เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 161 ไม่ถูกสักข้อ
บทที่ 161 ไม่ถูกสักข้อ
ในระหว่างที่ หยางเว่ย กำลังง่วนอยู่กับการหาคำตอบของคำถามทั้งหลาย ในขณะเดียวกัน ซูอัน ก็นั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้อย่างสบายใจพร้อมกับจิบชาที่ เว่ยสั่ว เอามาให้ไปเรื่อย ๆ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ซางหลิวอวี้ พร้อมกับเอ่ยชื่นชมรูปร่างอันน่าอัศจรรย์ของนางในใจ แม้ว่าเขาจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับผู้หญิงสวย ๆ มาแล้วหลายคนของโลกนี้ แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าเสน่ห์ของนางเป็น ของจริง
ในทางกลับกันซางหลิวอวี้ ในตอนนี้เพ่งกับคำถามที่อยู่บนกระดานอย่างตั้งใจ แม้ว่านางจะเป็นอาจารย์สอนภาษาแต่นางก็ยังพอรู้เรื่องคณิตศาสตร์อยู่บ้าง นางสามารถแก้ปัญหาส่วนใหญ่ ที่หยางเว่ย คิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้ แต่คำถามที่ ซูอัน คิดค้นขึ้นนั้นแปลกประหลาดเกินไป ไม่ว่านางจะคิดอย่างไร ก็จนปัญญาที่จะแก้ปัญหาพวกนี้
เมื่อคิดไม่ออกสักทีนางจึงเหลือบมองไปที่ ซูอัน ซึ่งมันก็ทำให้นางรู้ตัวว่า ซูอัน นั้นก็กำลัง จ้องมองนางอยู่เช่นกัน รู้สึกขบขันที่ความสนใจของเขากลับมาตกอยู่ที่นางแทนที่จะไปใส่ใจกับการเดิมพันมากกว่า นางคิดว่า ‘เด็กคนนี้มั่นใจในตัวเองดีจริง ๆ เขาช่างเป็นคนที่ไม่เหมือนใครเลย’
ตรงกันข้ามกับท่าทางที่ผ่อนคลายของ ซูอัน ตอนนี้เสื้อผ้าของ หยางเว่ย เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ในตอนแรกเขายังคงคืบหน้ากับวิธีคำนวณตัวเลขไปทีละตัวอยู่บ้าง แต่ต่อมาเขาก็เริ่มสับสนมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะพอยิ่งคำนวณไป มันกลายเป็นว่าทุกตัวเลขมันกลับดูเหมือนจะไม่ถูกต้องสำหรับเขา
อาจารย์วัยกลางคนกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่พร้อมกับเหลือบมองไปที่ ซูอัน ซึ่งเขาก็ได้เห็นว่าฝั่งตรงข้ามก็เหลือบมามองเขาอยู่เหมือนกันด้วยรอยยิ้มลึกลับ
รอยยิ้มของ ซูอัน มันทำให้ หยางเว่ย สาปแช่งอยู่ในใจ ไอ้เด็กนี่มันคงจงใจเอาคำถามที่ยากที่สุดมาเป็นข้อแรกเพื่อหลอกให้ข้าเสียเวลาและพลังงานไปเปล่า ๆ แน่ ๆ ! ข้าเกือบจะตกหลุมพรางของมันแล้วไงล่ะบ้าเอ๊ย!
