เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 1275 หนังสือ
บทที่ 1275 หนังสือ
หมี่ลี่ตอบกลับว่า “ข้าบอกเจ้าแล้ว เพื่อประโยชน์ในการค้นหายาอายุวัฒนะแห่งความอมตะ อิ่งเจิ้งสามารถเสียสละอะไรก็ได้ แต่นั่นทำให้ลู่เซิงกลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะหลังจากค้นหามาหลายปีก็รู้แล้วว่ายาอายุวัฒนะแบบนั้นไม่มีอยู่จริง อย่างไรก็ตาม หากหาไม่พบย่อมจะถูกอิ่งเจิ้งลงโทษอย่างรุนแรง ดังนั้นลู่เซิงจึงแอบหนีไป อิ่งเจิ้งโกรธมากเมื่อรู้เรื่องนี้ เขาคิดว่าตัวเองปฏิบัติต่อลู่เซิงเป็นอย่างดี แต่ชายคนนั้นก็ยังทรยศ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงค้นหาและสืบสวนนักเล่นแร่แปรธาตุทุกคนเพื่อดูว่ามีใครบ้างที่ใกล้ชิดกับลู่เซิง นับได้รวมหลายร้อยคนและทั้งหมดถูกฝังทั้งเป็น”
ซูอันรู้สึกตกใจมาก “นั่นไม่ใช่ ‘การเผาหนังสือและฝังนักวิชาการขงจื๊อทั้งเป็น’[1] เหรอ?”
“นักวิชาการขงจื๊อ?” หมี่ลี่ขมวดคิ้ว “ความเชื่อของขงจื๊อยังไม่เติบโตเต็มที่ในตอนนั้น เกี่ยวอะไรด้วย?”
จู่ ๆ ซูอันก็ตระหนักว่าราชวงศ์ของรุ่นต่อ ๆ มามีแนวโน้มที่จะทำให้ ชื่อเสียงของจักรพรรดิองค์แรกเกินจริง
จู่ ๆ ก็มีเสียงพูดดังมาจากข้างหลังพวกเขา “ใครจะคิดว่าข้าจะยังได้พบกับจักรพรรดิอีกครั้งหลังจากผ่านไปหลายปี…”
ซูอันหันกลับมาและจ้องมองที่ภาพจิตรกรรมฝาผนัง เสียงมาจากทิศทางของมัน เส้นแสงปรากฏขึ้นเหนือรูปนักเล่นแร่แปรธาตุอย่างคลุมเครือ ราวกับว่าบุคคลกึ่งโปร่งใสกำลังจะออกมาจากภาพจิตรกรรมฝาผนัง
หมี่ลี่รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน “หืม? เจ้าก็สามารถอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ได้ด้วยเหรอ?”
หลังจากนั้นไม่นาน คนกึ่งโปร่งใสก็ออกมาจากกำแพง จากนั้นรูปของเขาในภาพวาดก็หายไป เขากล่าวว่า “นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของจิตวิญญาณของข้าที่ถูกผนึกไว้ที่นี่ ข้าเพิ่งตื่นขึ้นหลังจากสัมผัสได้ถึงการมาของบุคคลที่ถูกกำหนดไว้แล้วและจะจางหายไปในไม่ช้า สิ่งนี้จะถือว่ามีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?” ร่างนั้นเป็นธรรมชาติของลู่เซิง แต่น้ำเสียงของเขาค่อนข้างมืดมน
อย่างไรก็ตาม จู่ ๆ เขาก็มองไปที่หมี่ลี่ด้วยดวงตาที่ลุกเป็นไฟและถามว่า “จักรพรรดินี ทำไมท่านถึงยังมีชีวิตอยู่? เป็นไปได้ไหมที่จะมียาอายุวัฒนะแห่งความเป็นอมตะอยู่จริง ๆ?”
