เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 1267 วิ่งให้เร็วกว่าคนอื่น
บทที่ 1267 วิ่งให้เร็วกว่าคนอื่น
จ้าวรุ่ยจื่อรู้สึกขนลุกและตื่นตัวอย่างรวดเร็ว นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกถึงภัยคุกคามแห่งความตายนับตั้งแต่ที่เขากลายเป็นผู้บ่มเพาะที่ทรงพลังที่สุดในโลก? เขารีบขยับแขนไปด้านข้างเพื่อป้องกันตัวเอง
แสงสีทองและสีดำปะทะกัน ทำให้เกิดคลื่นกระแทกอันทรงพลัง ทหารดินเผาที่แข็งแกร่งก็ไม่อาจต้านทานต่อไปได้ พวกที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ระเบิดออกเป็นชิ้น ๆ ในขณะที่พวกที่อยู่ไกลออกไปนั้นตัวเอนจากด้านหนึ่งไปอีกด้านอย่างไม่มั่นคง
จ้าวรุ่ยจื่อถูกคลื่นกระแทกพัดกระเด็นไปไกล เลือดพลันไหลออกจากฝ่ามือทั้งสอง กี่ปีแล้วที่เขาได้รับบาดเจ็บครั้งสุดท้าย? เขาลืมความรู้สึกนั้นไปแล้ว แต่ในขณะนั้นความสนใจของเขาไม่ได้อยู่ที่อาการบาดเจ็บของตัวเอง เขาจ้องเขม็งไปที่คนที่ทำให้เขาบาดเจ็บแทน
ร่างกายของบุคคลนั้นปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ ดังนั้นจ้าวรุ่ยจื่อจึงมองไม่เห็นใบหน้า อย่างไรก็ตาม โครงร่างนั้นดูเหมือนคนสวมชุดเกราะ มันน่าจะเป็นแม่ทัพเช่นกัน ในมือมีง้าวยาว ด้านปลายของมันไม่ตรงเหมือนง้าวทั่วไปแต่ค่อนข้างโค้ง นอกจากนี้มันยาวกว่าง้าวธรรมดามากจนดูเหมือนเคียวเกี่ยวข้าว
มันมีลักษณะอื่นที่โดดเด่นกว่านั้น ร่างกายของมันเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าที่หนาแน่น แม้แต่ซูอันและคนอื่น ๆ ก็สามารถรู้สึกถึงกระไอโลหิตหนักหน่วงราวกับมันเพิ่งคลานออกมาจากภูเขาซากศพ
“เจ้าเป็นใคร?” จ้าวรุ่ยจื่อถาม “ใครก็ตามที่สามารถทำร้ายข้าได้ ย่อมไม่ใช่คนไร้นาม”
น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ตอบกลับ หมอกสีดำทั่วร่างของมันพุ่งสูงขึ้น และพุ่งเข้าใส่ในขณะที่กวัดแกว่งง้าวรูปเคียวอีกครั้ง
แม้แต่ซูอันก็เห็นภาพไม่ชัดเจนนักด้วยการตั้งสมาธิอย่างเต็มที่ เขาทำได้เพียงถามว่า “อาจารย์ผู้งดงาม ท่านผู้แข็งแกร่งอย่างยิ่งคนนี้คือใคร?”
ง้าวของเขาเกือบจะตัดศีรษะของจักรพรรดิ! ความแข็งแกร่งนี้เกินจินตนาการยิ่งนัก
การแสดงออกของหมี่ลี่นั้นแปลก “ผู้ยิ่งใหญ่… ไม่สิ ถูกต้องกว่าหากเรียกเขาว่าแม่ทัพหมายเลขหนึ่งแห่งยุคสงคราม ไป๋ฉี”
ซูอันตื่นตระหนก เขาหันกลับไปมองร่างนั้น นี่คือไป๋ฉีที่มีชื่อเสียง?
