เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 1253 รับชีวิตนิรันดร์
บทที่ 1253 รับชีวิตนิรันดร์
เมื่อเสียงของหมี่ลี่ลดลง เสียงสะอื้นไห้ก็ดังขึ้นรอบตัวพวกเขา
สีหน้าของซูอันเปลี่ยนไป เขารีบวิ่งไปที่หน้าต่างและมองไปข้างนอก เห็นวัชพืชขึ้นรกทุกหนทุกแห่ง ลมพัดแรงจนใบยักษ์ของพวกมันแกว่งไกว แผ่นไม้บางแผ่นที่ปิดหน้าต่างที่ชำรุดทรุดโทรมส่งเสียงดัง
“อาซู ข้าหนาว” ใบหน้าของปี่หลิงหลงซีดลงเล็กน้อย มือของนางเย็นเฉียบ
ซูอันปลอบใจนางว่า “อย่ากังวล มันควรจะเป็นแค่ลม การก่อสร้างของอารามนี้ก็ค่อนข้างพิเศษเช่นกัน มีรูโหว่อยู่ทุกหนทุกแห่ง ดังนั้นจะต้องมีเสียงภูตผีร้องครวญครางเมื่อมีลมอย่างแน่นอน” ปี่หลิงหลงเปล่งเสียงอืมเห็นด้วย ยืนพิงเขาและเงียบไป
ซูอันพูดกับหมี่ลี่ว่า “ท่านจักรพรรดินี มันไม่สมเหตุสมผลเลย ผู้สร้างสถานที่แห่งนี้ไม่ควรเป็นจักรพรรดิฉินเหรอ? ด้วยบุคลิกที่เย่อหยิ่งและโดดเด่นของเขา เขาจะสร้างรูปปั้นสำหรับซูฟูได้ยังไง ปล่อยให้จารึกอักขระเหล่านี้ได้ยังไง? อย่าบอกนะว่าซูฟูเป็นคนสร้างอารามนี้ขึ้นมา?”
หมี่ลี่ขมวดคิ้ว “เจ้าพูดถูก อิ่งเจิ้งไม่น่าจะสร้างรูปสลักแบบนี้ให้คนอื่น ส่วนซูฟู… สถานที่แห่งนี้เป็นที่พำนักของจักรพรรดิฉินรุ่นต่อ ๆ ไป ดังนั้นเขาจะมีโอกาสสร้างของพวกนี้ได้ยังไง?”
“สิ่งที่เจ้าพูดมีเหตุผล” ซูอันพยักหน้า “แต่นั่นยิ่งทำให้แปลกเข้าไปอีก เนื่องจากไม่มีทางที่จะเป็นจักรพรรดิฉินได้ และไม่ใช่ซูฟูที่สร้างสถานที่แห่งนี้ แล้วใครในโลกนี้ล่ะ?” ทั้งสองเริ่มคิดเข้าข้างตัวเอง
ซูอันสะดุ้งตกใจ จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่าปี่หลิงหลงหลับขณะที่พิงเขา นางคงเหนื่อยเกินไปหลังจากต้องทนทุกข์ทรมานกับการสูญเสียพลังชี่อย่างมาก และจิตใจก็ตึงเครียดอยู่ตลอดเวลา
ซูอันไม่ปลุกนาง ปล่อยให้นางนอนหลับสนิท เขาอุ้มร่างงามไปที่โขดหินแล้วนั่งลง ตบนางเบา ๆ เพื่อปลอบโยน ร่างกายของปี่หลิงหลงสั่นสะท้านเป็นพัก ๆ ราวกับว่ากำลังฝันร้าย
เขากำลังจะพูดคุยกับหมี่หลี่ต่อไป เมื่อจู่ ๆ ปี่หลิงหลงก็พูดขึ้นอีกครั้ง “มันเจ็บ…” มันไม่ใช่น้ำเสียงที่ถือตัวและมีอำนาจตามปกติของนาง แต่เป็นน้ำเสียงที่อ่อนแอและทำอะไรไม่ถูก
ซูอันเรียกสองสามครั้ง แต่นางไม่ตื่น เขาทำได้เพียงกดฝ่ามือลงบนหลังของนางเบา ๆ ส่งไออุ่นหล่อเลี้ยงร่างกาย หวังว่าความอบอุ่นจะช่วยบรรเทาฝันร้ายของนางได้
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ปี่หลิงหลงก็ร้องพร้อมกับสะอื้นไห้ “มันเจ็บ! โปรดอ่อนโยนกว่านี้ อาซู…”
ซูอันพูดไม่ออก หมี่ลี่หันกลับมาเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น นางพูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้หญิงคนนั้นกำลังฝันว่าเจ้ากำลังทำอะไรกับนางล่ะมั้ง?”