หมี่ลี่ตอบอย่างเฉยเมยว่า “โลกนี้มีสิ่งนั้นได้ยังไงกัน? เหตุผลที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ก็เนื่องมาจากเหตุบังเอิญต่าง ๆ เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะลอกเลียนแบบ” เห็นได้ชัดว่านางไม่ต้องการพูดถึงประสบการณ์ในอดีตโดยละเอียด
ลู่เซิงไม่เพียงไม่รู้สึกผิดหวังเมื่อได้ยินคำตอบของนาง เขากลับถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ไม่แปลกใจ ไม่แปลกใจ… ดูเหมือนว่าการวิเคราะห์ของข้าจะไม่ผิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
“เกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น? ทำไมเจ้าถึงซ่อนตัวเองในภาพจิตรกรรมฝาผนังแบบนี้” หมี่ลี่อดไม่ได้ที่จะถาม ด้วยสายตาที่เฉียบคม นางสามารถบอกได้ชัดเจนว่าเขาไม่ได้โกหก เขาอาจจะอยู่ได้อีกสักสองสามปีหากเขายังคงอยู่เฉย ๆ ในภาพวาดนั้น แต่ตัวเลือกนั้นหายไปทันทีที่เขาเลือกที่จะตื่นขึ้น
ลู่เซิงมองดูภาพวาด เขาถอนหายใจและพูดว่า “ทุกคนเชื่อว่าข้าหนีออกมาได้สำเร็จ และนั่นจบลงด้วยการทำลายชีวิตของนักเล่นแร่แปรธาตุหลายร้อยคน แต่พวกเขารู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่สามารถหลบหนีได้ แต่ถูกจับแทน”
“เจ้าถูกจับ? หมายถึงอะไร?” หมี่ลี่รู้สึกสับสน เพราะนั่นดูเหมือนจะไม่ตรงกับความทรงจำของนาง
ลู่เซิงส่ายศีรษะ “ตอนนี้ข้าเป็นเพียงเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณของข้า ความทรงจำมากมายได้สูญหายไป ข้าจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
หมี่ลี่และซูอันต่างก็พูดไม่ออก ผู้ชายคนนี้ท่าดีทีเหลว สุดท้ายก็ไม่มีอะไรจะพูดในส่วนที่สำคัญที่สุด
“ข้าไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าทำไม ด้วยการบ่มเพาะของข้าในตอนนั้น ข้าจึงจะจากโลกนี้ไปก่อนเวลาอันควร แต่คัมภีร์ไม่เคยผิดพลาด ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจแยกวิญญาณออกมาอีกส่วนเพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อนเผื่อมีอะไรเกิดขึ้น”
“แล้วเกิดอะไรขึ้น? อิ่งเจิ้งเป็นคนฆ่าเจ้าเหรอ?” หมี่ลี่ถาม ในความคิดของนาง นั่นเป็นไปได้มากที่สุด
ลู่เซิงส่ายหัว “แม้ว่าข้าจะรู้ความจริงในตอนนั้น แต่ข้าก็ลืมไปแล้ว”
ซูอันตกตะลึง หมี่ลี่หัวเราะอย่างเย็นชาและโต้กลับ “เจ้าหลอกข้าเหรอ?”
ลู่เซิงถอนหายใจ “แม้ว่าข้าไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงจำไม่ได้ แต่ข้าก็อนุมานได้ว่ามันต้องมีกลไกป้องกันอะไรสักอย่างแน่ ๆ ร่างกายของข้าเลือกที่จะลืมเรื่องเหล่านั้นอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นวิญญาณของข้าจะไม่สามารถอยู่รอดได้ แต่ข้ายังจำความรู้สึกตกใจและหวาดกลัวสุดขีดได้ บางสิ่งบางอย่างที่สามารถทำให้ตัวตนในอดีตของข้ารู้สึกถึงอารมณ์เช่นนั้นได้จะต้องเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน”
หมี่ลี่ขมวดคิ้ว “ในเมื่อเจ้าไม่กล้าแม้แต่จะจำมัน การดิ้นรนเพื่อให้เศษเสี้ยววิญญาณนี้มีชีวิตอยู่จะมีความหมายอะไรอีก?”
ลู่เซิงกล่าวว่า “จุดประสงค์ของเศษเสี้ยววิญญาณนี้คือรอให้ผู้ที่ถูกลิขิตไว้เปิดเผยความจริงทั้งหมดในอดีต และเพื่อแก้แค้นแทนร่างเดิมของข้าด้วย เมื่อครู่ข้าสัมผัสได้ถึงรัศมีแห่งโชคชะตา” เขามองตรงไปที่ซูอันหลังจากพูดจบ
ซูอันพูดด้วยความเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าข้าอายุสามขวบเหรอ? ข้าจะเป็น ‘ผู้ถูกลิขิต’ คนนั้นได้ยังไง?”
