เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 1268 ล่าสุดที่ก้าวเดินคือเมื่อไร?
บทที่ 1268 ล่าสุดที่ก้าวเดินคือเมื่อไร?
เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างน่าสังเวชดังขึ้นรอบตัวครั้งแล้วครั้งเล่า ใบหน้าของปี่หลิงหลงก็ซีดลง เหล่าทหารดินเผารายล้อมรอบตัวแบบนี้ เป็นไปได้ไหมที่จะหลบหนี?
ระหว่างทาง นางกวัดแกว่งกระบี่ใส่ทหารดินเผาหลายครั้ง พวกมันไม่ได้อ่อนแอเลย นางสามารถเอาชนะพวกมันได้หนึ่งหรือสองตัวด้วยการบ่มเพาะระดับหก แต่ทหารดินเผาก็ประสานงานกันได้ดีเกินไป นางคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องวิ่งหนีหากพวกมันรวมกลุ่มกันห้าหรือหกตัว และอาจหนีไม่พ้นด้วยซ้ำ
โชคดีที่ซูอันเร็วพอ พวกเขาสามารถเล็ดลอดผ่านฝูงทหารดินเผาและหลุดออกจากวงล้อมมาได้
เมื่อเวลาผ่านไป ปี่หลิงหลงมองไม่เห็นผู้บ่มเพาะจากคฤหาสน์ราชันลมปราณอีกต่อไป แม้ว่าพวกเขาจะเป็นศัตรูของนาง แต่พวกเขาก็ยังเป็นมนุษย์มีเลือดมีเนื้อเช่นกัน นอกจากนี้หลังจากอยู่ด้วยกันมานาน นางพบว่าพวกเขาน่าพอใจมากกว่าทหารดินเผาที่ไร้ชีวิต
อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของปี่หลิงหลงก็ซีดลงทันที เมื่อนางเห็นทหารดินเผาแถวหนึ่งปรากฏตัวต่อหน้า พวกมันรู้แม้กระทั่งกลยุทธ์การขนาบข้าง! นางรู้สึกสิ้นหวัง แม้แต่จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องวิ่งหนี ดังนั้นพวกนางจะเอาชนะกองทัพทหารที่ไม่มีที่สิ้นสุดนี้ได้อย่างไร?
นางรวบรวมความตั้งใจหันไปหาซูอันแล้วพูดว่า “อาซู เจ้าหนีไปเถอะ ไม่ต้องห่วงข้า ข้าจะช่วยรั้งท้ายถ่วงเวลาให้เอง ถ้าไม่มีข้า เจ้าคงหนีเอาตัวรอดได้”
ปี่หลิงหลงส่ายศีรษะ “การบ่มเพาะของข้ายังต่ำเกินไป ข้าจะหนีไปได้ไม่ไกลแม้ว่าเจ้าจะพยายามรั้งพวกมันไว้ที่นี่ก็ตาม แต่เจ้าแตกต่างออกไป ด้วยการบ่มเพาะของเจ้า ยังมีโอกาสอันดีที่จะหลบหนี”
ทันใดนั้น นางก็ลุกขึ้นเขย่งเท้าจูบซูอันเมื่อเห็นว่าเขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง “อาซู เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่เจ้าทำเพื่อข้าตลอดมา ตอนนี้ถึงตาข้าแล้วที่จะทำอะไรตอบแทนเจ้าบ้าง แม้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะอันตราย แต่จริง ๆ แล้วข้าก็มีความสุขมาก… ดีใจที่ได้พบเจ้า… เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว เจ้าต้องรีบไป ไม่งั้นเราทั้งคู่จะตายที่นี่อย่างไร้ความหมาย”
ปี่หลิงหลงเริ่มตื่นตระหนกจริง ๆ เมื่อเห็นกองทหารดินเผาเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ นางขอร้องให้ซูอันออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ใครบอกว่าเราสองคนจะต้องตาย?” ซูอันมีสีหน้าแปลก ๆ จากนั้นเขามองไปที่ทหารดินเผา “ข้าอยากจะสู้กับพวกเจ้าอย่างยุติธรรมและตรงไปตรงมา แต่พวกเจ้าล้ำเส้นเกินไปแล้ว คงต้องขอหยุดการเล่นสนุกนี้ซะที”
เสียงคำรามของมังกรดังขึ้นในอากาศขณะที่เขาชักกระบี่ออกมาแล้วชูขึ้นเหนือศีรษะ เขามุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การใช้วิชาปฐมบทแรกเริ่ม ออกคำสั่งว่า “จักรพรรดิฉินอยู่ที่นี่แล้ว! พวกเจ้าต้องเชื่อฟัง!”
ปี่หลิงหลงตกตะลึง เขาทำบ้าอะไร! หากนักรบดินเผาเหล่านี้มีสติปัญญา พวกมันจะไม่โกรธเคืองที่มีคนแอบอ้างเป็นจักรพรรดิของมันเหรอ?
