เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 1225 โอกาสชนะ
บทที่ 1225 โอกาสชนะ
“ไอ้สารเลว ต่อให้ข้าตายก็ไม่ยอมให้เจ้าได้อะไรไปจากข้า!” เว่ยผิงหยางตะโกนโดยใช้กำลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ทำลายเส้นสมปราณของตัวเอง
เว่ยผิงหยางเป็นผู้บ่มเพาะระดับปรมาจารย์ ถือเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นคนหนึ่ง เขารู้วิธีการพิเศษบางอย่าง นอกจากนี้ซูอันได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงไม่สามารถควบคุมวิชาเทพยุทธ์กลืนสวรรค์ได้ดีเท่าปกติ ในที่สุด เว่ยผิงหยางจึงจบชีวิตของตัวเองได้สำเร็จ
ซูอันปล่อยเว่ยผิงหยางไป ความชื่นชมเล็กน้อยปรากฏขึ้นในดวงตาขณะที่เขาพูดว่า “เจ้าเป็นคนที่เด็ดขาดอย่างยิ่ง”
ย้อนกลับไปในตอนนั้น เป็นเพราะแม่ชียุงมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะมีชีวิตอยู่ นางจึงไม่เพียงแค่ล้มเหลวในการเอาชีวิตรอดเท่านั้น แต่ยังสูญเสียการบ่มเพาะทั้งหมดให้กับซูอันอีกด้วย
ซูอันมีทักษะนกเป็ดน้ำสีครามซึ่งทำให้สามารถอยู่ใต้น้ำได้นานเท่าที่ต้องการ จึงไม่รีบร้อนที่จะขึ้นจากน้ำ เขาตรวจสอบสภาพของตัวเองก่อน พลังชี่ของเขามีมากมาย แม้ว่าบาดแผลที่หน้าอกจะยังคงอยู่ แต่พวกมันก็เริ่มฟื้นตัว ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเขากลับมาเป็นปกติแล้ว
หลังจากที่ซูอันตรวจสอบตัวเองแล้วก็พบว่าอักขระตัวที่แปดในระดับเก้าของเขาสว่างขึ้นแล้ว ตอนนี้ขาดเพียงหนึ่งอักขระสุดท้าย เขาร้องไห้ออกมาอย่างสมเพช เขาดูดการบ่มเพาะของเว่ยผิงหยางออกมาได้เพียงครึ่งหนึ่ง หากได้ดูดจนแห้งสนิท เขาอาจจะเป็นปรมาจารย์ไปแล้ว
“คิดอะไรไม่เข้าเรื่อง” หมี่ลี่ไม่พอใจ “เจ้าคิดว่ามันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอที่จะทะลวงจากระดับเก้าไปสู่ระดับปรมาจารย์? นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถเข้าถึงได้ด้วยการสะสมพลังชี่เพียงอย่างเดียว”
“ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว” หมี่ลี่อธิบายว่า “ผู้เฒ่ามี่คิดว่าตัวเองสามารถดูดกลืนเจ้าเข้าไปได้ เขาจึงเต็มใจยกการบ่มเพาะของเขาให้กับเจ้า นอกจากนี้เขายังบ่มเพาะวิชาวัฏจักรหงส์อมตะ พลังชี่ของเขาจึงมาจากแหล่งเดียวกันกับของเจ้า ไม่ต้องคิดเลยว่าผลลัพธ์จะดีกว่าวิชาเทพยุทธ์กลืนสวรรค์แค่ไหน”
“นั่นสินะ” ซูอันพยักหน้าขณะที่รีบขึ้นมาเหนือผิวน้ำ เกิดกระแสน้ำวนรอบตัว จากนั้นเขาก็พุ่งขึ้นไปในอากาศ เมื่อเขาขยับแขน น้ำรอบตัวก่อให้เกิดระลอกคลื่นขนาดใหญ่
ในขณะที่ปรับพลังงานในตัวเอง ซูอันมองฝ่ามือและพูดอย่างมีความสุขว่า “ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าตัวเองชนะได้ แม้ว่าจะต่อสู้กับผู้บ่มเพาะระดับปรมาจารย์ก็ตาม”
“อย่ามั่นใจเกินไป” หมี่ลี่กลอกตา “มันจะไม่เลวร้ายเกินไปถ้าเจ้าต่อสู้กับคนที่เพิ่งมาถึงระดับปรมาจารย์ แต่ถ้าเจ้าต่อสู้กับผู้บ่มเพาะระดับปรมาจารย์ที่มีประสบการณ์ เจ้าจะมีโอกาสแพ้มากกว่าชนะ”
“ฮ่า ๆ นั่นก็เพียงพอแล้ว” ซูอันพูดพร้อมหัวเราะ
หมี่ลี่ไม่ได้ตอบโต้ ผู้ชายคนนี้มักจะคว้าชัยชนะในสถานการณ์ที่เสียเปรียบครั้งแล้วครั้งเล่า ความสามารถในการต่อสู้ที่แท้จริงของเขานั้นยอดเยี่ยมมาก
เมื่อเห็นเขามองไปยังทิศทางที่ปี่หลิงหลงและคนอื่นจากไป นางก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้ายังจะตามไปไหม?”
