เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 1217 ผิดอะไรที่ข้าจะให้ยืมภรรยา?
บทที่ 1217 ผิดอะไรที่ข้าจะให้ยืมภรรยา?
………………..
บทที่ 1217 ผิดอะไรที่ข้าจะให้ยืมภรรยา?
ซูอันหยุดเคลื่อนไหว ยอมรามือในที่สุด เมื่อตระหนักว่าการโจมตีของเขาไร้ประโยชน์
ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งลอยเข้ามาอย่างช้า ๆ ลำแสงนั้นกลับมาที่ด้านข้างของเขา กรีดร้องขณะที่มันตัดผ่านอากาศ สิ่งนั้นคือกระบี่บิน
เสียงของหมี่ลี่กล่าวว่า “ผู้บ่มเพาะระดับปรมาจารย์จะสามารถบ่มเพาะจิตวิญญาณ และเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาครอบคลุมบริเวณนี้ทั้งหมด ดังนั้นการเคลื่อนไหวใด ๆ ของเจ้าก็ไม่สามารถรอดพ้นจากการตรวจจับของเขาได้และสามารถสกัดกั้นการโจมตีทั้งหมดของเจ้าได้ล่วงหน้า”
ซูอันอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย “พี่หญิงใหญ่ ในที่สุดท่านก็ตื่นแล้ว”
หมี่ลี่เพียงแค่ทำเสียง ‘อืม’ ตอบสนอง นางเงียบอีกครั้งราวกับกำลังคิดกับตัวเอง อย่างไรก็ตาม ซูอันไม่สามารถใส่ใจกับเรื่องนั้นได้ เขารีบถาม “ข้ามีโอกาสชนะไหม?”
“ไม่” หมี่ลี่พูดโดยไม่มีร่องรอยของการรักษาน้ำใจ
ซูอันพูดไม่ออก “แม้จะทุ่มเทจนสุดตัว?” เขาไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้
“เป็นเพราะความสามารถในการเคลื่อนไหวของเจ้า ไม่อย่างนั้นเจ้าคงตายไปหลายรอบแล้ว” หมี่ลี่ไม่พอใจ “ครั้งนี้ศัตรูของเจ้าแตกต่างจากครั้งก่อน ไม่มีที่ไหนให้เจ้าวิ่งพล่านภายใต้เจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นการโจมตีและการหลบเลี่ยงทั้งหมดของเจ้าจะไม่มีความหมาย ถ้าเป็นเพียงระดับปรมาจารย์คนเดียว ด้วยความสามารถที่ไร้สาระของเจ้า เจ้าคงมีโอกาสทำได้สำเร็จ แต่ตอนนี้ปรมาจารย์มีสองคน รวมถึงสองคนที่อยู่ในระดับเก้าและกลุ่มผู้บ่มเพาะระดับเจ็ดและแปด เจ้าจะไปสู้กับพวกมันทั้งหมดด้วยอะไร?”
“ข้าแนะนำให้เจ้าหนีไปในขณะที่ลู่เซียวยังไม่ฟื้นตัว อาจจะพอรักษาชีวิตไว้ได้ ไม่อย่างนั้นเมื่อเขาฟื้น เจ้าจะไม่สามารถหนีไปได้ด้วยซ้ำ”
ซูอันหันกลับมาและมองปี่หลิงหลงที่อยู่ห่างไกล รวมทั้งเพื่อนของเขา เผี่ยวตวนเตียวและเจียวซือกุนจากพระราชวังตะวันออก เขาเงียบลง
ลู่เซียวและเว่ยผิงหยางเริ่มสนทนากัน “ข้าคงเป็นศพไปแล้วถ้าเจ้ารอนานกว่านี้” ลู่เซียวพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก
“พี่ลู่โปรดอย่าอารมณ์เสีย ข้าไม่ได้ช่วยท่านทันเวลาเหรอ?” เว่ยผิงหยางตอบด้วยรอยยิ้ม ในเวลาเดียวกัน สายตาของเขาก็จับจ้องไปยังแขนที่ขาดหายไปของลู่เซียว เขาพูดพร้อมกับถอนหายใจ “จักรพรรดิปล่อยเจตจำนงไว้บนตัวนางเพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังทรงพลังมาก ช่างน่ากลัวจริง ๆ”
“ดูเหมือนสวรรค์จะเข้าข้างราชันลมปราณ” เว่ยผิงหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ลู่ ท่านต้องพักฟื้นนานแค่ไหน?”
