เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 1260 เจ้าต้องขอร้องข้าด้วยต่างหาก
บทที่ 1260 เจ้าต้องขอร้องข้าด้วยต่างหาก
ต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ใกล้เคียงส่งเสียงกรอบแกรบจากการถูกเหยียบย่ำ ใบหน้าของปี่หลิงหลงซีด นางคว้าแขนเสื้อของซูอันและพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “อาซู กระโดดกันเถอะ อย่างน้อยเราก็สามารถผ่านไปได้โดยไม่เจ็บปวด”
ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ นางเข้าใจดีว่าจักรพรรดินั้นชั่วร้ายเพียงใด ด้วยทุกสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสอง ไม่มีทางที่พวกนางจะตายง่าย ๆ หากต้องตกอยู่ใต้เงื้อมมือของจักรพรรดิ
ซูอันตบมือของนางเบา ๆ “อย่ากังวล เรายังไม่จนตรอกขนาดนั้น”
ปี่หลิงหลงตกตะลึง นางไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมเขาถึงยังคงสงบนิ่งในสถานการณ์เช่นนี้ได้ แต่เสียงของเขากลับมีความสามารถในการสงบใจอย่างน่าประหลาด หัวใจที่เต้นแรงของนางค่อย ๆ ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ร่างสีเหลืองทองปรากฏขึ้นอย่างคลุมเครือบนขอบฟ้า จากนั้นเขาปรากฏตัวต่อหน้าคนทั้งสองทันที
ซูอันถอนหายใจ ความเร็วระดับนี้เป็นสิ่งที่จักรพรรดิยังคงครอบครอง แม้ว่าโลกในมิติลับนี้จะจำกัดเขาแล้วก็ตาม การฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งของเขาเพียงพอที่จะทิ้งห่างซูอันไว้อย่างสิ้นหวัง…
“เจ้าสองคนอยากตายด้วยกันในฐานะคนรักไม่ใช่เหรอ? น่าเสียดาย นั่นไม่ใช่การตัดสินใจของเจ้าอีกต่อไป” จ้าวรุ่ยจื่อมองมือของปี่หลิงหลงอย่างเย็นชา บทสนทนาก่อนหน้านี้ไม่รอดพ้นหูของเขา ตอนนี้ จักรพรรดิเชื่อว่าชีวิตของทั้งคู่อยู่ในกำมือของตัวเองแล้ว
“ฆ่าเจ้า?” จ้าวรุ่ยจื่อหัวเราะเยาะ “ปล่อยให้เจ้าตายแบบนั้นจะง่ายเกินไป ข้าจะตอนเจ้าและพากลับวัง ให้เจ้าขัดส้วมทั้งกลางวันและกลางคืน จากนั้นในแต่ละปี ข้าจะตัดส่วนหนึ่งของร่างกายเจ้าออก ในที่สุด เมื่อแขนขาทั้งสี่และอวัยวะรับสัมผัสทั้งห้าของเจ้าหายไป ข้าจะโยนเจ้าลงบ่ออุจจาระและให้ยารักษาเพื่อให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป จากนั้นเจ้าจะสัมผัสกับปัสสาวะของขันทีในวังได้วันแล้ววันเล่า…”
ข้อนิ้วของปี่หลิงหลงเปลี่ยนเป็นสีขาวจากการกำหมัดแน่น นางอยากจะอาเจียน นางเสียใจที่ไม่ได้ตัดสินใจตายตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะตอนนี้การตัดสินใจไม่ได้เป็นสิทธิ์ของนางอีกต่อไปแล้ว
ซูอันก็พูดไม่ออกเช่นกัน ไอ้นี่มันวิปริตจริง ๆ การลงโทษประเภทนี้เป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถคิดขึ้นได้จริงเหรอ? ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้น มันไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามพูดคุยอย่างสุภาพ เขาพูดอย่างเย็นชา “น่าเสียดาย ไม่เพียงแต่เจ้าทำอย่างนั้นกับข้าไม่ได้ เจ้ายังต้องขอร้องข้าด้วย”
“ข้า? ขอร้องเจ้า?” จ้าวรุ่ยจื่อคำรามด้วยเสียงหัวเราะราวกับได้ยินเรื่องตลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
ในที่สุดเหอหลี่และคนอื่น ๆ ก็ตามมาทันขณะที่หอบหายใจ ทั้งหมดมองซูอันอย่างเห็นอกเห็นใจเมื่อได้ยินคำพูดที่น่าขันของเขา ผู้ชายคนนี้กลัวมากจนแทบจะบ้าไปแล้วเหรอ?