ซูอันพยักหน้า “เรามาไกลขนาดนี้แล้ว ข้าจะยอมแพ้ตอนนี้ได้ยังไง”
หมี่ลี่เริ่มกังวลเล็กน้อย “เจ้ามาไกลพอแล้วสำหรับผู้หญิงคนนั้น เกือบเอาชีวิตไม่รอดอย่างนี้ ยังจะว่าไม่พออีกเหรอ? แม้ว่าการบ่มเพาะของเจ้าจะเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ลู่เซียวก็เป็นผู้บ่มเพาะขั้นกลางของระดับปรมาจารย์ เจ้าไม่สามารถเอาชนะเขาได้!”
ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับอัจฉริยะบางคนที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีระดับสูงกว่า แต่ยิ่งนานไป ช่องว่างในแต่ละขั้นของการบ่มเพาะก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น นับประสาอะไรกับระดับการบ่มเพาะทั้งหมด การข้ามระดับการบ่มเพาะและการเอาชนะต่อไปเรื่อย ๆ นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
มีเพียงสัตว์ประหลาดอย่างซูอันที่มีความสามารถไร้สาระทุกประเภทที่แทบจะไม่สามารถทำได้ แต่ทุกอย่างก็ยังมีขีดจำกัด ระดับปรมาจารย์ขั้นกลางของลู่เซียวได้เกินขีดจำกัดนั้นแล้ว
ซูอันมองไปที่หมี่ลี่และถามว่า “ขอให้ท่านบอกข้าตรง ๆ โอกาสของข้าที่จะชนะลู่เซียวมีเท่าไรกันแน่?”
หมี่ลี่ตอบว่า “สองในสิบส่วน อย่างมากก็สาม นี่มากเท่าที่ข้าจะให้เจ้าได้แล้ว”
ซูอันยิ้ม “แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว ถ้าเราสู้สุดตัว เขาต้องตายแน่ ๆ”
หมี่ลี่อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อนางนึกย้อนกลับไปว่าเด็กคนนี้กล้าสู้กับนางได้อย่างไรเมื่อตอนที่เขายังอยู่ราว ๆ ระดับห้า นางรู้สึกชื่นชมขึ้นมา “เจ้าเป็นอย่างที่ข้าคิดไว้จริง ๆ”
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางก็ไม่พยายามเกลี้ยกล่อมเขาอีกต่อไปและพูดว่า “อะไรก็ได้ ถ้าอยากไปก็แค่ไป เจ้ามีหัวใจที่ไม่กลัวความท้าทาย แม้ว่าสิ่งนี้อาจทำให้เจ้าตายก่อนวัยอันควร แต่ถ้าเจ้าเติบโตขึ้น อนาคตของเจ้าก็จะไร้ขีดจำกัด”
ซูอันพูดพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ “นี่ช่างเป็นการสรรเสริญจากท่านที่หาได้ยากยิ่ง”
ซูอันไม่ต้องการเสียเวลาอีก จึงรีบเข้าไปในภูเขาอย่างรวดเร็ว ด้วยการบ่มเพาะในปัจจุบัน เขาก็สามารถบินได้ไกลขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะจ้าววายุเพื่อเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว
เขาไปถึงทางแยกบนถนนอย่างรวดเร็ว และเข้าใจในทันทีว่านี่เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของปี่หลิงหลง ในขณะที่รู้สึกปวดหัวและพยายามตัดสินใจว่าควรจะรีบไปทางไหน เขาก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังที่กำลังระเบิดในป่าอย่างกะทันหัน