หยางเว่ย ตัดสินใจข้ามคำถามข้อแรกทันทีและหันไปอ่านคำถามที่สองแทน เขาคิดในใจว่าเมื่อทำเสร็จทั้งหมดแล้วเขาจะวนกลับมาทำข้อที่ 1 ใหม่ในตอนท้าย
แต่แล้วเมื่อเขาเบนสายตาไปอ่านคำถามที่สอง นี่คือสิ่งที่เขาเห็น
‘มีประตูสามบานอยู่ข้างหน้าเจ้า แต่มีประตูเดียวเท่านั้นที่ด้านในมีสมบัติ อีกสองบาน ว่างเปล่า หลังจากที่เจ้าเลือกประตูแล้ว มีคนช่วยเจ้าเปิดประตูบานหนึ่งจากสองบานที่เหลือซึ่งประตูที่ถูกเปิดขึ้นก่อนนั้นด้านในมีแต่ความว่างเปล่า จากนั้นบุคคลนั้นเสนอโอกาสให้เจ้าสามารถเลือกเปลี่ยนประตูที่เลือกไปก่อนหน้านี้อีกรอบได้ ด้วยเป้าหมายเพื่อเพิ่มความน่าจะเป็นในการเลือกประตูที่มีสมบัติให้มากที่สุด เจ้าจะเปลี่ยนเป็นอีกประตูหรือไม่? โปรดระบุเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของเจ้า
หยางเว่ย รู้สึกยินดีมากเมื่อเห็นคำถามนี้
ไอ้เด็กนี่มันจงใจเอาคำถามที่ยากที่สุดมาไว้ข้อแรกจริง ๆ ด้วย คำถามข้อนี้มันง่ายกว่ามาก! ฮึ่ม! ความน่าจะเป็นมันก็เท่าเดิมไม่ใช่รึไงต่อให้ข้าจะเปลี่ยนประตูก็ตาม? ไอ้เด็กนี่พยายามหลอกข้าด้วยการใช้ถ้อยคำพลิกแพลงงั้นเหรอ? เจ้าเห็นว่าข้าโง่นักเหรอไง?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หยางเว่ย รีบเขียนลงไปทันทีว่า ‘ข้าจะไม่เปลี่ยนไปใช้ประตูอื่น’ อย่างไรก็ตาม เขายังคงกังวลว่าคำตอบของเขาอาจจะคลุมเครือเกินไป เขาจึงเขียนเพิ่มไปอีกว่า ‘ไม่ว่าข้าจะเปลี่ยนประตูหรือไม่ก็ตาม ความน่าจะเป็นในการได้รับสมบัติก็ยังคงเท่าเดิม’
เมื่อพอใจกับคำตอบข้อนี้ของตัวเองแล้ว เขาจึงย้ายไปที่คำถามที่สาม
‘โจรสลัด5คนได้รับหินพลังชี่ 100 ก้อนในการปล้นครั้งล่าสุด หลังจากปล้นเสร็จ โจรสลัด คนที่ 1 ได้รับสิทธิ์ในการตัดสินใจแบ่งพลังหินพลังชี่ที่ได้รับมาให้กับโจรสลัดคนอื่น ๆ แต่การตัดสินใจที่เขาคิดขึ้นต้องได้รับการยินยอมจากโจรสลัดมากกว่าครึ่งไม่เช่นนั้นการตัดสินใจของเขาจะไร้ผลแถมเขายังต้องถูกโยนลงทะเลและโจรสลัดคนที่ 2 จะได้รับสิทธิ์ให้ขึ้นมาตัดสินใจแทนอีกรอบ ซึ่งก็จะใช้กฎเดิม สมมุติว่าเจ้าเป็นโจรสลัดคนที่ 1 เจ้าควรแจกจ่ายหินพลังชี่อย่างไรเพื่อทำให้เจ้าได้รับผลประโยชน์มากที่สุด?
‘โปรดสันนิษฐานว่าโจรสลัดเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์ที่มีเหตุผล และพวกเขาสามารถคำนวณกำไรและขาดทุนได้อย่างแม่นยำเพื่อตัดสินใจเลือกแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดที่จะเพิ่มผลประโยชน์ให้กับตัวเองอย่างสูงสุด’
หยางเว่ย ตกตะลึงเมื่อเจอคำถามนี้ ไอ้เด็กบ้านั่นมันคิดคำถามแปลก ๆ แบบนี้ได้ยังไงกัน?
