เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 202 สื่อสารโดยใช้นิ้วเขียนหลัง!
ขบวนทหารจำนวนมากค่อย ๆ สาวเท้าเดินเข้ามาที่ลานกว้างอย่างเป็นระเบียบภายใต้การนำของชายวัยกลางคนที่แต่งตัวไม่เหมือนใคร แม้ว่าเขาจะมีหน้าท้องยื่นออกมาเล็กน้อย แต่หน้าตาของเขายังคงดูหล่อเหลา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในตอนที่ชายวัยกลางคนผู้นี้เป็นวัยรุ่นเขาจะต้องโด่งดังในหมู่สาว ๆ อย่างแน่นอน คนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นเขาคือเจ้าเมืองแห่งเมืองจันทร์กระจ่าง เซี่ยอี้
เซี่ยซิว เดินตามหลังเขามาด้วยรอยยิ้มที่หวานหยดย้อยตามแบบฉบับของเขาเอง รูปลักษณ์และผิวพรรณที่ดูเรียบเนียนขาวผ่องและใบหน้าที่งดงามราวกับหญิงสาวทำให้เขาได้รับเสียงโห่ร้องอย่างบ้าคลั่งจากเหล่าหญิงสาวที่อยู่โดยรอบ
ความเหลื่อมล้ำนี้ทำให้ ซูอัน รู้สึกอิจฉาอย่างสุดซึ้ง
ในแง่ของรูปลักษณ์และหน้าตาข้าไม่ได้ด้อยไปกว่า เซี่ยซิว สักหน่อย แต่แล้วทำไมถึงไม่มีใครกรี๊ดให้ข้าแบบนั้นบ้าง! หรือว่ามันเป็นเพราะท่าทางที่ไม่กระตือรือร้นแบบฉบับของข้ามันปกปิดเสน่ห์ที่แท้จริงของข้าไปจนหมดงั้นเหรอ?
ฮึ่ม! ผู้หญิงพวกนี้มีตาหามีแววไม่จริง ๆ ไม่รู้ซะแล้วว่าลึก ๆ ข้านั้นยอดเยี่ยมกว่าไอ้เจ้าหนุ่มอ้อนแอ้นนั่นตั้งหลายเท่า!
เอ๊ะ เดี๋ยวนะ?! ผู้หญิงสวย ๆ คนนั้นที่ยืนอยู่ข้างเซี่ยซิวคือใคร? ผู้หญิงใหม่ของเขางั้นเหรอ? ทำไมไอ้ผู้ชายคนนี้มันถึงมีโชคด้านผู้หญิงได้ขนาดนี้กัน? ทุกครั้งที่ปรากฏกายเขามักจะมีผู้หญิงคนใหม่อยู่เคียงข้างเสมอ และผู้หญิงทุกคนก็มีเสน่ห์อย่างไม่น่าเชื่อ แถมวันนี้ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างเขานั้นงดงามยิ่งกว่าที่ผ่าน ๆ มาอีกต่างหาก!
หญิงสาวที่ยืนข้าง เซี่ยซิว นั้นมีใบหน้ารูปไข่ เสริมด้วยคิ้วที่แหลมและผิวขาวผ่องเหมือนหิมะ ชุดสีเขียวอ่อนของนางเผยให้เห็นเอวเล็กของนางที่สามารถโอบได้ครบรอบด้วยแขนเดียว
ในเรื่องของรูปลักษณ์และท่าทางการแสดงออก นางไม่แพ้เจิ้งตานหรืออู๋ฉิงอย่างแน่นอน แต่ต่างจากเจิ้งตานที่มีเสน่ห์แบบหญิงสาวในตระกูลชั้นสูงที่ผ่านการสั่งสอนมาเป็นอย่างดี หรือ อู๋ฉิง ที่เป็นคนเย่อหยิ่งร้อนแรง นางกลับดูเหมือนได้รับพรจากเทพสวรรค์ให้เป็นดั่งเทพธิดาแห่งความสงบเงียบ นางสามารถทำให้ผู้คนที่อยู่ใกล้นางรู้สึกสงบได้อย่างน่าประหลาด
ซูอัน เพ่งมองมากกว่าเดิมและด้วยเหตุผลบางอย่าง เขารู้สึกได้ว่าผู้หญิงคนนี้มีความคล้ายคลึงกับ เซี่ยซิว เล็กน้อย ทันใดนั้น คำพูดที่เฉียบแหลมและจิกกัดก็ดังขึ้นข้าง ๆ เขา “โรคจิต! นี่ท่านมองผู้หญิงอีกแล้วงั้นเหรอ!?”