ลู่เซิงตอบว่า “เจ้าลืมหนังสือที่ข้าพูดถึงหรือเปล่า? ข้าสามารถมองการณ์ไกลได้อย่างจำกัด มันบอกข้าว่าเจ้าคือผู้ที่ถูกลิขิตไว้อย่างแน่นอน”
ซูอันส่ายศีรษะ “ทำไมข้าต้องช่วยเพียงเพราะเจ้าบอกว่าข้าเป็นผู้ที่ถูกลิขิตไว้? เห็นได้ชัดว่าเรื่องของเจ้าอันตราย แล้วทำไมข้าต้องเข้าไปยุ่งด้วย?”
ลู่เซิงเปิดเผยรอยยิ้มที่ลึกลับและแปลกประหลาด “นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องตัดสินใจ ตอนนี้เจ้าอยู่ในการทดสอบแล้ว”
ซูอันขมวดคิ้ว “เจ้าหมายถึงอะไร?”
ลู่เซิงส่ายศีรษะ “ความลับของสวรรค์จะต้องไม่ถูกเปิดเผย มีหลายสิ่งที่เจ้าจะเข้าใจเองเมื่อถึงเวลา”
“ข้าเกลียดคนแบบเจ้าที่ชอบกวนอารมณ์คนอื่น” ซูอันกำหมัด “ในเมื่อเจ้าสามารถทำนายอนาคตได้ เจ้าเดาได้ไหมว่าข้าจะทุบตีเจ้าหรือไม่?”
ใบหน้าของลู่เซิงแข็งค้าง เขาหัวเราะด้วยความเขินอายและพูดว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องโกรธ หากเจ้าช่วยข้าในเรื่องนี้ ข้าจะให้รางวัลแก่เจ้าเป็นหนังสือ”
สีหน้าของหมี่ลี่เริ่มจริงจังเมื่อนางได้ยินลู่เซิงพูดถึงหนังสือ เห็นได้ชัดว่านางรู้ถึงคุณค่าของมัน
ซูอันหัวเราะเยาะ “เจ้าไม่รู้หรือว่าเจ้าจะยิ่งดูน่าสงสัยมากขึ้นหากเจ้ายื่นข้อเสนอที่ดีในทันที?” นับตั้งแต่ที่ผู้เฒ่ามี่พยายามครอบครองร่างกายของเขา ซูอันก็ได้พัฒนาความรู้สึกระมัดระวังต่อเจตนาดีที่ไม่มีมูลเหตุ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าคนผู้นี้กำลังพยายามหลอกลวง
ลู่เซิงค่อนข้างตกใจที่ซูอันไม่สะทกสะท้าน “บางทีเจ้าอาจไม่รู้ถึงพลังของหนังสือ?”
“ทำไม? มันทำนายอนาคตได้หรือไง? ขนาดตัวเจ้าเองยังไม่สามารถเปลี่ยนชะตากรรมของตัวเองได้ ทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่ที่นี่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพร้อมกับเศษเสี้ยววิญญาณแบบนี้ ถ้าข้าเชื่อว่ามันเป็นของดี ข้าก็คงปัญญาอ่อนแล้ว!” ซูอันกล่าวอย่างใจเย็น “นอกจากนี้ ข้าไม่วางใจในความตั้งใจดีที่ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง”
*[1] เผาตำรา ฝังบัณฑิต กล่าวถึงเหตุการณ์เผาตำราที่คาดว่าเกิดขึ้นเมื่อปี 213 ก่อนคริสตกาล ที่ฝังนักคิดและปัญญาชนสำนักวิชาขงจื๊อทั้งเป็นจำนวน 460 คนเมื่อปี 210 ก่อนคริสตกาล โดยจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิพระองค์แรกแห่งราชวงศ์ฉินในยุคจีนโบราณ โดยมีมูลเหตุมาจากบันทึกเล่มหนึ่งที่แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อราชวงศ์ฉิน
………………..