คำตอบแรกในใจของเขาก็คือแจกจ่ายหินพลังชี่ให้กับทุกคนเท่า ๆ กันคนละ 20 ก้อน แต่ในไม่ช้าเขาก็ทิ้งคำตอบนี้ไปและพยายามคำนวณความเป็นไปได้อื่น ๆ
ทางด้านของนักศึกษาก็เริ่มพูดคุยกันอย่างจริงจังเช่นกันว่าคำตอบควรเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าการแบ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับ โจรสลัดคนที่ 1 คืออะไร
ในขณะเดียวกัน ซางหลิวอวี้ พบว่าการใช้คำว่า ‘โจรสลัด’ ในคำถามนี้ค่อนข้างน่าสนใจ เด็กคนนี้ช่างเป็นคนที่พิเศษไม่เหมือนใครจริง ๆ
ไม่นานต่อมา หยางเว่ย ก็หยิบผ้าเช็ดหน้าที่เปียกชุ่มออกมาอีกครั้งเพื่อเช็ดเหงื่อ ตอนนี้เขาอยู่ในอารมณ์ตื่นตระหนกเต็มที่แล้ว เขาตระหนักว่าเขาไม่สามารถยืนยันได้ว่าคำตอบของเขาถูกหรือไม่
ข้าควรข้ามไปที่คำถามถัดไปดีหรือไม่
หยางเว่ย จำได้ว่า ซูอัน เลือกที่จะเอาคำถามที่ยากที่สุดไว้ข้อแรกและเขาคิดว่าคำถาม ข้อหลัง ๆ มันน่าจะง่ายกว่า ดังนั้นเขาจึงสูดหายใจเข้าลึก แล้วดูคำถามอื่น ๆ ต่อไป
…
…
…
จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ หยางเว่ย ที่ค่อย ๆ ตอบคำถามไปทีละข้ออย่างยากลำบากจนในที่สุด เขาก็ตระหนักว่าเขาสามารถแก้ปัญหาพวกนี้ได้เพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น
ในเวลาเดียวกันนี้ ฝูงชนจำนวนมากได้ก่อตัวขึ้นนอกห้องเรียนแล้วเพราะตอนนี้มันสิ้นสุดคาบเรียนและเข้าสู่ช่วงเวลาพักกลางวันเรียบร้อยซึ่งนักศึกษาของชั้นเรียนอื่นก็ถูกปล่อยตัวให้ออกมากินข้าว แต่ด้วยความประหลาดใจของนักศึกษาชั้นเรียนอื่นที่เห็นว่านักศึกษาจากชั้นเรียนสีเหลือง ยังไม่เห็นโผล่ออกมาจากห้องเรียนเลยสักคน ด้วยความอยากรู้ เหล่านักศึกษาจากชั้นเรียนอื่นจึงตัดสินใจเดินมาดู และพวกเขาก็ใช้เวลาไม่นานในการได้ล่วงรู้การเดิมพันระหว่าง ซูอัน และ หยางเว่ย ด้วยเหตุนี้ข่าวก็กระจายไปทั่วทั้งสถาบันซึ่งมันก็ดึงดูดฝูงชนจำนวนมากให้เข้ามามุงดู
ถ้ามันเป็นเพียงการเดิมพันระหว่าง ซูอัน และ หยางเว่ย เฉย ๆ อัจฉริยะของชั้นเรียนนภา คงจะไม่สนใจมาดูเหตุการณ์สักเท่าไหร่แน่นอน แต่บังเอิญว่าซางหลิวอวี้ กลับอยู่ที่นี่ด้วยซึ่งมันดึงดูดใจพวกเขาเป็นอย่างมากโดยเฉพาะนักศึกษาผู้ชายทั้งหลาย
อย่างไรก็ตาม ใช้เวลาไม่นานคำถามของ ซูอัน ก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เพิ่งมาถึงใหม่
สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับคำถามของ ซูอัน คือพวกเขาอ่านแล้วเข้าใจได้ง่ายมาก คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าพวกเขาทำได้ โดยที่พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มพูดคุยถึงวิธีแก้ปัญหาและคำตอบระหว่างกัน แม้แต่อัจฉริยะของชั้นเรียนนภา ซึ่งมักจะสนใจแต่การบ่มเพาะเท่านั้น ก็เริ่มคำนวณเช่นกัน
“พี่เขย ช่างยอดเยี่ยมที่สุด!”
