เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 1226 พลังอันน่าตกตะลึง
บทที่ 1,226 พลังอันน่าตกตะลึง
ซูอันเพิ่งมาถึงในขณะนั้น สายตาของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที แต่เขาไม่ได้แสดงอาการผลีผลามและยังคงซ่อนตัวอยู่เพื่อรอโอกาสที่ดีที่สุดเพื่อเข้าโจมตี
หมี่ลี่พยักหน้าขณะที่เฝ้าดูซูอัน เด็กคนนี้กำลังเติบโต เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธ แต่ก็ไม่ได้แสดงอารมณ์หุนหันพลันแล่นออกมา
ลู่เซียวร่อนลงมาจากท้องฟ้าและมองไปที่รัชทายาทร่างอ้วน “หืม? สถานการณ์แบบนี้ เจ้าไม่กลัวเลยจริง ๆ เหรอ? ช่างเป็นคนโง่เง่าจริง ๆ”
“ทำไมข้าต้องกลัวด้วย?” รัชทายาทมองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ
ซูอันตกตะลึงในขณะที่ยังคงซ่อนตัวอยู่ เดิมทีความสนใจของเขาอยู่ที่การหาโอกาสที่จะโค่นล้มลู่เซียว แต่ตอนนี้เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปที่รัชทายาท มันเป็นใบหน้าของชายร่างอ้วนคนเดิม ทว่ามันดูไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรอยยิ้มโง่เง่าตามปกติของรัชทายาทหายไปหรือเปล่า?
ลู่เซียวก็ขมวดคิ้ว เมื่อรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลเช่นเดียวกัน “เพราะเจ้ากำลังจะตาย… เฮ้อ ข้าต้องอธิบายเรื่องนี้กับคนโง่ด้วยเหรอ?”
เมื่อเห็นความรำคาญของลู่เซียว รัชทายาทก็ตอบว่า “แล้วเจ้าคิดว่าตัวเองฉลาดจริง ๆ เหรอ?”
“อย่างน้อยก็ฉลาดกว่าเจ้า” ลู่เซียวตอบโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว “เจ้าเข้าใจสถานการณ์ของตัวเองหรือไม่? หยุดพยายามโอ้อวดได้แล้ว เจ้าคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติของการเป็นจักรพรรดิหรือไม่?”
ซูอันรู้สึกเย็นสันหลังวาบ เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน สถานการณ์ในตอนนี้ดูไม่ชอบมาพากลอย่างยิ่ง
เสียงของหมี่หลี่พูดขึ้นในหัวของเขา “ระวัง มีบางอย่างไม่ถูกต้องกับรัชทายาทองค์นี้” น้ำเสียงของนางจริงจังมาก ราวกับสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
“ไอ้บัดซบ เจ้ากล้าเอ่ยชื่อต้องห้ามของราชันลมปราณเหรอ?” ลู่เซียวตวาดลั่น แต่หลังจากจบประโยค เขาก็ขมวดคิ้วจ้องมองรัชทายาทแล้วถามว่า “ที่แท้เจ้าไม่ใช่คนโง่?”
รัชทายาทหัวเราะ “ใครว่าข้าโง่?”
ราวกับมีบางอย่างระเบิดในหัวของซูอันเมื่อเขาได้ยินสิ่งที่รัชทายาทพูด เขาคิดว่าตัวเองรายล้อมไปด้วยสุนัขจิ้งจอกชราในเมืองหลวง ไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนที่ฉลาดที่สุดจะอยู่ข้าง ๆ เขานี่เอง! เดี๋ยวก่อน ถ้าจ้าวรุ่ยจื่อไม่ใช่คนโง่ ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งที่เขาทำกับปี่หลิงหลง…
ลู่เซียวก็ค่อนข้างตกใจเช่นกัน “ว้าว ไม่คิดมาก่อนเลย! ท่านตบตาทุกคนในเมืองหลวงมาตั้งนานแล้ว”
รัชทายาทไม่ตอบและยังคงจ้องมองเขาอย่างเฉยเมย
ลู่เซียวไม่ชอบการถูกมองแบบนี้ เขาควรเป็นคนที่มองคนอื่นราวกับมด ไม่ใช่คนที่ถูกมองแบบมดเสียเอง “ไอ้อ้วน เจ้าซ่อนมันไว้อย่างดีมาตลอดเลยนะเนี่ย ถึงกับหลอกราชันลมปราณซะด้วย ว่าแต่มันไม่มีความหมายเลย เจ้าจะต้องตายที่นี่อยู่ดี”
“แน่ใจเหรอว่าข้าจะต้องตาย?” รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจ้าอ้วน ปกติแล้วรอยยิ้มของเขาจะดูตลกขบขัน แต่ตอนนี้กลับทำให้เกิดความรู้สึกหวาดกลัวอย่างน่าประหลาด
ลู่เซียวไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงกลัว จึงข่มใจระงับอารมณ์อย่างรวดเร็วและมองอีกฝ่าย “รัชทายาท เจ้าตบตาคนทั้งโลกได้ก็จริง แต่ก็ยังไร้ความหมาย! เจ้ายังเด็กเกินไป ต่อให้บ่มเพาะมาตั้งแต่เกิด เจ้าจะไปถึงระดับใดได้? เจ้าคิดว่าทุกคนเป็นสัตว์ประหลาดเหมือนซูอันหรือ!?”
