เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 1302 พังทลาย
บทที่ 1302 พังทลาย
แม้ว่าจะไม่มีใครอยู่ แต่ปี่หลิงหลงยังคงลดเสียงโดยไม่รู้ตัวเพราะพวกเขากำลังพูดถึงบางสิ่งที่สำคัญมาก
เมื่อรู้สึกถึงลมหายใจของนางที่ข้างหู ซูอันก็รู้สึกสบายใจขึ้นเรื่อย ๆ หญิงสาวช่างอ่อนโยนและแสนดีจริง ๆ เขาหันกลับมาและสัมผัสริมฝีปากของนาง ปี่หลิงหลงกระโดดถอยหลังเหมือนกระต่ายที่ตกใจในขณะที่เอามือปิดปาก นางจ้องมองเขาด้วยสายตาคาดโทษ
ซูอันหัวเราะ “หลิงหลง เจ้าช่างเหลือเชื่อจริง ๆ! แผนของเจ้าดีจริง ๆ”
วิธีการของนางค่อนข้างจะเหมือนกับสิ่งที่เขาคิดไว้ แต่มีรายละเอียดมากกว่านั้น ประเด็นปลีกย่อยหลายประเด็นนั้นคิดออกมาดีกว่าแผนของเขาเสียอีก หากพวกเขาทำตามแผนของนางจริง ๆ ก็จะมีโอกาสสูงที่จะผ่านการทดสอบนี้ไปได้
ปี่หลิงหลงลืมเรื่องการหยอกล้อเมื่อครู่หลังจากได้ยินคำชมของซูอัน นางยิ้มกว้าง ท้ายที่สุดแล้วนางจะสามารถอยู่ในวังตะวันออกได้นานขนาดนี้ได้อย่างไรโดยไม่มีทักษะใด ๆ เลย?
“ยังมีปัญหาอื่นอีก” ซูอันหยุดชั่วขณะ มองใบหน้าที่มีเสน่ห์ของนางแล้วพูดว่า “เจ้าเสียพรหมจรรย์ไปแล้ว เจ้าจะไม่สามารถหนีความตายได้หาก จ้าวฮั่นรู้เข้า เขามักจะเห็นเจ้าเป็นภรรยาในอนาคตเสมอ”
โลกนี้ยังมีหลายวิธีในการทดสอบความบริสุทธิ์หากพวกเขาอยากรู้จริง ๆ
ปี่หลิงหลงหน้าแดง นางกัดริมฝีปากแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น ข้ามีวิธีปิดบัง”
ซูอันตกตะลึง เจ้าสามารถปิดบังอะไรแบบนี้ได้ด้วยเหรอ?
หลังจากปี่หลิงหลงอธิบายสถานการณ์แล้ว ซูอันก็ได้เรียนรู้ว่า จริง ๆ แล้วนางมีสมบัติวิเศษที่สามารถปลอมสถานะที่คล้ายกันได้ เหตุผลที่ไม่มีใครสังเกตว่านางยังคงบริสุทธิ์แม้ว่าจะผ่านไปนานก็ตาม เป็นเพราะสมบัติที่ว่านั้น นางสามารถใช้มันเพื่อให้ผลที่ตรงกันข้ามได้เช่นกัน
หลังจากนั้น ทั้งสองคนก็จัดการรายละเอียดบางอย่าง จากนั้นเตรียมปลุกจ้าวรุ่ยจื่อเพื่อ ‘เล่า’ ให้คนอ้วนฟังว่าเกิดอะไรขึ้น จ้าวรุ่ยจื่อจะต้องเป็นพยานหลังจากออกจากมิติลับ จะต้องมีคนถามเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อพวกเขากลับออกไปอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม จู่ ๆ ซูอันก็ก้าวถอยหลัง มองปี่หลิงหลงขึ้นและลง
“อะไร?” ปี่หลิงหลงรู้สึกอายเล็กน้อย นางไม่ชินกับการถูกมองแบบนี้
ซูอันเคลื่อนมือของเขาผ่านผมที่เรียบและเป็นมันของนางอย่างแผ่วเบา “ตอนนี้ผมของเจ้าสวยเกินไป จ้าวรุ่ยจื่อเห็นว่าผมของเจ้ากลายเป็นสีขาว แล้วเจ้าก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการใช้วิชาต้องห้ามนั้น จ้าวฮั่นอาจจะสงสัยได้”
“แต่มันดำไปแล้ว มันไม่ง่ายเลยที่จะเปลี่ยนกลับเป็นสีขาว เรามีสีย้อมไหม?” ปี่หลิงหลงกังวลใจ นอกจากนี้ แม้ว่าจะมีสีย้อมให้ใช้ มันก็ยังคงไม่รอดพ้นสายตาของจ้าวฮั่น
ซูอันมองนางและถามว่า “เจ้าเชื่อข้าไหม?”
