนางค่อย ๆ ลอยขึ้นไปในอากาศ ผมที่หวีอย่างพิถีพิถันสยายลอยละล่องไปตามสายลม ทำให้ดูเหมือนเทพธิดาที่ลงมาจากสวรรค์เพื่อลงทัณฑ์หมู่มาร
“ระดับเก้า? หรืออาจจะเป็นระดับปรมาจารย์?” เว่ยผิงหยางและคนอื่น ๆ จากจวนราชันลมปราณตกใจมาก ทุกคนรู้ว่ามีเพียงผู้ที่อยู่ในระดับที่เก้าเท่านั้นที่สามารถบินได้เช่นนี้ เป็นไปได้ไหมว่าองค์หญิงรัชทายาทอยู่ในระดับที่เก้าหรือสูงกว่านั้น? เป็นไปได้อย่างไร?
แต่ความจริงที่ตาเห็นบังคับให้พวกเขาต้องเชื่อ ทุกคนรู้สึกได้ว่าคลื่นพลังของปี่หลิงหลงรุนแรงมากขึ้น แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวปกคลุมลงมา ผู้คนที่อยู่ใกล้นางที่สุดสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้และคุกเข่าลงบนพื้น แม้แต่ซูอันก็ถอยหลังไปสองสามก้าวโดยไม่รู้ตัว
“เจตจำนงค์ศักดิ์สิทธิ์ของจักรพรรดิ?” ซูอันมองไปที่ปี่หลิงหลงด้วยความสยดสยอง คลื่นพลังนี้คุ้นเคยเกินไป! เมื่อครั้งทูตยุทธ์เสื้อแพรอัญเชิญพระราชโองการในเมืองจันทร์กระจ่าง สิ่งนี้ได้ทิ้งเงามืดทางจิตใจไว้ให้เขา
ซูอันเคยเห็นเครื่องหมายดอกไม้ระหว่างคิ้วของปี่หลิงหลงมาหลายครั้ง และคิดว่ามีไว้ประดับเพื่อความสวยงามเฉย ๆ สาวงามในราชสำนักหลายคนก็มีสัญลักษณ์ตรงหว่างคิ้วที่คล้ายกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่ามันจะซ่อนท่าไม้ตายที่น่าเกรงขามไว้?
รอยยิ้มบนใบหน้าของลู่เซียวแข็งทื่อทันที และไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไป เขายกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว กำแพงพลังโปร่งใสปรากฏขึ้นรอบตัว อย่างไรก็ตาม ลู่เซียวไม่ได้ผ่อนคลายเลยหลังจากนั้น เขารู้ว่าตัวเองตกเป็นเป้าหมายของแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวนั้นแล้ว ทุกอณูในร่างกายกำลังบอกว่าสถานการณ์นี้อันตรายอย่างยิ่ง
ด้วยไม่กล้าที่จะจัดการอย่างประมาท ลู่เซียวจึงใช้การบ่มเพาะทั้งหมดสร้างกำแพงพลังป้องกันเจ็ดชั้นขึ้นรอบตัว เช่นเดียวกับกระบี่ที่ลอยวนอยู่เหนือศีรษะ นี่คืออาวุธวิเศษที่ผูกพันกับจิตวิญญาณ อาวุธที่เขาให้คำมั่นว่าจะร่วมเป็นร่วมตายด้วยกัน
ในขณะนั้นปี่หลิงหลงลืมตาขึ้น การจ้องมองของนางเต็มไปด้วยความว่างเปล่าราวกับเป็นจักรพรรดินีผู้ปกครองเหนือทุกสิ่ง ข้างหลังนางมีร่างสีทองที่มองเห็นได้เลือนราง
“ฝ่าบาท!” แม้ว่าร่างนั้นจะพร่ามัว แต่ผู้พบเห็นก็ยังแยกแยะได้ว่าเป็นใคร นอกจากนี้ด้วยรัศมีที่โดดเด่น ทุกคนจากจวนราชันลมปราณก็ตระหนักได้ในที่สุดว่าเกิดอะไรขึ้น
ในชั่วขณะนั้น พวกเขาทั้งหมดหวาดกลัวอย่างไร้สติ พลังของจักรพรรดิในฐานะผู้บ่มเพาะที่ทรงพลังที่สุดในโลกนั้นฝังลึกอยู่ในหัวใจของพวกเขา ไม่มีใครกล้าต่อกรกับจักรพรรดิแม้ว่าจะอยู่ในระดับปรมาจารย์แล้วก็ตาม
“หลิงหลงช่างยอดเยี่ยม! ฆ่าพวกมันให้หมด!” รัชทายาทโห่ร้องอย่างตื่นเต้น คนอื่น ๆ จากวังตะวันออกก็ให้กำลังใจนางเช่นกัน พวกเขาไม่สิ้นหวังอีกต่อไป
ปรากฏว่าจักรพรรดิยังมีไม้เด็ดที่จะเล่น! ต่อหน้าจักรพรรดิ คนอื่นก็ไร้ความหมาย!