“ลู่เซียว?” ซูอันย่อมจำคลื่นพลังของกระบี่ที่เจาะหน้าอกของตัวเองได้ เขาจึงรีบวิ่งไปตามเสียงอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าไปใกล้ เขาก็ร่อนลงสู่พื้นและจัดแจงถุงผ้าไหมที่ได้รับจากสนมไป่อีกครั้ง ในเวลาเดียวกันก็ใช้วิชาบังบดเร้นซ่อนเพื่อปิดบังคลื่นพลังของตัวเอง
แม้ว่าจะไม่กลัวคู่ต่อสู้ แต่เขาก็ไม่โง่ที่จะพุ่งเข้าใส่ผู้ชายคนนี้แบบตัวต่อตัว โลกของผู้บ่มเพาะนั้นโหดร้ายอย่างยิ่ง ใครก็ตามที่ยืนกรานต่อสู้อย่างประมาทจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน
ถ้าต้องการที่จะเอาชนะคนที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองก็จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเข้าไปหาอย่างเงียบ ๆ โดยวางแผนที่จะจับลู่เซียวโดยที่ไม่ทันตั้งตัว เขาต้องการตัดสินการต่อสู้ครั้งนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะการต่อสู้ที่ยืดเยื้อจะเป็นประโยชน์ต่อปรมาจารย์ขั้นกลางอย่างลู่เซียวเท่านั้น
…
ในขณะเดียวกัน หลายสิบจั้งออกไป เผี่ยวตวนเตียวและเจียวซือกุนทำได้ไม่ดีเลย ร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยบาดแผล ยืนตัวตรงแทบไม่ได้และเพียงแค่ยันกระบี่ไว้เท่านั้น ทหารจากวังตะวันออกคนอื่น ๆ ต่างทรุดลงกับพื้น ไม่ว่าจะตายไปแล้วหรือใกล้ตายก็ตาม
ทุกคนจ้องมองไปยังชายคนที่ลอยอยู่ในอากาศ แม้ว่าแขนข้างหนึ่งของเขาจะหายไป แต่แรงกดดันของเขาก็ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ เขามองดูทุกคนราวกับเป็นเทพเจ้าที่มองดูมดงาน
“ทุกคนคิดว่าตัวเองฉลาด แต่กับหมูอย่างจ้าวรุ่ยจื่อ รอยเท้าของเจ้าลึกกว่ารอยอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด ทันทีที่ข้าตระหนักในข้อเท็จจริงนี้ ข้าก็สามารถหาเจ้าเจอได้ง่าย ๆ” ลู่เซียวกล่าวด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงของเขาผ่อนคลายและไร้ความกังวล การได้เห็นภารกิจซึ่งดำเนินมาเป็นเวลาหลายปีใกล้จะสำเร็จ ทำให้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
“บังอาจ! เจ้ากล้าปฏิบัติอย่างหยาบคายต่อองค์รัชทายาทงั้นเหรอ!” เผี่ยวตวนเตียวคำรามด้วยความโกรธ
“ดูสถานการณ์ที่ตัวเองอยู่ เจ้ายังคงปฏิบัติต่อมันอย่างองค์ชายงั้นเหรอ?” ลู่เซียวปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้า เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากกระบี่ของปี่หลิงหลงก่อนหน้านี้ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้ว “ข้าต้องยอมรับว่าพวกเจ้าทุกคนมีความตั้งใจอันแรงกล้าทีเดียวที่สามารถยืนหยัดได้จนถึงตอนนี้ แต่ทุกอย่างมันจบลงแล้ว”
เมื่อพูดจบประโยค คลื่นพลังงานที่มองไม่เห็นก็พุ่งเข้าใส่เผี่ยวตวนเตียวและเจียวซือกุน ทั้งสองพลันกระเด็นออกไปเหมือนว่าวที่ถูกตัดสาย ก่อนจะชนเข้ากับแนวต้นไม้อย่างรุนแรงจนกระอักเลือด จากนั้นพวกเขาก็ทรุดตัวลงกับพื้นและไม่ขยับเขยื้อนอีกต่อไป
………………..