เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 1219 เสียสละ
บทที่ 1219 เสียสละ
“พี่ซู!” ทั้งสองคนทั้งตกใจและดีใจ ขณะที่มองซูอันราวกับกำลังมองดูเทพเจ้าแห่งสงคราม ซูอันบอกว่าจะปกป้องทั้งสองก่อนที่จะเข้ามาในมิติลับแห่งนี้ ชัดเจนว่าพี่ซูของพวกเขาไม่ได้กลับคำ
แม้ว่า… ซูอันจะปกป้องพวกเขาไปกี่ครั้งแล้วตั้งแต่เข้ามาในมิติลับ? น่าเสียดายที่ทั้งคู่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร ย่อมจะไม่มีครั้งต่อไปอีก ทั้งสองคนพูดอย่างรวดเร็วว่า “พี่ซู อย่าเสียแรงปกป้องพวกเรา รีบไปช่วยองค์รัชทายาทและองค์หญิงรัชทายาทเถอะ”
ซูอันรีบประคองทั้งสองเมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคงอีกต่อไป จากนั้นก็พาพวกเขาไปที่ด้านข้างของปี่หลิงหลง จากนั้นจึงใช้จ้าววายุรีบไปช่วยจ้าวซีและคนอื่น ๆ จากผู้บ่มเพาะระดับเก้าสองคน ก่อนที่จะพาพวกเขาทั้งหมดกลับไปที่ศูนย์กลางของกระบวนรบ
“พวกเจ้าทุกคน จงนำองค์รัชทายาทและองค์หญิงรัชทายาทออกไปจากที่นี่! ข้าจะรั้งอยู่คนสุดท้ายเอง!”
เผี่ยวตวนเตียวและเจียวซือกุนต่างก็ส่ายศีรษะ “พี่ซู ท่านควรเป็นคนนำองค์รัชทายาทและคนอื่น ๆ ออกจากที่นี่ เราจะรั้งด้านหลังเอง!”
“อันที่จริง หน้าที่นั้นควรจะเป็นของข้ามากกว่า” ปกติแล้วเพ่ยโยวไม่สนใจเรื่องรูปร่างหน้าตามากนัก ตอนนี้เขากำลังเช็ดเลือดออกจากใบหน้าด้วยเสื้อผ้าของตัวเอง
จ้าวซีหอบหายใจในขณะที่พูดพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ ว่า “ข้าไม่ได้ขี้ขลาดเหมือนเมิ่งผาน”
แม้ว่าเกาอิ้งจะไม่ได้พูดอะไร แต่ความแน่วแน่ในดวงตาของเขาก็อธิบายทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
ซูอันส่ายศีรษะ “แค่ยืนพวกเจ้ายังยืนไม่อยู่ ต่อให้รั้งท้ายก็คงจะต้านไว้ได้ไม่นาน ให้ข้ารั้งท้ายไว้เพราะจะได้ซื้อเวลาให้พวกเจ้ามากขึ้น เจ้าต้องทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อวิ่ง วิ่งให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าหนีไม่ได้จริง ๆ ก็ซ่อนตัวบนภูเขาลูกนี้ ตราบใดที่ยังอยู่รอด คนภายนอกจะเข้ามาตรวจสอบและเจอพวกเจ้าในที่สุด”
“อาซู…” ใบหน้าของปี่หลิงหลงเต็มไปด้วยความเศร้าโศก นางรู้ว่าการรั้งท้ายหมายความว่าอย่างไร
คนอื่นอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ซูอันตวาดอย่างดุดัน “อย่าเสียเวลา! ไม่อย่างนั้นจะไม่มีใครหลบหนีได้แม้แต่คนเดียว!”
