เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 1249 ภาพลวงตา
บทที่ 1249 ภาพลวงตา
เมื่อเห็นทุกคนคลั่งไคล้ลูกท้อ ซูอันก็คว้ามือปี่หลิงหลงออกวิ่ง “รีบไปเถอะ!” เขาใช้จ้าววายุเพื่อรีบออกจากพื้นที่
การเคลื่อนไหวของพวกเขาไม่ได้รอดพ้นจากการตรวจจับของจ้าวรุ่ยจื่อ แต่ตอนนั้นเขามุ่งความสนใจไปที่ความเป็นอมตะอย่างสมบูรณ์และไม่สนใจสิ่งอื่นใด ตราบเท่าที่เขาสามารถบรรลุความเป็นอมตะได้ ลืมผู้หญิงคนหนึ่งไปได้เลย เขาไม่สนใจว่าจะต้องยกภรรยาและสนมกำนัลทั้งหมดให้ใครไป
ซูอันยังคงวิ่งต่อไปทางป่าเพื่อให้ง่ายต่อการซ่อนตัว หลังจากวิ่งเป็นเวลานานและเห็นว่าจ้าวรุ่ยจื่อไม่ได้ไล่ตามมา เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ปี่หลิงหลงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ดูเหมือนว่าพวกมันคือลูกท้ออมตะที่สามารถให้ชีวิตนิรันดร์ได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ปล่อยให้พวกเราหนีมาแบบนี้”
ซูอันหัวเราะและตอบว่า “ใครจะสนใจว่าพวกนั้นเป็นท้ออมตะหรือท้อเชื่อม? ความอยู่รอดของเราเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
“เจ้าพูดถูก” ปี่หลิงหลงหัวเราะเบา ๆ หากมีหนทางที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์จริง ๆ แต่กลับต้องมาตายเพราะถูกสังหาร นั่นคงเป็นเรื่องที่น่าหดหู่ใจเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังสับสนเล็กน้อย “อาซู ข้าเริ่มชื่นชมเจ้าจริง ๆ แม้แต่จักรพรรดิก็อดไม่ได้ที่จะถูกล่อลวงเมื่อเผชิญกับความเป็นอมตะ แต่เจ้าไม่สนใจเลย ข้าไม่คิดว่าจะมีหลายคนในโลกนี้ที่สามารถเลือกแบบเจ้าได้”
“ข้าแตกต่างจากคนทั่วไป” ซูอันไม่รู้ว่าจะอธิบายตัวเองอย่างไร เขาฝึกฝนวิชาปฐมบทแรกเริ่มซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ร่างกายแข็งแกร่ง แต่ยังมีภูมิคุ้มกันต่อโรคและความเจ็บป่วย และมีอายุขัยรวมกับเฉียวเสวี่ยอิงอยู่ครึ่งหนึ่ง ร่วมกับวิชาวัฏจักรหงส์อมตะ ปลายทางเขาสามารถได้รับชีวิตอมตะได้อยู่แล้ว นี่เป็นเหตุผลที่เขาไม่ได้ถูกล่อลวงโดยความเป็นอมตะอย่างเช่นผู้อื่น
อย่างไรก็ตาม ซูอันตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่า แม้ตัวเขาเองจะไม่ต้องการมัน แต่เขาก็ยังมีคนรักมากมาย รู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ไม่ได้เก็บบางส่วนให้กับพวกนาง
หมี่ลี่หัวเราะเยาะ “เจ้าคิดว่านั่นเป็นลูกท้ออมตะจริง ๆ เหรอ?”
ซูอันตกตะลึง “พวกมันไม่ใช่งั้นเหรอ?”
“แน่นอนว่าไม่” หมี่ลี่ไม่พอใจ “แม้แต่จักรพรรดิฉินก็ไม่สามารถได้รับความเป็นอมตะทั้ง ๆ ที่เขาก็แสวงหามันมาทั้งชีวิต หากสิ่งที่เรียกว่าทะเลสาบหยกและลูกท้ออมตะเป็นเรื่องจริง เขาคงไม่เหลือเพียงชื่อที่ถูกทิ้งไว้ในหน้าประวัติศาสตร์”
ซูอันก็ตระหนักเช่นกัน หากพบหนทางในการเป็นอมตะ จักรพรรดิฉินคงยังมีชีวิตอยู่ ว่าแต่ลูกท้อที่พวกจ้าวรุ่ยจื่อกัดกินเหล่านั้นคืออะไร?