ซูอันก่นด่าในใจ ถ้าเจ้าจะคุยโวก็คุยไป ทำไมถึงลากข้าเข้าไปด้วย ตอนนี้ทุกอณูในร่างกายตื่นตัว เขาต้องการสอนบทเรียนให้กับลู่เซียว แต่ไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวใด ๆ และมุ่งความสนใจไปที่การซ่อนคลื่นพลังของตัวเองแทน
“ซูอัน?” รัชทายาทพึมพำ “เจ้านั่นมันประหลาดไปหน่อย”
ลู่เซียวขมวดคิ้ว เขาแค่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าตรงไหน อย่างไรก็ตาม เขาก็ใจเย็นลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เขาเป็นผู้บ่มเพาะที่ทรงพลังในขั้นกลางของระดับปรมาจารย์ แม้แต่ในเมืองหลวงที่มีผู้บ่มเพาะที่ทรงพลังอยู่ทุกหนทุกแห่ง เขาก็ยังเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ทำไมถึงต้องมากลัวไอ้อ้วนนี่ด้วย?
เขาตะคอก “ข้าไม่อยากเสียเวลากับเจ้าอีกแล้ว ฆ่าเจ้าเสร็จ ข้าจะตามหาองค์หญิงรัชทายาทเป็นรายต่อไป”
ขณะที่พูด ลู่เซียวก็เตะกระบี่ที่ตกอยู่บนพื้นยิงออกไปอย่างรุนแรงเหมือนลูกกระสุนปืนใหญ่ มันมีพลังมากพอที่จะทำลายเส้นเลือดทุกเส้นในร่างกายของรัชทายาท แล้วตอกตรึงศพของเขาไว้กับต้นไม้ จากนั้นลู่เซียวก็วางแผนที่จะล่อสัตว์อสูรให้มากัดกินศพทั้งหมดของรัชทายาทจนไม่เหลือกระดูกแม้แต่ชิ้นเดียว ด้วยวิธีนี้ จักรพรรดิจะไม่พบร่องรอยแม้จะส่งคนเข้ามาตรวจสอบในภายหลัง
รัชทายาทไม่แม้แต่จะเบี่ยงตัวหลบเลย ในตอนแรกลู่เซียวคิดว่าอีกฝ่ายกลัวจนตัวแข็ง แต่รอยยิ้มของเขาก็หุบลงอย่างรวดเร็ว เพราะจู่ ๆ กระบี่ก็หยุดนิ่งและลอยอยู่ต่อหน้ารัชทายาท
ลู่เซียวก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว “การบ่มเพาะที่แท้จริงของเจ้าอยู่ระดับใดกันแน่?” เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายหยุดการโจมตีที่รุนแรงของเขาได้อย่างไร
สีหน้าของลู่เซียวเปลี่ยนไปในขณะที่ร่างกายของเขาตื่นตัว ในฐานะผู้บ่มเพาะขั้นกลางของระดับปรมาจารย์ที่สามารถคาดการณ์ถึงอันตรายได้ล่วงหน้า เขาไม่ลังเลเลยที่จะพุ่งตัวขึ้นไปในอากาศ สิ่งเดียวที่อยู่ในใจตอนนี้คือ บินหนีให้เร็วที่สุด ยิ่งเร็วยิ่งดี ต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้
แต่จู่ ๆ เขาก็รู้สึกตัวหนักขึ้น สูญเสียจุดศูนย์ถ่วงและตกลงสู่พื้น ก้มศีรษะลงและพบว่าขาของตัวเองถูกตัดขาดที่หัวเข่า ทันใดนั้น ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็แผ่ซ่านไปทั่วร่าง เขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวดในขณะที่จับขาตัวเองและกลิ้งไปกับพื้นด้วยความเจ็บปวด ราวกับว่าลู่เซียวที่อวดดีและหยิ่งยโสเมื่อครู่นี้ไม่เคยมีมาก่อน
ซูอันรู้สึกเย็นสันหลังวาบ จ้องมองกระบี่ที่เคยอยู่ข้างศพของทหารราชองครักษ์ธรรมดา ๆ ลอยนิ่งต่อหน้ารัชทายาท ราวกับว่าไม่เคยขยับมาก่อน อย่างไรก็ตาม หยดเลือดที่ค่อย ๆ ไหลลงมาจากกระบี่นั้นบ่งบอกว่าเป็นมันนั่นเองที่ฟันผ่านขาของลู่เซียวอย่างแม่นยำ
มันจบอย่างนี้เหรอ? ซูอันรู้สึกตกใจมาก เขาไม่ได้เห็นว่ากระบี่ไปโจมตีตั้งแต่ตอนไหน ถ้ากระบี่นั้นเล็งมาที่เขา เขาก็คงไม่สามารถหลบเลี่ยงมันได้เช่นกัน
“เจ้าเป็นใครกันแน่” ลู่เซียวจ้องมองที่รัชทายาทที่อยู่ห่างไกลด้วยความสยดสยอง เจ้าอ้วนที่กำลังหัวเราะตอนนี้กลายเป็นคนที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครล่ะ?” รัชทายาทยิ้ม
ลู่เซียวกัดฟัน ยกมือขึ้น กระบี่ที่เขาเคยใช้ในวัยเด็กก็ปรากฏขึ้นข้าง ๆ เขาเป็นผู้บ่มเพาะระดับปรมาจารย์ขั้นกลาง แม้ว่าขาจะพิการ แต่ยังสามารถควบคุมกระบี่บินได้โดยไม่ต้องการขา
กระบี่กรีดร้องขณะที่ลู่เซียวชี้ไปที่รัชทายาทและตะโกนก้อง “เร็วเข้า!”
กระบี่บินพุ่งสว่างวาบเป็นดาวหาง เคลื่อนที่เร็วกว่ากระบี่ของเว่ยผิงหยางสองเท่า! นี่เป็นการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของลู่เซียว ความภาคภูมิใจของเขา การบ่มเพาะที่สั่งสมมาทั้งชีวิต ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ก็ขึ้นอยู่กับการโจมตีครั้งนี้
………………..