เกาอิ้งพูดอย่างจริงจังว่า “ข้าจะอยู่ข้างหลังกับเจ้าที่นี่ เจ้าอาจไม่สามารถหยุดพวกมันได้โดยลำพัง และเรายังต้องสั่งการพวกทหาร”
จู่ ๆ หลิวเซียนที่เงียบก็พูดว่า “พี่น้องทั้งหลายพวกเจ้าก็ควรหนีไปเช่นกัน แค่ข้าอยู่ที่นี่ก็พอแล้ว”
“เจ้า?” คนอื่น ๆ ตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นหลิวเซียน
หลังจากนั้น เขามองไปที่เกาอิ้ง และพูดว่า “ข้ารู้ว่าในสายตาของทุกคนในเมืองหลวง ข้าเป็นตัวตลก ถึงขนาดที่พวกเขาใช้ข้าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีในการสอนบุตรหลาน ข้ารู้ด้วยว่าตัวเองไม่มีประโยชน์มากนัก แต่ลูกพี่ลูกน้องอย่างเจ้าแตกต่างออกไป ตระกูลหลิวของเราไม่มีอัจฉริยะมากมายในรุ่นเยาว์ ในอนาคตเราจะต้องพึ่งพาเจ้าในการสนับสนุนตระกูลหลิว เจ้าจะมาตายที่นี่ไม่ได้ ลูกพี่ลูกน้อง เจ้าดูแลข้าอย่างดีมาโดยตลอด ถึงเวลาที่ข้าจะต้องตอบแทนแล้ว”
หลิวเซียนพูดจบจึงพุ่งกลับเข้าไปในสมรภูมิรบ “ในฐานะบุตรหลานตระกูลหลิวการเผาแก่นโลหิตก็เป็นสิ่งที่ข้าสามารถทำได้เช่นกัน!” ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงทั้งหมดในขณะที่พูด ปลายผมชี้ตั้งขึ้น คลื่นพลังรุนแรงขึ้น แต่ไม่เหมือนกับคนอื่นที่ไปถึงระดับแปด คลื่นพลังของเขาหยุดอยู่ที่ขั้นสูงสุดของระดับหก ไม่ถึงระดับเจ็ดด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครหัวเราะเยาะหลิวเซียน ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยน้ำตาขณะที่มองไปที่ด้านหลังของชายผู้กล้าหาญ ในช่วงเวลานี้นายน้อยผู้สุรุ่ยสุร่ายซึ่งทุกคนเคยดูถูกดูแคลนกลับดูแข็งแกร่งและทรงพลังอย่างยิ่ง
เว่ยผิงหยางหัวเราะ “ไม่จำเป็นต้องถกเถียงกัน วันนี้จะไม่มีใครหน้าไหนออกไปได้!”
สีหน้าของซูอันเปลี่ยนไป ยกฝ่ามือขึ้นอัดคลื่นพลังมหาศาลส่งปี่หลิงหลงและคนอื่น ๆ ออกไปหลายสิบลี้ ส่วนตัวเองอยู่รั้งท้ายเพื่อหยุดเว่ยผิงหยางและพวกเอาไว้
เว่ยผิงหยางหัวเราะเยาะ “ท่านซู แค่ข้าคนเดียวเจ้ายังเอาชนะไม่ได้เลย ตอนนี้คิดจะหยุดพวกเราทั้งหมดงั้นเหรอ? ไปเอาความกล้ามาจากไหน?”
“ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าตัวเองหยุดเจ้าได้หรือไม่ถ้าไม่ได้ลองดู?” ซูอันยืนหยัดอยู่พร้อมกระบี่ไท่เอ๋อร์คู่ใจ เผชิญหน้าเพียงลำพังกับผู้พิทักษ์ทั้งสามของจวนราชันลมปราณ เว่ยผิงหยาง เหอหลี่ และมู่ผิง
ปี่หลิงหลงมองซูอันจากที่ไกลอย่างลึกซึ้ง เล็บกำลังจะจิกเข้าไปในอุ้งมือที่กำแน่น
หากเกิดอะไรขึ้น ข้าจะพยายามเอาชีวิตรอดและแก้แค้นแทนเจ้าให้ได้! และจะไม่หยุดจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีวิญญาณแม้แต่ดวงเดียวหลงเหลืออยู่ในจวนราชันลมปราณ! ดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยความเกลียดชัง แม้ว่าฮูหยินราชันลมปราณจะเป็นญาติของนาง…
ถึงอย่างนั้นนางก็ภาวนาอยู่ในใจอาซู เจ้าต้องรอด!