ไป๋ฉีเป็นผู้นำกองทัพแคว้นฉินที่ทำลายฐานที่มั่นของสองพันธมิตรเว่ยและหานทีละแห่ง การสู้รบสิ้นสุดลงโดยที่ข้าศึกบาดเจ็บล้มตายสองแสนสี่หมื่นคน ในการรบที่ฉางผิง ทหารจ้าวกว่าสี่แสนนายถูกฝังทั้งเป็นตามคำสั่งของเขา… การดำรงอยู่ของเขาเป็นตัวแทนแห่งความตายของผู้คนนับไม่ถ้วน ดังนั้นเขาจึงได้รับสมญานามว่า ‘ผู้ค้าเนื้อมนุษย์’
“ข้ารู้ว่าพวกมันคืออะไร” หมี่ลี่พูดด้วยน้ำเสียงที่ขัดแย้งกัน “นี่คือสุสานหลวงตะวันตก ศาลบรรพบุรุษของราชวงศ์ฉินไม่เพียงแต่มีจักรพรรดิฉินแต่ละรุ่นเท่านั้น ยังมีผู้ที่โดดเด่นจากราชวงศ์ฉินเช่นศาลบรรพบุรุษของหวังเจี่ยนและไป๋ฉีผู้กล้าหาญ”
ราชวงศ์ต่าง ๆ ก็มีศาลบรรพชนของเหล่าผู้ทรงเกียรติเป็นของตนเองเช่นเดียวกัน คล้ายกับห้องกิเลนของราชวงศ์ฮั่นตะวันตก แท่นบูชาเมฆของแม่ทัพแปดสิบคนของฮั่นตะวันออก และห้องหลินเหยียนของราชวงศ์ถัง ราชวงศ์อื่น ๆ ก็ให้เกียรติแก่ผู้ทรงคุณูปการบางคนในการฝังร่วมกับพระศพของจักรพรรดิฉินซึ่งแสดงถึงความรุ่งโรจน์อันยิ่งใหญ่สำหรับผู้คนเหล่านี้
ซูอันอดไม่ได้ที่จะสนใจและถามว่า “ถ้าอย่างนั้น จ้าวฮั่นจะไม่ตายได้เหรอ?” ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขากังวลว่าจะจัดการกับจักรพรรดิอย่างไร แต่ตอนนี้สถานการณ์ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์แล้ว!
หมี่ลี่ส่ายศีรษะ “ถ้าพวกเขามีพลังเหมือนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ หวังเจี่ยนและจ้าวฮั่นก็จะแข็งแกร่งพอ ๆ กัน ในขณะที่ไป๋ฉีจะแข็งแกร่งกว่าอีกสองคนด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้พวกมันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเศษวิญญาณที่ยังคงมีอยู่ในมิติลับพิเศษนี้ ทั้งยังอ่อนแอกว่าเมื่อก่อนมาก ยากที่จะกำจัดจ้าวฮั่นได้”
แน่นอนว่าสถานการณ์ในสนามรบได้เริ่มเปลี่ยนไปแล้วเมื่อหมี่ลี่พูดจบ
กำปั้นของจ้าวรุ่ยจื่อทุบไปที่ร่างของไป๋ฉี และหมอกสีดำจำนวนมากก็กระจายออกไป เห็นได้ชัดว่าได้รับความเสียหายอย่างมากจากการโจมตีของเขา เขาหัวเราะเยาะ “ข้าไม่สนหรอกว่าเจ้าจะเป็นใคร ตายซะเถอะ!”
