เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 1257 ทุกคนจะต้องตาย
บทที่ 1257 ทุกคนจะต้องตาย
“เจ้าคือจักรพรรดินี… เดี๋ยวก่อน จักรพรรดินีตายไปแล้ว เจ้าไม่… อา… ทุกคนจะต้องตาย…” ฮั่นจงดูราวกับว่าสติวิปลาสไปแล้ว มือทั้งสองกุมศีรษะด้วยความเจ็บปวด
“จักรพรรดินี?” ปี่หลิงหลงรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น นางเดินเข้าไปใกล้ซูอันและถามว่า “อาจารย์ของเจ้าเป็นจักรพรรดินี?”
“ใช่” ซูอันตอบ
“นางเป็นจักรพรรดินีของอาณาจักรใด ราชวงศ์ไหนที่มีจักรพรรดินีสง่างามได้เท่านาง?”
“เอ่อ… มันค่อนข้างยากที่จะอธิบาย ไม่ใช่อาณาจักรที่เจ้ารู้จัก”
“แล้วทำไมจู่ ๆ นางถึงมาโผล่ที่นี่ล่ะ?”
“นางอยู่เคียงข้างข้าเสมอ เพียงแต่ว่านางมักจะไม่ชอบพบปะกับคนแปลกหน้า เป็นเหตุผลที่นางไม่แสดงตัว”
“อยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ? หมายความว่านางเห็นทุกอย่างระหว่างเรางั้นเหรอ!” ปี่หลิงหลงตกใจมาก นางเคยคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความลับของพวกเขา แต่ตอนนี้นางรู้แล้วว่ามีคนคอยดูอยู่ตลอดเวลา ความอับอายอย่างท่วมท้นทำให้นางอยากหายตัวไปตลอดกาล
“เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ ไม่ใช่ว่าเจ้าสองคนนอนด้วยกันจริง ๆ ซะหน่อย แล้วเจ้าจะเขินอายเรื่องอะไร?” หมี่หลี่หันกลับไปมองทั้งสองคน ดูเหมือนรำคาญที่ทำให้นางเสียสมาธิ จากนั้นนางหันกลับมาเพื่อถามฮั่นจงต่อไป น่าเสียดายที่เขาได้แต่พึมพำและไม่สามารถให้คำตอบที่มีความหมายได้
ปี่หลิงหลงพูดไม่ออก นางอยากตอบโต้ไปสักคำ แต่นางรู้สึกว่าสิ่งที่หมี่ลี่พูดมีเหตุผลจริง ๆ ทันใดนั้น ซูอันก็ขยับเข้ามาใกล้และถามว่า “ถ้าอย่างนั้นเราควรทำจริง ๆ นางจะได้ไม่ต้องพูดอะไรอีก ดีไหม?”
“หุบปาก!” ปี่หลิงหลงไม่พอใจ นางรู้ว่าซูอันกำลังพูดเพื่อช่วยนาง แต่ทำไมตอนนี้นางถึงคิดอยากตีเขาจริง ๆ ขึ้นมาแล้ว
ซูอันตระหนักว่ามีสิ่งที่สำคัญกว่าเกิดขึ้น เขาเดินไปที่ด้านข้างของหมี่ลี่และพูดว่า “เขาสูญเสียความมีเหตุผลไปแล้ว ข้าไม่คิดว่าท่านจะได้อะไรจากเขามากนัก”
หมี่ลี่ขมวดคิ้ว มือของนางสร้างผนึกที่ซับซ้อนแต่สวยงามอย่างรวดเร็ว จากนั้นอักขระที่ซับซ้อนและลึกซึ้งก็ปรากฏขึ้นบนศีรษะของฮั่นจง จมเข้าสู่ผิวหนังและหายไป
“ปรมาจารย์ด้านอักขระ?” ปี่หลิงหลงตกตะลึง ท้ายที่สุด แม้ว่าจะมีผู้บ่มเพาะมากมายในต้าโจว แต่ปรมาจารย์ด้านอักขระกลับค่อนข้างหาตัวจับยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของปรมาจารย์ด้านอักขระระดับสูง ทุกคนถือเป็นสมบัติของชาติ
ความเร็วในการสร้างอักขระตลอดจนความซับซ้อนและความลึกซึ้งนั้น ดูเหมือนจะเหนือกว่าปรมาจารย์ด้านอักขระคนใดที่นางเคยเห็นมาก่อน! ปี่หลิงหลงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีใครในสถาบันหลวงสามารถเปรียบเทียบกับผู้หญิงคนนี้ได้หรือไม่…