ก่อนที่ซูอันจะตอบกลับ ปี่หลิงหลงก็ลืมตาขึ้นช้า ๆ เมื่อนางมองซูอันเป็นครั้งแรก สีหน้าของนางว่างเปล่า จากนั้นน้ำตาก็ดูเหมือนจะไหลออกมาจากดวงตาที่สวยงาม นางยังคงบิดตัวไปมาในอ้อมแขนของซูอัน มือขาวเนียนลูบไล้ใบหน้าของซูอันอย่างเบามือ แล้วลดระดับเรื่อย ๆ ลงมาผ่านคอแล้วก็หน้าอกของเขา…
“ผู้หญิงคนนี้ร้อนหรือเปล่า?” หมี่ลี่ไม่พอใจ นางหันกลับมาและดูเหมือนว่าจะเพ่งความสนใจไปที่ความแปลกประหลาดของอารามแห่งนี้ นางไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะให้ความสนใจกับพวกเขา
ซูอันรู้สึกคอแห้งผาก เขาเปลี่ยนความสนใจอย่างรวดเร็วและถามว่า “เจ้าตื่นแล้วเหรอ?”
ปี่หลิงหลงเปล่งเสียงอืมของนาง เสียงของนางอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ “เจ้าทำทุกอย่างกับข้าในฝัน ตอนนี้กล้าที่จะถามข้าอย่างนี้เหรอ?”
ซูอันพูดไม่ออก ความฝันของเจ้าเกี่ยวอะไรกับข้า!
ต้องยอมรับว่าผู้หญิงมีความเย้ายวนโดยธรรมชาติ แม้แต่คนที่เอาจริงเอาจังเสมอเช่นปี่หลิงหลงก็ยังมีพลังมากเมื่อนางล่อลวงเขา ดวงตาที่กลมโตและฉ่ำวาวคู่นั้น ร่างกายที่นุ่มนวลและสวยงามอย่างเหลือเชื่อ เสียงที่อ่อนโยน… ทุกส่วนล้วนล่อลวงให้หลงมัวเมาทั้งสิ้น
ซูอันเพิ่งควบคุมร่างกายของเขาสามครั้งด้วยวิชาปฐมบทแรกเริ่ม ดังนั้นพลังหยางของเขาจึงถึงจุดสูงสุดแล้ว อวัยวะกลางหว่างขาจึงแข็งขึงทันทีเมื่อถูกล่อลวงเช่นนั้น
เมื่อรู้สึกถึงแรงดุนดันตรงช่วงท้อง ปี่หลิงหลงหน้าแดง นางพูดเบา ๆ ว่า “อาซู ข้าได้คิดมาแล้ว จักรพรรดิต้องการให้พวกเราตาย เราอาจจะหนีไปได้ในตอนนี้ แต่สุดท้ายเราก็จะถูกจับได้ในที่สุด แทนที่จะวิ่งด้วยความหวาดผวาทั้งกลางวันและกลางคืนโดยไม่ได้พักผ่อนเพียงเพื่อตายในที่สุด เราควรเลือกที่จะไขว่คว้าหาความสุขในทุก ๆ วันมากกว่า”
ซูอันกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก “เจ้ากำลังพยายามจะพูดอะไร?”
ปี่หลิงหลงมองเขาด้วยดวงตาที่สวยงาม ซูอันรู้สึกราวกับว่าวิญญาณถูกบีบรัด นางกล่าวต่อว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่งั้นเหรอ? ก่อนหน้านี้เจ้าใช้ข้าทำให้เขาโกรธ คำพูดเหล่านั้นเป็นความคิดจริง ๆ ของเจ้าด้วยใช่ไหม?”
การถูกเปิดโปงทำให้ซูอันรู้สึกอับอายอย่างช่วยไม่ได้ ริมฝีปากสีแดงชื้นของปี่หลิงหลงขยับเข้ามาใกล้ “ถึงเราจะเอาชนะเขาไม่ได้ แต่เราก็แก้แค้นได้ใช่ไหม?”
…
ในขณะเดียวกัน ณ ทะเลทราย จ้าวรุ่ยจื่อก็จาม จากนั้นจึงมองขึ้นไปและถามว่า “เหอหลี่ เจ้าเห็นสีเขียวบนนั้นไหม?”