…
ในขณะเดียวกันที่ริมทะเลสาบ ซูอันเพิ่งจากมา หลังจากที่จ้าวรุ่ยจื่อกินลูกท้อที่ใหญ่ที่สุดสามลูกติดต่อกัน เขาก็รู้สึกว่ามีดอกไม้สามดอกค่อย ๆ บานบนศีรษะ ในใจรู้สึกยินดี ดอกไม้สามดอกที่อยู่เหนือศีรษะคือสัญลักษณ์ของนักพรตเต๋าที่เป็นอมตะ
เสียงเพลงแห่งสวรรค์ดังขึ้นจากท้องฟ้าในตอนนั้นเอง คลื่นแสงอันงดงามส่องประกายในเมฆด้านบนขณะที่ประตูอมตะอันยิ่งใหญ่เปิดออกอย่างช้า ๆ ผู้หญิงและเด็กจำนวนนับไม่ถ้วนโบกมือให้เขา เสียงลึกลับบอกว่าตราบเท่าที่เขาเข้าไปในประตู เขาจะได้เข้าร่วมกับกลุ่มผู้คนที่ได้รับชีวิตนิรันดร์!
จ้าวรุ่ยจื่อกลืนน้ำลายและเดินไปที่ประตูอมตะโดยไม่รู้ตัว เมื่อใดก็ตามที่เขาก้าวไป เมฆลอยจะปรากฏขึ้นใต้เท้าของเขาราวกับว่าประตูอมตะกำลังนำทาง หลังจากนั้นไม่นาน เขากำลังจะข้ามไป แต่จู่ ๆ จ้าวรุ่ยจื่อก็ตัวแข็งค้าง
จ้าวฮั่นคิดกับตัวเองว่าถ้าเขาข้ามผ่านประตูอมตะ ร่างลูกชายของเขาจะได้รับความเป็นอมตะไม่ใช่เหรอ? สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคือการบรรลุความเป็นอมตะด้วยร่างเดิม แม้ว่าจะเป็นลูกชายของตัวเอง เขาก็ยังไม่อยากให้ได้รับโอกาสนี้แทน อย่างไรก็ตาม เขาตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าโอกาสนั้นกำลังจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หากฝืนรอคอยตัวตนดั้งเดิมของเขาอาจไม่มีโอกาสบรรลุความเป็นอมตะได้
จักรพรรดิตัดสินใจที่จะให้ร่างกายนี้เป็นอมตะก่อน แล้วค่อยหาวิธีการเป็นอมตะด้วยลูกท้อหลังจากที่ออกจากมิติลับ เมื่อเขาคิดเช่นนั้นก็ก้มหัวลงเพื่อมองดูผู้บ่มเพาะ มดปลวกพวกนี้มีสิทธิ์อะไรถึงจะได้เป็นอมตะกับข้า! แม้แต่สิ่งโสโครกเช่นพวกมัน?
เมื่อนึกถึงว่ามีคนมากมายที่กินลูกท้อก่อนหน้าตัวเอง เขากังวลว่าคนเหล่านั้นอาจบรรลุความเป็นอมตะก่อน ถ้าเขาไม่หยุดยั้งมันก็จะสายเกินไป ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจเลื่อนการข้ามผ่านประตูอมตะออกไปและหันไปฆ่าเหล่าผู้บ่มเพาะแทน
แต่เมื่อเขาหันกลับมา ทุกสิ่งที่อยู่ต่อหน้าก็เปลี่ยนไป ฉากสวยงามที่เต็มไปด้วยผลไม้หอมกรุ่นหายไป จู่ ๆ สภาพแวดล้อมก็มืดลง และผู้บ่มเพาะของคฤหาสน์ราชันลมปราณไม่ได้ถือลูกท้อขนาดใหญ่ แต่เป็นผลไม้แปลก ๆ ที่มีลักษณะคล้ายโครงกระดูก
ผู้บ่มเพาะของคฤหาสน์ราชันลมปราณบางคนเริ่มเดินไปที่ทะเลสาบด้วยรอยยิ้มแปลก ๆ บนใบหน้า ทะเลสาบที่เคยปรากฏเป็นสีน้ำเงินไพลินนั้นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่เป็นสีดำสนิทและมีใบหน้าภูติผีลอยอยู่บนผิวน้ำ
ร่างกายที่แข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะที่ลงไปในทะเลสาบเริ่มหดตัว แต่ดูเหมือนเขาจะไม่รู้ตัวและมีรอยยิ้มที่น่าหลงใหลอยู่บนใบหน้า ทำให้ทั้งสถานที่ดูแปลกยิ่งขึ้นไปอีก..