แต่มีบางอย่างที่น่าตกใจเกิดขึ้น พวกมันไม่ได้พุ่งเข้าใส่พวกเขา แต่กลับมองซูอันอย่างใจเย็น ทุกใบหน้าดูสับสนและลังเลใจ
ซูอันรู้สึกประหม่าจริง ๆ แม้ว่ากระบี่ไท่เอ๋อร์จะเป็นกระบี่ประจำตัวของจักรพรรดิฉินและวิธีการบ่มเพาะของจักรพรรดิฉินในวิชาปฐมบทแรกเริ่ม แต่ทหารดินเผาอาจไม่สามารถจดจำสิ่งเหล่านี้ได้ ถ้าเขาไม่มีทางเลือกจริง ๆ เขาก็จะชำระล้างพวกมันทั้งหมดด้วยวิชาปฐมบทแรกเริ่ม
หมี่ลี่ค่อย ๆ ปรากฏตัวที่ด้านข้างของซูอัน นางจ้องมองที่ทหารดินเผาด้วยท่าทางที่สง่างาม
ในตอนแรกเหล่าทหารดินเผารู้สึกสับสน เพราะในขณะที่กระบี่และคลื่นพลังของชายผู้นี้ดูคล้ายกับจักรพรรดิฉินอย่างมาก แต่หน้าตากลับดูไม่เหมือนพระองค์เลย! พวกเขาสงสัยว่ามีบางอย่างผิดปกติกับความทรงจำของตัวเองหรือไม่? อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นอดีตจักรพรรดินียืนอยู่เคียงข้างชายผู้นี้ ความสับสนของพวกเขาก็หายไปทันที พวกเขาลดอาวุธลงและคุกเข่าคำนับทั้งสองคนด้วยความเคารพ
ซูอันมองดูหมี่ลี่ที่สง่างาม ท่าทางของนางในฐานะภรรยาทำให้รู้สึกดีจริง ๆ แต่เขาตั้งสมาธิอย่างรวดเร็วและพูดว่า “รับคำสั่งของจักรพรรดิองค์นี้ เจ้าต้องจัดการไอ้อ้วนที่ส่องแสงสีทองนั่นให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม!” เขากังวลว่าทหารดินเผาอาจไม่รู้ว่าใครคือจ้าวรุ่ยจื่อ ดังนั้นเขาจึงให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของจักรพรรดิ
ทหารดินเผาทั้งหมดทำความเคารพด้วยกำปั้นที่หน้าอก แสดงความเคารพต่อกลุ่มของซูอันอีกครั้ง จากนั้นพวกมันรีบวิ่งไปทางที่จ้าวรุ่ยจื่อแล้วหายไปพร้อมกับอาวุธในมือ
เมื่อเห็นทหารดินเผาที่ดุร้ายวิ่งจากไปทั้งหมด ปี่หลิงหลงก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ “เจ้าทำได้อย่างไร?”
ซูอันตอบอย่างภาคภูมิใจว่า “เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดเหรอ? ข้าคือจักรพรรดิฉินกลับชาติมาเกิด!”
แต่เขาต้องกรีดร้องอย่างน่าสมเพชในพริบตาต่อมา “อา! ปล่อยนะ เจ็บ เจ็บ…”
หมี่ลี่บิดหูของเขา “ไอ้สารเลว เจ้ากล้าแม้แต่จะดูหมิ่นอาจารย์ของตัวเองงั้นเหรอ?”
กลุ่มของพวกเขาเดินทางต่อไปยังสะพานแห่งแสง แต่ไม่พบสิ่งอันตรายอื่นระหว่างทาง พวกเขาพบกับทหารดินเผาคนอื่นหลายครั้ง แต่ทหารดินเผาไม่เพียงไม่แสดงความเป็นศัตรู พวกมันยังทักทายกลุ่มของซูอันด้วยความเคารพ
…
ในขณะที่เหอหลี่ถูกไล่ล่าอย่างน่าสังเวช เขาเห็นพวกของซูอันจากระยะไกลและเริ่มตั้งคำถามกับชีวิต “ทำไมพวกมันถึงเอาแต่ไล่ตามข้า ไม่ใช่พวกนั้น!”
“เพียงเพราะเด็กนั่นเกิดมาหน้าตาหล่อเหลางั้นหรือ?”
เขาต้องการวิ่งไปหาซูอัน ติดที่ว่าอยู่ไกลกันเกินไป ไม่มีทางที่จะเข้าใกล้ได้เลย ดังนั้นจึงได้แต่วิ่งต่อไปด้วยความตื่นตระหนก
…
ในขณะเดียวกัน ซูอันและปี่หลิงหลงก็มาถึงขอบสะพานแห่งแสงอย่างปลอดภัยและเดินทางต่อไปยังภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกที่สาม ตอนนี้พวกเขากำลังมองดูพระราชวังอันโอ่อ่าอย่างใกล้ชิด ปี่หลิงหลงอดไม่ได้ที่จะพูดพร้อมกับถอนหายใจ “วังนี้ยิ่งใหญ่กว่าพระราชวังของเรามาก!”
ก่อนหน้านี้พวกเขาสามารถมองเห็นวังได้จากระยะไกลเท่านั้น เมื่อเข้าไปใกล้ ๆ พวกเขาจึงพบว่าตำหนักแต่ละหลังนั้นกว้างขวางอย่างไม่น่าเชื่อ น่าจะบรรจุคนได้เป็นหมื่นเป็นอย่างน้อย ระหว่างชั้นมีบันไดหินอ่อนสีขาว และผ่านบันไดกว่าร้อยขั้นขึ้นไปคือประตูพระราชวัง
“ดูพวกเจ้าสิ” หมี่ลี่พูด ริมฝีปากของนางประดับไปด้วยรอยยิ้ม การสรรเสริญย่อมเป็นที่ชื่นชอบของนาง นางก้าวยาว ๆ แล้วเดินขึ้นบันไดไป อย่างไรก็ตาม นางเริ่มมีอารมณ์หม่นหมองเล็กน้อย นานแค่ไหนแล้วที่นางก้าวเดินเช่นนี้เป็นครั้งสุดท้าย…?