“ครึ่งชั่วยาม ข้าจะสามารถต่อสู้อีกครั้งในครึ่งชั่วยาม อย่างไรก็ตาม…” ลู่เซียวมองไหล่ซ้ายที่ว่างเปล่าของเขา “ข้าไม่คิดว่าตัวเองจะได้แขนซ้ายนี้กลับคืนมา”
ผู้บ่มเพาะระดับสูงทุกคนมีความสามารถในการฟื้นฟูที่ทรงพลังในระดับปรมาจารย์ ความเร็วในการฟื้นตัวของพวกเขาจะเร็วยิ่งขึ้น แม้ว่าบาดแผลจะดูน่ากลัว แต่สิ่งเดียวที่เขาสูญเสียไปคือกระบี่ที่ผูกวิญญาณและแขนข้างซ้าย การฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บอื่น ๆ ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป
เว่ยผิงหยางแอบดีใจที่เห็นเช่นนี้ ลู่เซียวอยู่เหนือเขามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่หลังจากสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในวันนี้ แม้ว่าลู่เซียวจะฟื้นตัว การบ่มเพาะก็จะตกลง ตำแหน่งผู้พิทักษ์หมายเลขหนึ่งของจวนราชันลมปราณอาจตกเป็นของเขา
ราชันลมปราณออกกฎห้ามไม่ให้มีความขัดแย้งภายในโดยเด็ดขาด ด้วยผู้คนจำนวนมากที่เฝ้าดูอยู่ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องช่วยลู่เซียว ไม่อย่างนั้นเขาคงมีความสุขมากกว่านี้ที่เห็นอีกฝ่ายตาย
“เอาล่ะ ท่านพักผ่อนให้สบายเถอะ พี่ลู่ ข้าจะปกป้องท่าน” เขายืนอยู่ข้างลู่เซียว จากนั้นก็โบกมือเป็นสัญญาณให้ผู้ใต้บังคับบัญชาล้อมรอบอีกฝ่าย
“องค์หญิง ทำไมเจ้าไม่ให้เว่ยผู้ต่ำต้อยคนนี้ได้สัมผัสกับกระบี่ของเจ้าด้วยล่ะ” น้ำเสียงของเว่ยผิงหยางมีความเย้ยหยัน เขารู้อย่างชัดเจนว่าปี่หลิงหลงไม่สามารถใช้กระบี่ได้อีกในสภาพร่างกายปัจจุบัน
ปี่หลิงหลงอารมณ์เสีย แต่ก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะโต้กลับเช่นกัน นางมองผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างใจเย็นและพูดว่า “ทุกคน พวกเราน่าจะตายที่นี่ หากพวกเจ้าทุกคนแปรพักตร์ไปยังฝ่ายจวนราชันลมปราณ ข้าจะไม่รู้สึกขุ่นเคืองใด ๆ ต่อการเลือกของพวกเจ้า”
จ้าวซีคำรามด้วยเสียงหัวเราะ “องค์หญิงรัชทายาททรงตรัสอะไร? เราทุกคนล้วนเป็นผู้กล้าที่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมในภารกิจนี้ เราจะคุกเข่าร้องขอชีวิตได้ยังไงพะย่ะค่ะ? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันยิ่งใหญ่มาก เรื่องจะไม่รั่วไหลออกไปได้ยังไงพะย่ะค่ะ? แทนที่จะยอมจำนนและกลืนความทุกข์ลงคอ เราจะต่อสู้จนสุดหัวใจไปด้วยกันจะดีกว่า”
ซูอันพยักหน้า แม้ว่าจ้าวซีจะดูเหมือนค่อนข้างกักขฬะ แต่ก็มีด้านดี
จริง ๆ แล้วมีคนจำนวนมากที่ลังเลในคำพูดของปี่หลิงหลง อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งที่จ้าวซีพูด ทั้งหมดก็สลัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไปและคำรามออกมาว่า “เราจะสู้จนตาย! จนตาย!”