“นี่มันบ้าอะไรกัน!” จ้าวรุ่ยจื่อเหงื่อออกจนร่างกายเย็นเยียบ เขาตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติในทันที เมื่อหันกลับไปก็ไม่เห็นประตูอมตะ เขาเกือบจะเดินไปที่ขอบทะเลสาบด้วยตัวเอง
จ้าวรุ่ยจื่อขมวดคิ้ว เขาใช้การบ่มเพาะอันทรงพลังเพื่อหยุดกระบวนการดูดซับ จากนั้นก็ตรวจสอบร่างกายของตัวเองและพบว่ามีดอกไม้อัปลักษณ์สามดอกงอกขึ้นในท้องของเขา ทุกดอกเหมือนหัวกะโหลกที่ดูดกินพลังชี่ภายในอย่างบ้าคลั่ง รากนับไม่ถ้วนขยายไปสู่อวัยวะภายในต่าง ๆ ทุก ๆ รากจะหลั่งของเหลวบางชนิดออกมา ดูเหมือนว่าจะเป็นสารที่ทำให้จิตใจมึนงงและเกิดภาพลวงตาของความเป็นอมตะขึ้น
“บัดซบ!” จ้าวรุ่ยจื่อไม่พอใจ เขาปลดปล่อยพลังออกมา ผิวหนังทั่วร่างกายก็เปล่งประกายด้วยแสงสีทอง ดอกไม้ที่มีรูปร่างเหมือนหัวกะโหลกสามดอกกรีดร้องอย่างน่าสมเพช และรากก็บิดไปมาอย่างลนลาน พวกมันปล่อยพลังงานสีดำออกมาเพื่อต่อสู้กลับ อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิเป็นผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ชั่วพริบตาพวกมันจึงถูกแสงสีทองแผดเผาไปทั้งหมด
จากนั้นจ้าวรุ่ยจื่อกวักมือเรียกผู้บ่มเพาะ ลากพวกเขาออกจากทะเลสาบ และเปล่งเสียงกังวาน “จงตื่น!” คนเหล่านี้ยังคงมีประโยชน์ในมิติลับที่แปลกประหลาดเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุด เขาสามารถใช้ผู้คนเพื่อทดสอบสิ่งต่าง ๆ ก่อน
เหล่าผู้บ่มเพาะสั่นสะท้านไปทั้งตัว รู้สึกราวกับมีเสียงระฆังขนาดใหญ่ดังขึ้นในหู ความสั่นสะเทือนในจิตวิญญาณทำให้ร่างกายสั่นสะท้าน ขณะที่ทั้งหมดค่อย ๆ ได้สติขึ้นทีละคน
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ข้าคิดว่าข้ากำลังจะบรรลุความเป็นอมตะ!”
“ฮะ? ทำไมทะเลสาบถึงกลายเป็นสีดำ?”
“นี่มันอะไรกันเนี่ย?”
หลายคนเห็นว่าพวกเขาถือผลไม้รูปหัวกะโหลกอยู่ในมือ จึงรีบโยนทิ้งไปด้วยความตกใจ อะไรจะน่ากลัวกว่าการถือผลไม้รูปหัวกะโหลก? แถมมันยังเหลือแค่ครึ่งเดียว…
………………..