ซูอัน หันกลับมาและเห็น ฉู่ฮวนเจา กำลังจ้องมองมาที่เขาอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาหัวเราะออกมาและตอบว่า “ถ้าข้าเป็นคนโรคจิต เจ้าเองก็เป็นเหมือนกันไม่ใช่เหรอไง?”
“ข้าจะเป็นคนโรคจิตได้ยังไง?” ฉู่ฮวนเจา ถามกลับด้วยสีหน้างุนงง…
“ก็เจ้าเอาแต่จ้องมองใบหน้าที่หล่อเหลาของข้าอย่างไม่วางตาเลยตั้งแต่มาถึงที่นี่ การกระทำของเจ้าแตกต่างจากข้าที่จ้องมองผู้หญิงคนอื่นตรงไหนจริงไหม?” ซูอันยังคงหัวเราะ
เมื่อครู่ ฉู่ชูเหยียน เพิ่งลุกขึ้นไปหาพ่อแม่ของนางเพื่อทักทายบุคคลสำคัญต่าง ๆ ที่เพิ่งจะเดินทางมาถึง นางคือคนที่มีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นผู้นำในอนาคตของตระกูลฉู่ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมสำหรับนางที่จะต้องคุ้นเคยกับคนเหล่านี้…
ด้วยเหตุนี้เมื่อฉู่ชูเหยียนไม่อยู่ใกล้ ๆ ซูอันจึงสามารถพูดจาหยอกล้อแบบนี้กับฉู่ฮวนเจาได้
“ใครมองท่าน!” ใบหน้าของฉู่ฮวนเจาแดงขึ้น
“ถ้าเจ้าไม่จ้องข้า ถ้างั้นเจ้ารู้ได้ไงว่าข้ากำลังจ้องผู้หญิงคนอื่นอยู่?” ซูอัน เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหยอกล้อ
“ก็ข้า…” ฉู่ฮวนเจาไม่รู้จะตอบอะไรกลับไปอยู่ครู่หนึ่ง แต่นางใช้เวลาไม่นานในการหาคำพูดบ่ายเบี่ยง “ข้าแค่จะเตือนท่านว่าอีกไม่นานการประลองจะเริ่มขึ้น ท่านต้องสงบสติอารมณ์และหยุดมองไปรอบ ๆ”
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของฉู่ฮวนเจาเปลี่ยนเป็นสีแดงสดแล้ว ซูอันก็เลิกหยอกล้อนาง “ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว จริงสิ เจ้ารู้รึเปล่าว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้าง เซี่ยซิวคือใคร?
“อ้อ…นางเป็นพี่สาวของเซี่ยซิว…นามว่า เซี่ยเต๋าอวิ๋น นางเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในอัจฉริยะของเมืองจันทร์กระจ่าง แต่แทนที่นางจะตั้งใจบ่มเพาะ นางกลับเลือกที่จะใช้เวลาศึกษาการเล่นพิณและหมากรุกแทน ฮึ่ม! มีพรสวรรค์อยู่กับตัวแท้ ๆ โง่ชะมัดเลย!” ฉู่ฮวนเจาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหงุดหงิด
ซูอันรู้สึกขบขันที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น “เจ้าแน่ใจเหรอว่าเจ้าอยู่ในฐานะที่จะวิพากษ์วิจารณ์นางได้? ระดับการบ่มเพาะของเจ้าสูงกว่านางหรือเจ้ามีความสามารถพิเศษบางอย่างที่นางไม่มี?”
ฉู่ฮวนเจาโมโหจนควันออกหูทันที “ข้าจะตัดสัมพันธ์กับท่านถ้าท่านยังพูดเข้าข้างนางต่อไป!”
ซูอันหัวเราะเสียงดัง แต่ในขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างต่อ เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะหวาน ๆ ดังขึ้นข้างหลังเขา “ดูเหมือนจะมีอะไรน่าสนใจมากมายเกิดขึ้นในตอนที่ข้าไม่อยู่”
กลิ่นหอมเย้ายวนลอยเข้ามาในจมูกก่อนที่ ซูอัน จะหันศีรษะไปเห็นว่าผู้พูดก็คือ เพ่ยเหมียนหมาน!
“พี่เพ่ย…” ฉู่ฮวนเจาทักทายเพ่ยเหมียนหมาน
เพ่ยเหมียนหมาน มีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลฉู่ และนางก็เป็นเพื่อนสนิทของฉู่ชูเหยียน ดังนั้นมันจึงไม่แปลกที่นางจะคุ้นเคยกับฉู่ฮวนเจา เป็นอย่างดี
เพ่ยเหมียนหมาน หัวเราะคิกคักเบา ๆ ก่อนจะตอบว่า “ปากของเจ้าหวานขึ้นมากตั้งแต่เราเจอกันครั้งล่าสุดนะ”
เมื่อพูดจบนางนั่งลงข้างๆฉู่ฮวนเจาและเริ่มสนทนากันอย่างสนิทสนม
ฉู่ฮวนเจาอดไม่ได้ที่จะมองภูเขาสองลูกที่งดงามของเพ่ยเหมียนหมานก่อนที่นางจะก้มลงมองความราบเรียบที่ไม่น่าดึงดูดของตัวเอง ด้วยสายตามืดหม่น จากนั้นนางถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “พี่เพ่ย ท่านหายไปไหนมาช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้?”