ปี่หลิงหลงพูดอย่างหมดความอดทน “เจ้าไม่รู้หรือว่าข้า… ข้าให้เจ้าทุกอย่างแล้ว! ทำไมเจ้ายังถามข้าแบบนี้อีก?”
“งั้นเจ้าต้องผ่อนคลายและไม่ประหม่า เชื่อข้า” ซูอันพูดในขณะที่จับมือนาง
ใบหน้าของปี่หลิงหลงเปลี่ยนเป็นสีแดง แม้ว่าทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ทางกายที่ใกล้ชิดที่สุดแล้ว แต่ทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วเกินไป นางยังคงไม่ชินกับมัน
นางกำลังจะชักมือกลับ ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงคลื่นแรงดูดจากมือของซูอัน นางอ่อนแออย่างไม่น่าเชื่อในทันที สามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงการบ่มเพาะและแก่นแท้ของชีวิตที่หายไปอย่างรวดเร็ว
นางจ้องมองซูอันด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ในช่วงเวลานั้น ความเป็นไปได้นับไม่ถ้วนแวบเข้ามาในความคิดของนาง แต่สุดท้าย สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่คือ ‘เชื่อข้า’
ครู่ต่อมา ซูอันก็ปล่อยมือและถามว่า “เจ้ารู้สึกยังไงบ้าง?”
“ไม่ค่อยดี” เสียงของปี่หลิงหลงค่อนข้างแหบแห้ง นางรู้สึกอ่อนแออย่างไม่น่าเชื่อราวกับว่าจะล้มลงในทันที
ซูอันกล่าวว่า “ข้าได้ซึมซับแก่นแท้ชีวิตบางส่วนของเจ้า เป็นเรื่องปกติที่เจ้าจะรู้สึกอ่อนแอ”
ปี่หลิงหลงตกตะลึง ทันใดนั้นก็นึกถึงบางสิ่งและสัมผัสผมของตัวเอง แน่นอนว่าผมสีดำสลวยของนางในเมื่อครู่ ตอนนี้กลายเป็นสีเทาเล็กน้อยแล้ว นางกัดริมฝีปาก น้ำตาไหลออกมาจากสองตา ผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่อยากสวย? นอกจากนี้ การสูญเสียสิ่งที่เพิ่งได้กลับคืนมานั้นเจ็บปวดเกินไป
ซูอันรีบปลอบใจนาง “หลิงหลง ไม่ต้องกังวลไป นี่เป็นเพียงชั่วคราว เราต้องโน้มน้าวจักรพรรดิ ข้าจะค่อย ๆ คืนแก่นแท้ชีวิตนี้กลับไปให้เจ้า เมื่อเจ้ากลับไปที่วังตะวันออก ได้รับยาและการรักษาทุกชนิดแล้ว จ้าวฮั่นก็จะไม่สงสัยแม้ว่าเจ้าจะฟื้นสู่สภาพปกติในภายหลังก็ตาม”
ปี่หลิงหลงกะพริบตา ยังคงมีหยดน้ำรอบขนตาขณะที่นางถามว่า “เจ้าจะคืนมันยังไง?”
ซูอันตอบด้วยรอยยิ้ม “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าผมสีขาวของเจ้ากลับมาดำอีกครั้งได้ยังไง?”