แน่นอนว่า ฉู่ฮวนเจา ไม่ใช่คนที่จะพลาดเรื่องราวโกลาหลแบบนี้ โดยเฉพาะเรื่องนี้มันเกี่ยวกับพี่เขยของนาง
จี้เสี่ยวซีที่น่ารักก็ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนเช่นกันและพยายามอ่านคำถามที่อยู่บนกระดานด้วยความสนใจ “คำถามเหล่านี้ควรแก้ไขอย่างไร? ข้าควรจดพวกมันกลับไปที่บ้านเพื่อให้ท่านพ่อช่วยแก้พวกมันดูดีไหม? อา อย่าดีกว่า ท่านพ่อคงไม่สนใจเรื่องแบบนี้แน่ ๆ เขาชอบแค่ไอ้พวกหนังสือบ้า ๆ นั่นที่เขาเก็บไว้ในห้องเท่านั้น แถมดูเหมือนว่าท่านพ่อจะได้หนังสือเล่มใหม่มาเมื่อเร็ว ๆ นี้ แถมไอหนังสือเล่มใหม่นั่นก็ทำให้เขาหมกมุ่นเป็นอย่างมากจนถึงขนาดไม่อนุญาตให้ข้าเข้าใกล้มันด้วยซ้ำ!”
เพ่ยเหมียนหมาน ในชุดคลุมสีดำที่ปกปิดความหยิ่งทะนงของนาง กำลังเฝ้าดูเหตุการณ์นี้เช่นกัน ริมฝีปากของนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มขบขันขณะที่นางกล่าวว่า “ไอ้ผู้ชายคนนี้นี่มันน่าสนใจ จริง ๆ มิน่าล่ะ ฉู่ชูเหยียน ถึงได้เลือกเขา นางช่างมีสายตาที่เฉียบคมเกินกว่าใครจริง ๆ ว่าแต่ ข้าควรหาโอกาสที่จะหลอกล่อคนผู้นี้มาอยู่เคียงข้างข้าดีไหม? อืม…มันน่าสนใจเหมือนกันกับการที่จะแย่งคนผู้นี้ไปจาก ฉู่ชูเหยียน…”
ในทางกลับกัน เจิ้งตาน ซึ่งอยู่ในฝูงชนกลับกำลังตื่นตระหนก รายงานที่นางได้รับมาก่อนหน้านี้มันชี้ชัดว่า ซูอัน เป็นแค่คนไร้ค่าแท้ ๆ แต่แล้วทำไมไอ้คนผู้นี้มันกลับกลายเป็นผู้ที่มีทักษะด้านคณิตศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมไปได้?
ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ที่บ่อนโกยเงินจะไม่ใช่เรื่องของโชคแค่เพียงอย่างเดียวซะแล้วและ หยางเว่ย ผู้นี้ก็น่าจะถูกส่งมาให้เล่นงานซูอัน ว่าแต่ใครเป็นคนชักใยหยางเว่ยอยู่กันล่ะ?
หลังจากนั้นไม่นานซางหลิวอวี้ ก็เอ่ยขึ้นเตือนเบา ๆ ว่า “อาจารย์หยาง ตอนนี้มันถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว…”
หยางเว่ยปาดเหงื่อบนใบหน้าของเขาก่อนจะพูดว่า “ขอเวลาอีกหน่อย ข้าใกล้จะเสร็จแล้ว”
ที่ผ่านมา เขาเป็นคนเดียวที่เห็นนักศึกษาพยายามแก้โจทย์แสนหินของเขาภายใต้เวลาจำกัด ใครจะคิดว่าวันหนึ่งเขากลับต้องมาอยู่ในสถานการณ์เดียวกับนักศึกษาพวกนั้น?
แต่ด้วยผู้คนจำนวนมากที่ดูการเดิมพัน เขาไม่สามารถทำให้ตัวเองเสียหน้าได้โดยการลากเวลาให้นานออกไปจนเกินไป หลังจากเขียนไปได้สักพัก เขาก็วางพู่กันลงและพูดว่า “เสร็จแล้ว!”