“ข้าไปทำธุระที่ข้างนอกมา” เพ่ยเหมียนหมานตอบกลับ
“โอ้โห…ท่านเหมือนกับพี่สาวของข้าเลย พวกท่านต่างยุ่งกันจนหัวหมุนจนไม่ค่อยมีเวลาว่างเหมือนกันทั้งคู่!”
…
เมื่อเห็นว่า เพ่ยเหมียนหมาน ทำตัวราวกับว่านางไม่รู้จักเขาเลย ซูอัน อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าผู้หญิงทุกคนล้วนเกิดมาเป็นนักแสดงหรือไม่ เมื่อไม่มีใครคุยด้วย เขาจึงทำได้เพียงนั่งเงียบ ๆ แต่อย่างไรก็ตาม เขาอดไม่ได้ที่จะสูดกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของ เพ่ยเหมียนหมาน และมองไปยังร่างกายที่โค้งเว้าของนาง
แบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน…
“เจ้าบอกว่าจะช่วยข้าหาสมุดบัญชีที่ข้าต้องการ ตอนนี้เรื่องไปถึงไหนแล้ว?”
เสียงของ เพ่ยเหมียนหมาน ดังขึ้นในหัวปลุกซูอันให้ตื่นจากอารมณ์ดื่มด่ำไปกับภาพที่งดงามน่ามอง เขารีบหันศีรษะไปทางอีกฝ่ายทันที ซึ่งเขาก็เห็นว่าอีกฝ่ายก็ยังคงคุยกับฉู่ฮวนเจาอย่างสนุกสนานราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น…
เหอะ ๆ ผู้หญิงคนนี้นี่ช่างร้ายกาจจริง ๆ นางพยายามล่อลวงผู้ชายที่แต่งงานแล้วต่อหน้าน้องภรรยาของเขาเลยอย่างนั้นเหรอ?
ซูอันรู้สึกทึ่ง…
“เฮ้ ข้าถามเจ้าอยู่นะ ทำไมเจ้าไม่ตอบ?”
ซูอันรู้ว่านางกำลังถ่ายทอดข้อความของนางถึงเขาผ่านพลังชี่ แต่ประเด็นก็คือเขาไม่รู้ว่าจะตอบนางกลับยังไงโดยไม่ให้คนอื่นรู้! เขาสื่อสารทางพลังชี่ไม่เป็นแบบนาง!
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักเขาจึงแก้ปัญหาโดยการแอบเขียนนิ้วบนหลังของนางเพื่อเป้นการตอบกลับ เขาเริ่มเขียนว่า : แล้วเจ้าล่ะ? เจ้าบอกว่าเจ้าจะช่วยให้ข้าสมหวังกับฉู่ชูเหยียน? เจ้าคืบหน้าบ้างรึยัง?
เมื่อนิ้วของซูอันสัมผัสที่หลังของเพ่ยเหมียนหมาน ร่างกายของนางก็แข็งทื่อ แววตาของนางเปลี่ยนเป็นเย็นชาและอับอาย อย่างไรก็ตาม เมื่อนางตระหนักว่าซูอันไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินนาง เขาแค่ต้องการจะสื่อสารกับนาง แววตาของนางจึงกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“เจ้าไม่รู้วิธีส่งเสียงของเจ้าผ่านพลังชี่งั้นเหรอ?” เพ่ยเหมียนหมานรู้สึกงุนงง
นางไม่เข้าใจเลยว่าคนที่แข็งแกร่งอย่างซูอันทำไมถึงไม่รู้วิธีพูดผ่านพลังชี่ซึ่งเป็นความรู้พื้นฐานแบบนี้?
เดี๋ยวนะ…หรือว่าเขาแกล้งทำเป็นไม่รู้เพื่อเอาเปรียบข้า!?
ท่านยั่วยุ เพ่ยเหมียนหมาน
สำเร็จได้รับคะแนนความโกรธแค้น +399!
ซูอันไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆเพ่ยเหมียนหมานถึงเทคะแนนความโกรธให้เขา ดังนั้นเขาจึงรีบเขียนนิ้วอธิบายอย่างรวดเร็ว : การบ่มเพาะของข้าไม่เหมือนของคนปกติ ข้าไม่เคยผ่านการร่ำเรียนอย่างเป็นลำดับขั้นตอนที่ถูกต้องมาก่อน ดังนั้นข้าจึงไม่รู้ทักษะพื้นฐานหลายอย่างที่ผู้บ่มเพาะปกติทุกคนรู้กัน…
เพ่ยเหมียนหมานขยับร่างกายของนางเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ นิ้วที่ขยับของซูอันมันทำให้นางรู้สึกจั๊กจี้…
จากนั้นเมื่อคิดถึงความแปลกประหลาดที่ผ่านมาของ ซูอัน นางก็คิดว่าคำอธิบายของเขาดูเป็นไปได้ดังนั้นนางจึงตอบกลับว่า “อย่าแตะต้องข้าอีก ข้าจะสอนวิธีส่งเสียงของเจ้าผ่านพลังชี่”
เมื่อสังเกตเห็นร่างของเพ่ยเหมียนหมานขยุกขยิกไปมาอย่างผิดธรรมชาติฉู่ฮวนเจาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงง “พี่เพ่ย ท่านเป็นอะไรรึเปล่า?”
“อ..อ้อไม่มีอะไร ข้าแค่จู่ ๆ ก็รู้สึกคันที่หลังขึ้นมาก็เท่านั้น” ใบหน้าของ เพ่ยเหมียนหมานแดงขึ้น
โชคดีที่คนที่นั่งข้างหน้าข้าเป็นน้องสาวที่โง่กว่า ถ้าเป็นฉู่ชูเหยียน นางคงไม่มีทางปกปิดการกระทำของซูอันกับนางได้แน่นอน
จากนั้นในขณะที่นางยังคงสนทนากับฉู่ฮวนเจา ในเวลาเดียวกันนั้นนางก็สอนวิธีถ่ายทอดเสียงผ่านพลังชี่ให้กับซูอัน ซึ่งเขาใช้เวลาไม่นานก็เรียนรู้ทักษะนี้ได้สำเร็จ
“ช่วยข้าค้นหาที่อยู่ของสมุดบัญชีก่อน แล้วข้าจะช่วยเจ้าครองใจฉู่ชู เหยียน”
“ช่วยให้ข้าครอบครองฉู่ชูเหยียนก่อน แล้วข้าจะหาที่อยู่ของสมุดบัญชีให้เจ้า”
“นี่เจ้ากำลังทดสอบความอดทนของข้างั้นเหรอ?!”
“ฮึ่ม! เจ้าจะคิดแบบไหนมันก็เรื่องของเจ้า และถ้าเจ้าไม่พอใจมากนัก เจ้าจะยกเลิกข้อตกลงของเราไปก็ได้ แต่จงรู้เอาไว้ว่าข้าจะบอกเรื่องนี้ให้ตระกูลฉู่รู้ทั้งหมด!”
“…”
ในขณะที่การเจรจามาถึงทางตันจู่ ๆ ความโกลาหลก็บังเกิดขึ้นราวกับว่ามาช่วยทำให้ความขัดแย้งของพวกเขาสงบลงชั่วคราว
“ท่านผู้ตรวจการซ่างมาแล้ว!”
“อ๋องหยางเฉวียนมาแล้ว!”
“นายน้อยซือคุนมาถึงแล้ว!”
…
ด้วยการมาถึงของบุคคลที่มีชื่อเสียงมากมาย แม้แต่ ฉู่ฮวนเจาก็หันมามองด้วยความสนใจพร้อมกับเอ่ยว่า “ซ่างหง เคยเป็นผู้ช่วยเสนาบดีกรมพระคลัง เขาคอยดูแลการค้าเกลือและอาวุธ แต่แล้วจู่ ๆ เขาก็ถูกส่งมาเป็นผู้ตรวจการมณฑลหลินชวน มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ไม่สามารถบอกได้ว่าเขาถูกส่งมาที่นี่เพื่อจัดการกับเรา!”
“อ๋องหยางเฉวียนนั่นก็อีกคนหนึ่ง นอกเหนือจากความจริงที่ว่าเขาเป็นพ่อของอู๋ฉิง ตระกูลอู๋นั้นไม่ถูกกับเรามาโดยตลอด ส่วนตระกูลซือก็จ้องจะเล่นงานตระกูลของเราอยู่เช่นกัน ดูเหมือนว่างานวันนี้จะเป็นแหล่งรวมฝั่งตรงข้ามของพวกเราทั้งนั้น!”
เพ่ยเหมียนหมานยิ้มอย่างเงียบ ๆ เมื่อเห็นสิ่งนี้ นางพอใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น