ปี่หลิงหลงตกตะลึง จากนั้นนางก็เขินอายอย่างไม่น่าเชื่อ “นี่เจ้าจงใจทำอย่างนั้นเหรอ!”
ปี่หลิงหลงกัดฟัน ความมีเหตุผลบอกนางว่าต้องทำแบบนี้เท่านั้นถึงจะหลอกลวงจักรพรรดิได้ แต่เมื่อจำวิธีที่เขาใช้รักษาได้ ความเป็นกุลสตรีในห้องหอของนางก็รับไม่ได้
“ลืมไปเลย ไม่ต้องคืนก็ได้ ข้าจะพักผ่อนและค่อย ๆ ฟื้นฟูสภาพร่างกายด้วยตัวเอง” ปี่หลิงหลงยังคงอายเกินกว่าจะยอมรับได้
ซูอันหัวเราะเบา ๆ เขาไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องโต้เถียงเรื่องนี้อีก “งั้นข้าจะไปปลุกจ้าวรุ่ยจื่อเดี๋ยวนี้ ตกลงไหม?”
“ตกลง…” ปี่หลิงหลงเห็นซูอันเริ่มทำเสื้อผ้าให้เลอะเทอะไปด้วยรอยเลือดเป็นปื้น ๆ และโคลนสกปรก มันดูน่าสมเพชยิ่งขึ้น
ร่างกายของซูอันนั้นเต็มไปด้วยบาดแผลมาก่อน แต่เขาหายจากอาการบาดเจ็บเหล่านั้นแล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่เขาต้องใช้การปลอมตัวเช่นนี้
ปี่หลิงหลงรู้โดยธรรมชาติว่าทำไมเขาถึงทำสิ่งเหล่านี้ นางถอนหายใจด้วยความชื่นชม ผู้ชายคนนี้มักจะดูเหมือนเหลาะแหละเป็นปกติ แต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนพิถีพิถันมาก
ซูอันพาจ้าวรุ่ยจื่อที่รู้สึกตัวแล้วเข้ามา ปี่หลิงหลงอดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อยเมื่อเห็นเขาอีกครั้ง ดังนั้นนางจึงปล่อยให้ซูอัน ‘เล่า’ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้และคอยเพิ่มเติมรายละเอียดในบางจุดเท่านั้น
ทั้งสองตัดสินใจที่จะหาทางออกหลังจากเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้จ้าวรุ่ยจื่อฟัง ซูอันต้องการค้นหาสมบัติในสถานที่แห่งนี้อีกครั้งจริง ๆ เนื่องจากเป็นสุสานบรรพบุรุษของราชวงศ์ฉิน มันต้องมีสมบัติวิเศษมากมายอย่างแน่นอน
แต่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าโลกจะเริ่มสั่นไหวตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเริ่มด้วยซ้ำ ทุกอย่างเริ่มแตกสลาย หลังจากที่ทั้งซูฟูและอิ่งเจิ้งสูญสลาย แก่นสารสำคัญบางอย่างก็หายไปจากมิติลับ ไม่สามารถคงสภาพได้อีกต่อไปและเริ่มแตกสลาย ความจริงที่ว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นในขณะที่ทั้งสองจากไปเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการก่อสร้างที่ยอดเยี่ยมของสถานที่แห่งนี้แล้ว
ซูอันทำอะไรไม่ถูก ทำได้เพียงแบกปี่หลิงหลงไว้ในมือข้างหนึ่งและจ้าวรุ่ยจื่อในอีกมือหนึ่ง เขากระโดดจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง ข้ามผืนดินที่ลอยอยู่เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดโศกนาฏกรรมของโลกที่ผกผันซ้ำอีก
โชคดีที่เขามีประสบการณ์มาก่อนตอนที่มาครั้งแรก ดังนั้นคราวนี้จึงไม่ยากเกินไปนัก นอกจากนี้โลกไม่ได้กลับด้านเป็นเวลานานเกินไป หลังจากผ่านไปครึ่งวัน สุสานหลวงตะวันตกก็หายไปอย่างสมบูรณ์และถูกแทนที่ด้วยมิติลับเดิมที่คุ้นเคยอีกครั้ง
………………..