ฮั่นจงหยุดคำราม สีหน้าค่อย ๆ ผ่อนคลายขึ้น เขาเงยหน้าขึ้นมองหมี่หลี่ พูดอย่างอ่อนแรงว่า “ขอบพระทัย องค์จักรพรรดินี”
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า อักขระนี้อาจทำให้ชีวิตของเจ้าจะถึงจุดจบอย่างรวดเร็ว” หมี่ลี่กล่าวอย่างเฉยเมย
ซูอันตื่นตระหนก พี่หญิงใหญ่ เจ้าเป็นคนดุร้ายและเด็ดขาดจริง ๆ! แต่ข้าไม่ค่อยสนใจส่วนนั้นของเจ้าเท่าไรนัก…
ฮั่นจงส่ายศีรษะช้า ๆ “การอยู่ต่อไปในสถานะครึ่งผีครึ่งมนุษย์ก็ไม่ถือว่ามีชีวิตอยู่อย่างแท้จริงเช่นกัน ขอบพระทัยที่ทรงปล่อยข้าเป็นอิสระ”
หมี่ลี่พยักหน้ายอมรับ เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้สนใจเรื่องดังกล่าวมากนัก เนื่องจากมีเรื่องเร่งด่วนมากกว่า นางถามว่า “ทำไมเจ้าถึงมีชีวิตอยู่ได้นานขนาดนี้?”
“กลุ่มของเรากำลังค้นหาตัวยาอมตะตามรับสั่งขององค์จักรพรรดิ หลังจากค้นหามาหลายปี ข้าพบโอสถศักดิ์สิทธิ์จากเผ่าพันธุ์เอลฟ์ในตำนานที่ได้รับการกลั่นเป็นยาเม็ด น่าเสียดายที่จักรพรรดิทรงสงสัยและให้ข้ากินเข้าไปก่อน ในตอนแรกมันไม่เป็นไร แต่หลังจากนั้นไม่นาน ขนสีเขียวก็งอกขึ้นทั่วร่างกาย และสมองของข้าก็เริ่มแย่ลง ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้กระบวนการช้าลงได้ ในที่สุดข้าก็กลายเป็นสัตว์อสูรและเสียสติไปอย่างสิ้นเชิง…” น้ำเสียงของฮั่นจงสงบมาก ราวกับกำลังเล่าเรื่องบางอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง เห็นได้ชัดว่าหลังจากผ่านกาลเวลาอันไร้ที่สิ้นสุด เขาไม่สนใจชีวิตและความตายอีกต่อไป
ซูอันสังเกตเห็นว่าฮั่นจงได้กล่าวถึงเผ่าพันธุ์เอลฟ์ เขาไม่ได้คาดหวังว่าเอลฟ์จะมีอยู่จริง!
ในความเป็นจริง การตัดสินใจของฮั่นจงเพื่อค้นหาเผ่าเอลฟ์นั้นไม่ผิด เฉียวเสวี่ยอิงให้ครึ่งหนึ่งของชีวิตแก่ซูอัน ดังนั้นหากจักรพรรดิองค์แรกพบเอลฟ์ที่มีชีวิตร่วมกับเขา อย่างน้อยเขาก็อาจจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสองสามพันปี
แต่ซูอันเปลี่ยนใจอย่างรวดเร็ว ความสามารถในการแบ่งปันอายุขัยครึ่งหนึ่งคือความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเอลฟ์ มีเอลฟ์ไม่กี่คนที่ใช้ความสามารถนี้มาตลอดประวัติศาสตร์ และคนนอกเผ่าก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเอลฟ์สามารถทำสิ่งนี้ได้ ไม่อย่างนั้นทั้งเผ่าคงจะสูญสิ้น
เขารู้สึกอบอุ่นในใจเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เสวี่ยเอ๋อร์เป็นห่วงเขาจริง ๆ พูดตามตรง มันนานมากแล้วหลังจากครั้งสุดท้ายที่เจอกัน เขาเริ่มคิดถึงนางจริง ๆ
หมี่ลี่ถามต่อไปว่า “แล้วทำไมเจ้าถึงมาที่นี่?”