…
ในขณะเดียวกันซูอันกำลังถูกหมี่ลี่ก่นด่า “เจ้าจะเล่นบทเป็นผู้กล้าเพื่ออะไร? ในขณะที่ลู่เซียวยังไม่มีพลังเจ้ายังแทบจะหนีไปไม่ได้ แล้วยังอาสารั้งท้ายอีก นี่ไม่รักชีวิตตัวเองเลยเหรอ?”
ซูอันถอนหายใจเมื่อเห็นผู้คนจากตระกูลต่าง ๆ ต่อสู้อย่างกล้าหาญ แม้แต่หลิวเซียนที่นิสัยเสียก็ยังเข้าโจมตีกระบวนรบของจวนราชันลมปราณอย่างกระตือรือล้วน “พี่หญิงใหญ่ ท่านคิดว่าการบ่มเพาะมีไว้เพื่ออะไร?”
“เพื่อความแข็งแกร่งอย่างแน่นอน” หมี่ลี่ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ เขาถึงถามคำถามแบบนี้
ซูอันส่ายศีรษะ “ไม่ ในความคิดของข้า การบ่มเพาะมีไว้เพื่อให้เราแสดงความกตัญญูตอบแทนคุณคน ล้างแค้นศัตรูและปกป้องคนที่เราหวงแหน คนพวกนี้จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่พวกเขาก็ยังเลือกที่จะอยู่ที่นี่ ถ้าข้าวิ่งหนีทันทีที่เผชิญกับอันตราย ข้าจะกลายเป็นคนน่าอับอายยิ่งกว่าผู้คนเหล่านี้ที่อ่อนแอกว่าข้า ดังนั้นแล้วการบ่มเพาะจะมีความหมายอะไรเหลืออยู่อีกสำหรับข้า?”
“แต่เจ้าอาจจะตายจริง ๆ ก็ได้” หมี่ลี่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด แต่น้ำเสียงของนางดูเคร่งขรึมมาก
ซูอันพูดพร้อมกับหัวเราะว่า “ชีวิตย่อมเดินทางไปสู่ความตาย ความตายอาจจะหนักเท่าภูเขา หรืออย่างเบาอย่างขนห่าน… นอกจากนี้ ข้ายังโชคดีมาตลอด ดังนั้นข้า…อาจจะไม่ตายที่นี่ก็ได้”
หมี่ลี่รู้สึกตกใจมากเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่แข็งแกร่งและความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอด นางคิดว่าเขากำลังจะเอาชีวิตมาทิ้งง่าย ๆ เพราะความหัวร้อน และไม่คาดคิดว่าซูอันจะคิดอะไรได้ชัดเจนขนาดนี้ เฮ้อ… ผู้ชายคนนี้อยากดูเท่และเป็นผ้กล้า แต่เขาไม่ต้องการจะเสียสละชีวิต สถานการณ์แบบมีแต่ได้แบบนั้นไม่มีอยู่จริง!
ซูอันกำลังต่อสู้กับผู้พิทักษ์สองคนคือ เหอหลี่และมู่ผิง สองคนนี้เป็นผู้บ่มเพาะระดับเก้า คนหนึ่งอยู่ที่ขั้นสูงสุดของระดับเก้าและอีกคนหนึ่งอยู่ที่ขั้นกลาง พวกเขาไม่ได้ถือว่าการจัดการกับซูอันเป็นเรื่องใหญ่เลย
แต่ทั้งสองก็ต้องเปลี่ยนความคิดที่ว่าชายคนนี้จะถูกบดขยี้ได้ง่าย ๆ เพราะทักษะการเคลื่อนไหวของซูอันนั้นแปลกมากและเต็มไปด้วยกลเม็ดเด็ดพรายที่แพรวพราว ทั้งสองต่อสู้อย่างยากลำบาก ถ้าไม่ได้ร่วมมือกันคงไม่สามารถเป็นคู่มือกับซูอันได้ด้วยซ้ำ