รอยยิ้มของจ้าวรุ่ยจื่อจางหายไปในขณะที่เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “ช่างเป็นเรื่องตลกที่ไร้สาระจริง ๆ ข้าจะตอนเจ้าเสียตอนนี้ อยากเห็นนักว่าเจ้าจะทำยังไง?”
ซูอันเพิ่งจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ด้วยมือของจักรพรรดิที่กำแน่น มันยากแม้แต่จะหายใจ นับประสาอะไรกับการพูด
“ข้ารู้ว่าเจ้าพูดเก่ง และอาจมีความคิดแปลก ๆ ที่จะยื้อชีวิตตัวเอง ข้าจึงไม่อยากได้ยินอะไรทั้งนั้น” จ้าวรุ่ยจื่อตะคอก
ซูอันพูดไม่ออก ให้ตายเถอะ ข้าซวยแล้ว!
ซูอันจะคาดเดาได้อย่างไรว่าจักรพรรดิจะทำอย่างนี้? เขาพูดอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แผนการทั้งหมดล้มเหลว เขาตื่นตระหนกทันทีเมื่อเห็นว่ามือของจักรพรรดิกำลังจะลดลงเหมือนกิโยตีน เจ้าสามารถตัดศีรษะของข้าได้ แต่ตัดไอ้นั่นของข้าไม่ได้!
เขารีบเรียกหมี่ลี่ “ท่านจักรพรรดินี ช่วยข้าด้วย!”
หมี่ลี่ไม่พอใจ “ฮึ่ม มาดูกันว่าเจ้าจะคิดว่าตัวเองฉลาดอีกหรือไม่”
นางกำลังจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือซูอัน แม้ว่าทุกครั้งที่นางใช้กำลังมันจะกินพลังวิญญาณจำนวนมาก และแม้ว่าการบ่มเพาะของจักรพรรดิจะยอดเยี่ยมแค่ไหน นางก็ไม่สามารถดูซูอันเอาชีวิตของตัวเองไปทิ้ง
โชคดีที่ปี่หลิงหลงพูดขึ้นในตอนนั้น “เจ้าฆ่าเขาไม่ได้!”
จ้าวรุ่ยจื่อรู้สึกรำคาญมากแทนที่จะหัวเราะ “โอ้? เจ้าจะเสียสละแทนมันงั้นเหรอ?”
เหอหลี่พยักหน้าเห็นด้วย โดยปกติแล้วองค์หญิงรัชทายาทจะเฉียบแหลมมาก ทำไมจู่ ๆ นางถึงโง่เง่าขนาดนี้? ใคร ๆ ก็พูดแทนซูอันได้ ยกเว้นเจ้า! การอ้อนวอนขอชีวิตชายชู้เป็นเพียงการเติมเชื้อไฟให้จักรพรรดิไม่ใช่เหรอ?