เว่ยผิงหยางหัวเราะเยาะ “เจ้าสมควรได้รับคำชมสำหรับความกล้าหาญ น่าเสียดายที่ทุกอย่างไร้ความหมาย” เขาแสดงท่าทางด้วยมือและสั่งอย่างเย็นชาว่า “อย่าปล่อยให้ใครมีชีวิตรอดแม้แต่คนเดียว!”
“รักษากระบวนรบ!” ปี่หลิงหลงอ่อนแออย่างมากในขณะนี้จนถึงระดับที่แทบจะไม่สามารถยืนพิงซูอันได้ อย่างไรก็ตาม นางยังคงสั่งการคนอื่นต่อไป
คนเหล่านี้คือชนชั้นสูงของตระกูลต่าง ๆ เมื่อรวมกันแล้วก็ยังแข็งแรง แต่ถ้ากระบวนรบไม่เป็นระเบียบ พวกเขาจะกลายเป็นแกะที่รอการถูกฆ่าเพียงเท่านั้น
องค์หญิงรัชทายาทกำลังพักพิงอยู่บนร่างของชายอื่น แต่ไม่มีใครจากพระราชวังตะวันออกแสดงท่าทีคัดค้านใด ๆ ราวกับว่ามันควรจะเป็นเช่นนี้ พวกเขารักษากระบวนรบเพื่อหยุดการบุกโจมตีของจวนราชันลมปราณ
เป็นเว่ยผิงหยางที่แสดงความคิดเห็นแทนว่า “จ้าวรุ่ยจื่อเอ๋ยจ้าวรุ่ยจื่อ ภรรยาของเจ้านอนอยู่ในอ้อมแขนของชายอื่น แต่เจ้าดูไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย? การที่เจ้าได้เป็นรัชทายาทนั้นถือเป็นความอัปยศของราชวงศ์จริง ๆ ข้าแนะนำให้เจ้าสละตำแหน่งและปล่อยให้ราชันลมปราณขึ้นครองราชบัลลังก์เสียเถอะ”
รัชทายาทตกตะลึง เงยหน้าขึ้นมองเว่ยผิงหยางที่ลอยอยู่และถามว่า “ภรรยาของเจ้าอยู่ในอ้อมแขนของชายอื่นไม่ได้เหรอ”
เว่ยผิงหยางหัวเราะเยาะเย้ย “ย่อมไม่ได้!”
“แล้วตอนนี้ภรรยาของเจ้าอยู่ที่ไหน?” รัชทายาทถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เห็นได้ชัดว่าภรรยาของข้าอยู่ในบ้านของเรานอกมิติลับ” เว่ยผิงหยางไม่พอใจ
รัชทายาทตอบว่า “แต่พวกเจ้าไม่ได้บอกว่าอยู่ในมิติลับนี้มาหลายปีแล้วเหรอ? เจ้าไม่เคยกลับบ้าน บางทีภรรยาของเจ้าอาจอยู่ในอ้อมแขนของชายอื่นไปแล้ว”
“เจ้าพูดอะไร!?” ใบหน้าของเว่ยผิงหยางบูดบึ้งอย่างยิ่ง ไม่เคยคาดคิดว่าจะถูกคนโง่ทำให้อับอายอย่างนี้
รัชทายาทพูดต่อว่า “พี่ซูดีกับข้าเสมอและช่วยชีวิตข้าไว้หลายครั้ง เขาเป็นเพื่อนที่ดี ผิดอะไรที่ข้าจะให้ยืมภรรยาสักหน่อย? แต่เป็นเจ้าที่คอยรังแกข้ากับหลิงหลง เมื่อข้าออกไปจะกำจัดทั้งตระกูลของเจ้าอย่างแน่นอน และทำให้ภรรยาของเจ้าอยู่ในอ้อมแขนของชายอื่น!”
“วะฮ่าฮ่าฮ่า!” แม้แต่บางคนจากจวนราชันลมปราณก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“เจ้ากล้าขู่ข้าเหรอ!” เว่ยผิงหยางโกรธมากจนควันออกหู “ไอ้อ้วน เบื่อชีวิตแล้วใช่ไหม?”
แถบแสงสว่างวาบพุ่งไปที่หน้าอกของรัชทายาททันที