พูดตามตรง นอกเหนือจากคำถามข้อ 2 เขาไม่มั่นใจในคำตอบข้ออื่น ๆ ที่เขาเขียนลงไปเลย อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ อย่างน้อยที่สุด เขาก็น่าจะตอบคำถามได้ถูกอย่างน้อยสิบข้อ
หยางเว่ยโล่งใจที่เขาไม่ได้หลุดปากพูดออกไปในตอนแรกว่าเขาจะทำให้ถูกได้ทั้งหมดครบทั้ง 20 ข้อ ไม่เช่นนั้นเขาคงจะเสียหน้าจนต้องอายแทบแทรกแผ่นดินหนีเป็นแน่ ตราบใดที่เขาสามารถตอบคำถามสิบข้อได้ถูกต้อง มันก็ไม่ได้ดูแย่สำหรับเขามากนัก ท้ายที่สุด ทุกคนที่นี่ต่างก็รู้ว่าคำถามพวกนี้มันยากเพียงใด
“เป็นยังไงบ้าง? อย่างน้อย ๆ ข้าก็ตอบถูกไม่ต่ำกว่า 10 ข้ออยู่แล้วใช่ไหม?” หยางเว่ย เอ่ยถามขึ้นในขณะที่ ซูอัน กำลังตรวจสอบคำตอบของเขา
“ตามที่คาดไว้ของอาจารย์หยาง เขาสามารถตอบคำถามทุกข้อได้!”
“ว้าว มันน่าประทับใจจริง ๆ ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะหาคำตอบจากคำถามพวกนี้ด้วย วิธีการไหน!”
“อาจารย์หยางเป็นอาจารย์สอนคณิตศาสตร์ของเรามานานแล้ว เขาจะแก้โจทย์ยาก ๆ พวกนี้ไม่ได้ ได้ยังไง?”
“แต่ว่า ข้าคงต้องพูดว่าคำถามที่ ซูอัน คิดขึ้นนั้นยากจริง ๆ ความสามารถทางคณิตศาสตร์ของเขาอย่างน้อยก็เทียบได้กับอาจารย์หยางอย่างแน่นอน”
“ข้าคิดว่ามันเป็นแค่อาจารย์หยางที่ออมมือให้กับเขา มันไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่อาจารย์อย่างเขาจะเอาจริงเอาจังกับนักศึกษาคนหนึ่ง”
…
หยางเว่ย ยืดอกขึ้นมาอย่างภูมิใจทันทีเมื่อได้ยินนักศึกษาบางคนพูดสนับสนุนเขาอยู่ ดูเหมือนว่าที่ผ่านมาเขาเองก็มีชื่อเสียงในหมู่นักศึกษาค่อนข้างมากอยู่เหมือนกัน จากนั้นเขาหันไปมองซางหลิวอวี้ พร้อมกับลอบถอนหายใจ เขาโล่งใจที่อย่างน้อยเขาก็สามารถกอบกู้ชื่อเสียงของเขาต่อหน้านางได้
หากแต่ซางหลิวอวี้ ไม่ได้เหลือบมองเขาเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของนางเอาแต่จ้องมองไปที่ ซูอัน อย่างตั้งใจ อยากรู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
ไม่นานนัก ซูอัน ก็เอ่ยถามขึ้นเสียงดังชัดเจน “นี่คือความสามารถทั้งหมดที่เจ้ามีแล้วใช่ไหม? ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินเจ้าสูงเกินไป เจ้าตอบคำถามไม่ถูกเลยสักข้อเดียว!”
เมื่อได้ยินคำนี้ผู้คนที่ดูเหตุการณ์อยู่ต่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
“อะไรนะ!?” หยางเว่ย คิดว่าเขาหูแว่วไปเอง มันไม่มีทางที่ข้าจะตอบผิดหมดทุกข้อแน่นอน! เขาจ้องไปที่ ซูอัน ด้วยสีหน้าเดือดดาลสุดขีดพร้อมกับตะโกนอย่างโกรธจัด “โกหก! แกกล้าดียังไงมาพูดให้ข้าเสื่อมเสียชื่อเสียง!”
ท่านยั่วยุ หยางเว่ย สำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น +1024!
เมื่อครู่เขายังรู้สึกดีกับตัวเองอยู่เลย แต่ในวินาทีต่อมา มันเหมือนกับฟ้าถล่มใส่หัวของเขาเมื่อได้ยินซูอันประกาศว่าเขาตอบไม่ถูกสักข้อ แถมคำพูดนี้ทุกคนในสถาบันก็ได้ยินมันทั้งหมด อีกต่างหาก! นี่มันเป็นความรู้สึกดำดิ่งที่เขาเกินจะรับไหว!