กำปั้นอีกข้างของเขากระแทกไปที่ศีรษะของร่างนั้น มันไม่ได้ถูกล้อมรอบด้วยแสงสีทองเหมือนครั้งก่อน แต่กลับเปลี่ยนเป็นสีทองทั้งหมด ราวกับว่ามือของเขาทำด้วยทองคำ
ในขณะนั้นหวังเจี่ยนยกคันธนูขึ้น ยิงไปที่หลังของจักรพรรดิ แววตาของจ้าวรุ่ยจื่อมีความลังเลเล็กน้อย และท้ายที่สุด เขาก็เลือกที่จะไม่เสี่ยงและหันกลับมาใช้กำปั้นทุบลูกธนูจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ ไป๋ฉียกง้าวรูปเคียวขึ้นและโจมตีอีกครั้ง
นี่คือคู่หูที่น่าเกรงขาม คนหนึ่งเก่งในการโจมตีระยะไกล และอีกคนหนึ่งในการต่อสู้ระยะประชิด แม้แต่จ้าวรุ่ยจื่อก็พบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ทั้งคู่ยังสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาโจมตีเป็นครั้งคราวเช่นกัน พวกเขาทั้งสองเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียง แม้ว่าจะเป็นเพียงเศษวิญญาณ แต่การบังคับบัญชาสนามรบได้กลายเป็นสัญชาตญาณไปแล้ว ภายใต้คำสั่งของพวกเขา ความแข็งแกร่งของกองทัพดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ในที่สุดไป๋ฉีก็ไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับจ้าวรุ่ยจื่อโดยตรง เพียงแค่ต้องให้การสนับสนุนเป็นครั้งคราวเท่านั้น
ไม่ว่าจ้าวรุ่ยจื่อจะแข็งแกร่งแค่ไหน เขาก็ค่อย ๆ จมหายไปในคลื่นกองทหาร เขารู้สึกถึงอันตราย คิดว่าหากยังเป็นอย่างนี้ต่อไปก็มีแต่จะเข้าใกล้ความพ่ายแพ้อย่างช้า ๆ และอาจถึงตายได้ในที่สุด ด้วยเหตุนี้เขาจึงถือโอกาสหายวับหนีไปในระยะไกล
เมื่อไป๋ฉีและหวังเจี่ยนเห็นจ้าวรุ่ยจื่อหนีไปจึงสั่งให้กองทัพไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว โดยปกติแล้วรถศึกและทหารม้าธรรมดาไม่มีโอกาสไล่ตามผู้บ่มเพาะ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง รถศึกและทหารม้าเหล่านี้รวดเร็วเป็นพิเศษ พวกมันสามารถไล่ตามจ้าวรุ่ยจื่อได้ทันจากระยะไกล
คนจากคฤหาสน์ราชันลมปราณตกตะลึง เหอหลี่ขยี้ตาด้วยความไม่เชื่อ บ่นพึมพำว่า “ฝ่าบาท… หนีไปแล้วเหรอ?”
อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับซูอัน แต่สำหรับผู้อยู่อาศัยในเมืองหลวงเช่นพวกเขา จักรพรรดิคือสัญลักษณ์ของอำนาจที่อยู่ยงคงกระพัน! แต่ตอนนี้จักรพรรดิกลับหนีเอาชีวิตรอด! ทันใดนั้น ทั้งหมดก็รู้สึกราวกับว่าภาพในใจแตกสลายไป
แต่พวกเขาไม่มีเวลาไตร่ตรองความคิดเช่นนั้น สิ่งที่ไล่ตามจ้าวรุ่ยจื่อคือรถศึกและทหารม้า ยังมีกองทหารธรรมดาจำนวนมากเหลืออยู่ ทหารดินเผาหันกลับมา เล็งอาวุธมาที่ผู้บ่มเพาะและพุ่งเข้าใส่
“บัดซบ!” แม้ว่าเหอหลี่จะอยู่ที่ขั้นสูงสุดของระดับเก้า แต่เขาก็สูญเสียความมั่นใจทั้งหมดไปแล้วหลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นในมิติลับแห่งนี้ เขาไม่มีความตั้งใจที่จะต่อสู้อีกต่อไป! เมื่อเห็นทหารดินเผาพุ่งเข้ามา เขาก็เลือกที่จะวิ่งหนีเอาชีวิตรอดทันที
เหอหลี่บอกตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าไม่เป็นไร แม้ว่าจะไม่สามารถเอาชนะทหารดินเผาได้ แต่แค่ต้องวิ่งให้เร็วกว่าสหายร่วมรบ! ทุกชีวิตสามารถซื้อเวลาให้เขาได้ ในกรณีนั้นเขาอาจจะสามารถหลบหนีและได้รับหนทางสู่ความเป็นอมตะได้
ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ต่างแตกกระจายหนีไปด้วยความสับสนเมื่อเห็นเหอหลี่วิ่งหนี ทุกคนแยกย้ายไปคนละทาง แต่มีทหารดินเผามารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้บ่มเพาะของคฤหาสน์ราชันลมปราณถูกล้อมอย่างสมบูรณ์ในไม่ช้า แม้ว่าพวกเขาจะต่อสู้กลับด้วยทุกสิ่งที่มี แต่จำนวนของศัตรูก็มากเกินไป
“ไปเร็ว!” ซูอันคว้าตัวปี่หลิงหลงและวิ่งไปยังสะพานแห่งแสงที่อยู่ไกลออกไป
………………..