กลุ่มของพวกเขาเดินทางต่อไปยังทะเลทรายในขณะที่ต่อสู้กับแมงป่องสีดำที่ชั่วร้าย และพวกเขาก็ตกลงไปในวังวนทรายดูดโดยไม่ได้ตั้งใจ
ด้วยการบ่มเพาะของจ้าวรุ่ยจื่อ เห็นได้ชัดว่าเขาจะไม่ถูกดูดกลืนโดยทรายพวกนี้ อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ผู้บ่มเพาะของคฤหาสน์ราชันลมปราณกำลังดิ้นรนและลงเอยด้วยการค้นพบกำแพงเมืองบางส่วนในทราย นั่นทำให้จ้าวรุ่ยจื่อรู้ว่ามีซากเมืองโบราณฝังอยู่ใต้ผืนทราย เขารู้สึกว่าที่นี่มีสิ่งที่เขาต้องการ จึงออกคำสั่งให้ทุกคนเข้าไปในซากเมืองใต้ดิน
อย่างไรก็ตาม พวกเขาพบปัญหาทันทีที่เข้ามา ทะเลเพลิงพุ่งออกมาเมื่อหน่วยสอดแนมเปิดประตูเมือง โชคดีที่จ้าวรุ่ยจื่อดับไฟได้อย่างรวดเร็ว แต่หน่วยสอดแนมทั้งสองถูกเผาเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
หลังจากนั้น ผู้รอดชีวิตได้เพิ่มความระมัดระวังเกินสิบส่วน
พวกเขาพบกับดักและกลไกทุกประเภทในซากปรักหักพังหลังจากนั้น แต่คนเหล่านี้ได้รับการฝึกมาอย่างดี ร่วมกับจ้าวรุ่ยจื่อที่คอยดูแลสิ่งต่าง ๆ พวกเขาจึงผ่านความกลัวและความเจ็บปวดมาได้
ในที่สุดทั้งกลุ่มก็เข้าไปในห้องโถงที่กว้างขวาง และพบบางสิ่งที่ไม่มีประโยชน์สำหรับจ้าวรุ่ยจื่อ เมื่อเขาตระหนักว่าไม่สามารถหาเงื่อนงำใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอมตะได้ เขาก็รู้สึกหงุดหงิด เมื่อเงยหน้าขึ้นและเห็นสีเขียวอยู่ด้านบน ด้วยเหตุผลบางอย่าง จู่ ๆ จักรพรรดิก็รู้สึกถึงคลื่นแห่งความรำคาญ
ทันใดนั้นก็มีคนตะโกนว่า “มาเร็ว มีศิลาอยู่ที่นี่!”
จ้าวรุ่ยจื่อสังเกตเห็นว่ามีศิลาขนาดใหญ่ตกลงไปพร้อมกับทรายดูด เขารีบพุ่งไปปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ ศิลานั้น ทรายดูดที่ตกลงมาเหนือเขาถูกขวางด้วยคลื่นของพลังชี่ที่มองไม่เห็น เขามองเหอหลี่แล้วพูดว่า “ไปอุดรูนั้นซะ” พระราชวังทั้งหมดอาจถูกท่วมด้วยทรายหากไม่ดำเนินการแก้ไข
เหอหลี่หน้าบึ้ง เจ้าเป็นคนทำหลุมนั้น แต่กลับต้องการให้ข้าซ่อมมัน ทำไมข้าถึงโชคร้ายอย่างนี้… แต่เขาไม่กล้าบ่นอะไรและรีบบินขึ้นโดยกดหลังของเขายันหลุม สองมือจับด้านข้างของเพดานและใช้ลำตัวปิดกั้นเอาไว้
ทรายที่ไม่มีที่สิ้นสุดพรูลงมา แม้แต่ผู้บ่มเพาะขั้นสูงสุดของระดับเก้าเช่นเขาก็ยากที่จะต้านทานแรงกดดันมหาศาลนั้นได้ เขาได้แต่หวังว่าจักรพรรดิจะจัดการให้เสร็จโดยเร็ว แล้วพาทุกคนออกไปจากที่นี่
จ้าวรุ่ยจื่อมองไปที่ศิลาข้างหน้า เขาไม่รู้จักเนื้อหาที่จารึกไว้ มันเป็นสีเขียวทั้งหมด ตัวอักษรหลายตัวในนั้นเลือนรางจนอ่านไม่ออกแล้ว และเหลือเพียงไม่กี่ประโยค
ตัวอักษรเหล่านี้แปลกมาก ทว่าจ้าวรุ่ยจื่อได้รับการศึกษามาเป็นอย่างดี เขาเคยเห็นตัวอักษรที่คล้ายกันจากบันทึกโบราณและลองอ่านช้า ๆ “เหนือความโกลาหลยังมีเมฆดำทะมึน ประตูสวรรค์เปิดกว้าง พระอาทิตย์ดวงโตหวนคืนสู่ตำหนักทอง ดาวใต้เคลื่อนที่รอบอลิโอธ เรือนยอดเข้าแถวเกิดเป็นสายสีม่วง เพลงที่สง่างามบรรเลงผ่านเจิ้ง ผู้ที่เข้าใจจะได้รับชีวิตนิรันดร์…”
“ชีวิตนิรันดร์!” ลมหายใจของเขาถี่กระชั้นขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อได้อ่านสองคำสุดท้าย
………………..