ใบหน้าของปี่หลิงหลงซีดลงเมื่อรู้สึกถึงแรงกดดันในดวงตาของจักรพรรดิ อย่างไรก็ตาม นางยังคงยืดหลังตรงและพูดว่า “เพราะเขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้วิธีไปถึงพระราชวัง เจ้าแสวงหาความเป็นอมตะมาทั้งชีวิต ไม่มีทางที่เจ้าจะปล่อยโอกาสนี้ไป”
แม้ว่านางไม่รู้ว่าอีกกลุ่มของจ้าวรุ่ยจื่อได้รับข้อความโบราณบางอย่างเช่นกัน หลังจากใช้เวลาหลายปีในพระราชวัง นางเข้าใจว่าจักรพรรดิคิดอย่างไร นางเป็นผู้หญิงที่ฉลาดมาโดยตลอด ดังนั้นจึงตระหนักได้ทันทีว่ามีเพียงความเป็นอมตะเท่านั้นที่สามารถระงับความโกรธแค้นที่จ้าวรุ่ยจื่อรู้สึกต่อซูอันได้ชั่วคราว และแน่นอนว่ามันได้ผล
แม้ว่าจ้าวรุ่ยจื่อจะมั่นใจ แต่เขาก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับมัน “ฮะ? เจ้าคิดว่าข้าต้องการคนอย่างมันเพื่อขึ้นไปบนนั้นเหรอ?” แม้จะพูดอย่างนี้เขาก็หยุดมือและโยนซูอันออกไปด้านข้าง
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่พระราชวังด้านบน เพียงสะกิดปลายเท้ากับพื้นดิน ร่างก็หายวับไปในทันที แม้ว่ายอดเขาที่สูงที่สุดนั้นจะอยู่ห่างจากทวีปที่พวกเขาอยู่ไม่กี่ร้อยจั้ง แต่สำหรับผู้บ่มเพาะอย่างเขามันไม่ยากที่จะไปถึงเลย
อย่างไรก็ตาม ร่างของจ้าวรุ่ยจื่อก็เริ่มดิ่งลงมาหลังจากนั้นไม่นาน สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป เขาทำท่าเอื้อมมือคว้า ปรากฏกรงเล็บอากาศที่มองไม่เห็นกำลังคว้าขอบของทวีปลอย ครู่ต่อมาก็กลับไปยืนที่เดิมทันที
“การลอยตัวกลางอากาศยังคงถูกจำกัด” จ้าวรุ่ยจื่อพึมพำด้วยสีหน้าเศร้าหมอง โชคดีที่เขาเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะไม่สามารถกลับมาได้จริง ๆ
“ฝ่าบาท ดูเหมือนจะมีกลไกอยู่ที่นี่พะย่ะค่ะ อาจมีทางออกของเรื่องนี้” เหอหลี่รีบเข้ามาทำคะแนนเมื่อสังเกตเห็นว่าจักรพรรดิดูเหมือนจะไม่ค่อยมีความสุขนัก เขาชี้ไปที่แผ่นหินบนพื้น
ดวงตาของจ้าวรุ่ยจื่อเป็นประกายในขณะที่เดินไปที่แผ่นหิน อย่างไรก็ตาม แม้จะรอบรู้ในศาสตร์หลายแขนง เขาก็ยังหลงทางโดยสิ้นเชิง “นี่อาจเป็นข้อความจากสวรรค์ แต่ทำไมมันยุ่งเหยิงขนาดนี้ เป็นไปได้ไหมที่จะต้องปะติดปะต่อด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง…?”
ความคิดทุกประเภทเข้ามาในสมอง แต่สุดท้ายเขาก็ปฏิเสธทุกความคิด ทันใดนั้น เขาก็หันกลับไปมองซูอันแล้วถามว่า “เจ้าช่วยไขกลไกนี้ได้ไหม?”
ซูอันลูบต้นคอและตอบอย่างเฉยเมยว่า “ข้าทำได้ แต่เจ้าจะฆ่าข้าทันทีหลังจากนั้น ข้าจะไปยุ่งทำไม?”
ดวงตาของจ้าวรุ่ยจื่อหรี่แคบลง “เจ้าขู่ข้างั้นเหรอ?”
………………..