“ข้าไม่รู้ ข้าสูญเสียความทรงจำไปมากมายแล้ว…” ฮั่นจงส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้
“แล้วอิ่งเจิ้งล่ะ? ในที่สุดเขาก็ค้นพบยาแห่งความเป็นอมตะใช่หรือไม่?” หมี่ลี่ถาม
“ข้าไม่รู้ แต่อย่างน้อยที่สุด เขาก็ไม่ควรรู้ก่อนที่ข้าจะเสียสติไป” ฮั่นจงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “จะมีชีวิตนิรันดร์ในโลกนี้ได้อย่างไร? วิธีการของข้าใกล้เคียงมากแล้ว แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือกลายเป็นสัตว์อสูรที่สูญเสียสติสัมปชัญญะทั้งหมด แม้ว่าเราจะใช้ชีวิตแบบนั้นได้ แต่นั่นจะถือว่าเป็นอมตะได้อย่างไร…?”
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันทีเมื่อพูด ดวงตาเต็มไปด้วยความสยดสยองเมื่อเขามองหมี่ลี่ “ฝ่าบาท ทำไมท่านถึง…?”
หมี่ลี่ตัดบทเขา “ข้าเป็นคนถามคำถามเจ้าตอนนี้ ไม่ใช่ให้เจ้ามาถามข้า ใช่แล้ว จักรพรรดินีองค์นี้สังเกตเห็นว่ารูปสลักภายในวิหารกระดูกวาฬนั้นแท้จริงแล้วคือซูฟู ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? ยิ่งกว่านั้น ทำไมถึงจารึกข้อความเรียกเขาว่าจักรพรรดิสูงสุด”
“เสี่ยวฟู? เสี่ยวฟู!” ฮั่นจงมีสีหน้าว่างเปล่า แต่ทันใดนั้นเขาก็กุมศีรษะด้วยความเจ็บปวด “ไม่รู้ ไม่รู้… ฮ่า ฮ่า ฮ่า! พวกเจ้าทุกคนกำลังจะตาย… พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องตาย… ไม่มีใครรอด…”
สีหน้าของหมี่ลี่เปลี่ยนไป นางกำลังจะถามคำถามเพิ่มเติมเมื่อเสียงของอีกฝ่ายหยุดลง เมื่อตรวจดูเขาอย่างใกล้ชิดจึงเห็นว่าอีกฝ่ายหมดลมหายใจไปแล้ว ความสยดสยองได้ประทับลงบนใบหน้าก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ราวกับว่ากำลังเผชิญกับบางสิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
ด้วยการเสียชีวิตของฮั่นจง ทุ่งหญ้าเขียวขจีโดยรอบเหี่ยวแห้งไปในทันที เหลือเพียงกองฝุ่นสีเหลืองแห้ง ๆ ทำให้ทุกคนรู้สึกหดหู่
ซูอันอดไม่ได้ที่จะพูด “ฮั่นจงนั้นไร้ประโยชน์จริง ๆ เขาทำให้เราตกใจด้วยการพูดพล่ามไร้สาระทั้งหมด ไม่ได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่เราสักอย่าง”
หมี่ลี่ขมวดคิ้ว คำพูดของฮั่นจงทำให้นางสับสนไปหมดเช่นกัน
ปี่หลิงหลงถือโอกาสมองประเมินหมี่ลี่ นางสงสัยมากเกี่ยวกับวิญญาณผู้หญิงลึกลับที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น มีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะถามซูอันแต่นางก็ไม่สามารถบังคับตัวเองให้ถามต่อหน้าหมี่ลี่ได้
ในขณะนั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงพังทลายลงมาจากอาราม ทั้งหมดรีบเข้าไปด้านในและเห็นว่ารูปสลักหลายชิ้นแตกกระจาย ไม่เว้นแม้แต่รูปสลักของซูฟู “หญ้าหวานของฮั่นจงงอกขึ้นทั่วไป มันขุดใต้ฐานรากของอารามแห่งนี้ ตอนนี้เขาตายแล้ว วัชพืชแปลก ๆ ก็เหี่ยวเฉาไปหมด ดังนั้นพวกมันจึงไม่สามารถรองรับน้ำหนักของรูปสลักได้อีกต่อไป นั่นเป็นสาเหตุที่ทุกอย่างพังทลาย” หมี่หลี่กล่าวพร้อมวิเคราะห์สถานการณ์